
เขาเป็นใคร
เราไม่รู้จัก
เราเกลียด
เสียงหัวเราะของเขา เรารำคาญ
รอยยิ้มของเขา เราหมั่นไส้
น้ำตาของเขา เราทุเรศ
เขาเป็นใคร
เราไม่รู้จัก
เราเกลียด
นี่คือบางส่วนของบทกวีชื่อ “เหตุผลของสงคราม” ที่เขียนขึ้นโดยวิทยากร เชียงกูล เมือปี พ.ศ.2511
ที่ถูกตีพิมพ์ในหนังสือ “ฉันจึงมาหาความหมาย” ที่พวกเราท่านคงเคยได้ยิน ได้อ่านมาบ้างไม่มากก็น้อย
……………
……………
สังคมไทยในรอบกว่าสิบปีที่ผ่านมากำลังเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้น
และเป็นไปอย่างรุนแรง แหลมคม จนไม่น่าเชื่อว่านี่หรือคือสยามเมืองยิ้ม
เกิดความแตกแยก ร้าวลึก จนเสมือนว่าคงไม่มีทางจะประสานกันได้อีกต่อไป
ทั้งในชาตินี้ จนถึงชาติหน้า
ความขัดแย้งรุนแรงก่อตัวขึ้นจากชนชั้นนำ ชนชั้นปกครอง
ที่ต่างฝ่ายต่างต้องการแสวงหาอำนาจ และผลประโยชน์ สำหรับตนเองและพวกพ้อง
ที่น่าเศร้าก็คือมันได้ลุกลามบานปลายมาถึงประชาชน คนทั่วไป
ที่เมื่อก่อนรักใคร่กลมเกลียว สมัครสมานและสามัคคี
ปัจจุบันเพื่อนฝูงมองหน้ากันไม่ติด คนในครอบครัวคุยกันไม่รู้เรื่อง
มิใช่เกิดจากปัญหาทางการเมืองหรอกหรือ
นั่นเป็นเรื่องในภาพกว้างของสังคมไทยในยุคปัจจุบัน
แต่ที่เห็นว่าเลวร้ายที่สุด ก็คือผลพวงดังกล่าวได้ลุกลามบานปลาย
มาถึงคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน
มาถึงคนที่เป็นนักวิชาการ ที่มีหน้าที่คอยชี้นำและจุดชนวนความคิดให้กับสังคม
มาถึงคนที่เป็นนักการสื่อสาร ที่มีหน้าที่รายงานข้อเท็จจริงให้สังคมรับรู้
คงทราบกันดีแก่ใจว่า แม้แต่คนที่ทำงานด้านนี้ยังไม่มองหน้ากัน
ไม่ร่วมมือกันเพื่อคลี่คลาย หาทางออกให้สังคม
มิหนำซ้ำยังโจมตีกัน กล่าวหาซึ่งกันและกัน
เป็นภาพที่ปรากฏขึ้นจริง หรือใครจะกล้าปฎิเสธ!!!
…………….
…………….
เมื่อฝ่ายเหลืองชุมนุม นักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ และสื่อมวลชนฝ่ายเหลือง
บอกว่าทำได้ ไม่ผิด มีเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
แต่ฝ่ายแดงบอกว่าผิด ทำไม่ได้
แต่เมื่อฝ่ายแดงชุมนุมบ้าง ฝ่ายเหลืองกลับบอกว่าผิด ทำอย่างนี้ได้อย่างไร
ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการฝ่ายแดงสนับสนุนเต็มที่
โดยอ้างรัฐธรรมนูญเหมือนกัน
………………
………………
ในขณะที่เมื่อฝ่ายแดงถูกปราบปราม ตายร่วมร้อย
นักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการฝ่ายแดงเรียกร้องหาผู้รับผิดชอบกันอย่างเต็มที่
ต่างกับฝ่ายเหลือง ที่เงียบเฉย ไร้สัญญานตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก
เช่นเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับฝ่ายเหลือง
มีการยิงถล่มด้วยระเบิดเอ็มเจ็ดสิบเก้า ตาย บาดเจ็บนับไม่ถ้วน
เอ็มสิบหกกราดยิงที่ราชดำเนิน
นักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการฝ่ายแดงกลับนิ่งเงียบ เช่นเดียวกัน
( หรืออาจจะมี แต่เสียงนั้นแผ่วเบาเหลือเกิน )
ปล่อยให้ฝ่ายเหลืองเทคแอ๊คชั่นอยู่ข้างเดียว
หรือว่าพวกคุณถือตำราสิทธิมนุษยชนคนละเล่ม???
………………….
………………….
การที่คุณจะชมชอบแนวทางการเมืองของพรรคไหน ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล
แต่การที่มีคนตาย บาดเจ็บ ในฐานะนักสิทธิมนุษยชนต้องมีมาตรฐานเดียว
ไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้สูญเสีย ต้องดำเนินการเป็นมาตรฐานเดียวกัน
ฝ่ายเหลืองตาย นักสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการฝ่ายแดงควรต้องช่วยเรียกร้องหาความป็นธรรม
เช่นเดียวกัน เมื่อฝ่ายแดงตาย นักสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการฝ่ายเหลืองก็ควรต้องทำอย่างเดียวกัน
จึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนมืออาชีพ
( ความจริงก็คงจะมี แต่ดูเสมือนน้อยเต็มที )
สังคมไทยขณะนี้แตกแยกมามากพอแล้ว
บาดเจ็บและตายมาเยอะเกินพอแล้ว
ถึงเวลาหรือยังที่คนในแวดวงสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการ
จะได้ร่วมมือกันเรียกร้องให้เกิดการค้นหาความจริงในทุกเหตุการณ์ของความสูญเสีย
โดยไม่แบ่งแยกว่าผู้สูญเสียจะมีสีเสื้ออะไร จะอยู่ฝ่ายไหน
เพราะทุกศพที่สูญเสีย ทุกคนที่บาดเจ็บล้วนแต่เป็นพี่น้องไทยเช่นเดียวกัน
มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน!!!
ถึงนักสิทธิมนุษยชนไทย!!!
เราไม่รู้จัก
เราเกลียด
เสียงหัวเราะของเขา เรารำคาญ
รอยยิ้มของเขา เราหมั่นไส้
น้ำตาของเขา เราทุเรศ
เขาเป็นใคร
เราไม่รู้จัก
เราเกลียด
นี่คือบางส่วนของบทกวีชื่อ “เหตุผลของสงคราม” ที่เขียนขึ้นโดยวิทยากร เชียงกูล เมือปี พ.ศ.2511
ที่ถูกตีพิมพ์ในหนังสือ “ฉันจึงมาหาความหมาย” ที่พวกเราท่านคงเคยได้ยิน ได้อ่านมาบ้างไม่มากก็น้อย
……………
……………
สังคมไทยในรอบกว่าสิบปีที่ผ่านมากำลังเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้น
และเป็นไปอย่างรุนแรง แหลมคม จนไม่น่าเชื่อว่านี่หรือคือสยามเมืองยิ้ม
เกิดความแตกแยก ร้าวลึก จนเสมือนว่าคงไม่มีทางจะประสานกันได้อีกต่อไป
ทั้งในชาตินี้ จนถึงชาติหน้า
ความขัดแย้งรุนแรงก่อตัวขึ้นจากชนชั้นนำ ชนชั้นปกครอง
ที่ต่างฝ่ายต่างต้องการแสวงหาอำนาจ และผลประโยชน์ สำหรับตนเองและพวกพ้อง
ที่น่าเศร้าก็คือมันได้ลุกลามบานปลายมาถึงประชาชน คนทั่วไป
ที่เมื่อก่อนรักใคร่กลมเกลียว สมัครสมานและสามัคคี
ปัจจุบันเพื่อนฝูงมองหน้ากันไม่ติด คนในครอบครัวคุยกันไม่รู้เรื่อง
มิใช่เกิดจากปัญหาทางการเมืองหรอกหรือ
นั่นเป็นเรื่องในภาพกว้างของสังคมไทยในยุคปัจจุบัน
แต่ที่เห็นว่าเลวร้ายที่สุด ก็คือผลพวงดังกล่าวได้ลุกลามบานปลาย
มาถึงคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน
มาถึงคนที่เป็นนักวิชาการ ที่มีหน้าที่คอยชี้นำและจุดชนวนความคิดให้กับสังคม
มาถึงคนที่เป็นนักการสื่อสาร ที่มีหน้าที่รายงานข้อเท็จจริงให้สังคมรับรู้
คงทราบกันดีแก่ใจว่า แม้แต่คนที่ทำงานด้านนี้ยังไม่มองหน้ากัน
ไม่ร่วมมือกันเพื่อคลี่คลาย หาทางออกให้สังคม
มิหนำซ้ำยังโจมตีกัน กล่าวหาซึ่งกันและกัน
เป็นภาพที่ปรากฏขึ้นจริง หรือใครจะกล้าปฎิเสธ!!!
…………….
…………….
เมื่อฝ่ายเหลืองชุมนุม นักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ และสื่อมวลชนฝ่ายเหลือง
บอกว่าทำได้ ไม่ผิด มีเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
แต่ฝ่ายแดงบอกว่าผิด ทำไม่ได้
แต่เมื่อฝ่ายแดงชุมนุมบ้าง ฝ่ายเหลืองกลับบอกว่าผิด ทำอย่างนี้ได้อย่างไร
ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการฝ่ายแดงสนับสนุนเต็มที่
โดยอ้างรัฐธรรมนูญเหมือนกัน
………………
………………
ในขณะที่เมื่อฝ่ายแดงถูกปราบปราม ตายร่วมร้อย
นักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการฝ่ายแดงเรียกร้องหาผู้รับผิดชอบกันอย่างเต็มที่
ต่างกับฝ่ายเหลือง ที่เงียบเฉย ไร้สัญญานตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก
เช่นเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับฝ่ายเหลือง
มีการยิงถล่มด้วยระเบิดเอ็มเจ็ดสิบเก้า ตาย บาดเจ็บนับไม่ถ้วน
เอ็มสิบหกกราดยิงที่ราชดำเนิน
นักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการฝ่ายแดงกลับนิ่งเงียบ เช่นเดียวกัน
( หรืออาจจะมี แต่เสียงนั้นแผ่วเบาเหลือเกิน )
ปล่อยให้ฝ่ายเหลืองเทคแอ๊คชั่นอยู่ข้างเดียว
หรือว่าพวกคุณถือตำราสิทธิมนุษยชนคนละเล่ม???
………………….
………………….
การที่คุณจะชมชอบแนวทางการเมืองของพรรคไหน ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล
แต่การที่มีคนตาย บาดเจ็บ ในฐานะนักสิทธิมนุษยชนต้องมีมาตรฐานเดียว
ไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้สูญเสีย ต้องดำเนินการเป็นมาตรฐานเดียวกัน
ฝ่ายเหลืองตาย นักสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการฝ่ายแดงควรต้องช่วยเรียกร้องหาความป็นธรรม
เช่นเดียวกัน เมื่อฝ่ายแดงตาย นักสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการฝ่ายเหลืองก็ควรต้องทำอย่างเดียวกัน
จึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนมืออาชีพ
( ความจริงก็คงจะมี แต่ดูเสมือนน้อยเต็มที )
สังคมไทยขณะนี้แตกแยกมามากพอแล้ว
บาดเจ็บและตายมาเยอะเกินพอแล้ว
ถึงเวลาหรือยังที่คนในแวดวงสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการ
จะได้ร่วมมือกันเรียกร้องให้เกิดการค้นหาความจริงในทุกเหตุการณ์ของความสูญเสีย
โดยไม่แบ่งแยกว่าผู้สูญเสียจะมีสีเสื้ออะไร จะอยู่ฝ่ายไหน
เพราะทุกศพที่สูญเสีย ทุกคนที่บาดเจ็บล้วนแต่เป็นพี่น้องไทยเช่นเดียวกัน
มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน!!!