(เรื่องน่ารู้) 10 อันดับแนวทางที่จะทำให้เราพัฒนาทักษะการเขียนดียิ่งขึ้น

การเขียนถือเป็นทักษะทางด้านการสื่อสารอย่างหนึ่งที่จำเป็นสำหรับสังคม ซึ่งผมเองก็เขียนบทความเป็นร้อยๆกว่าบทความแล้ว ก็เห็นว่าอยากที่จะเอามาแชร์มุมมองความเห็นของผมเกี่ยวกับการเขียนบ้างดีกว่า ลองมาดู 10 อันดับกัน










10.คิดค้นคำต่างๆขึ้นมาอยู่ในหัวของเราตลอดเวลา


ประโยคต่างๆที่เราจะเขียนนั้น จะต้องมีการคิดค้นขึ้นมาล่วงหน้าก่อนที่จะเขียนอยู่เสมอ โดยเราสามารถใช้แนวคิดจากการสื่อสารพูดคุยกับคนอื่นๆแล้วนำมาแปรรูปเป็นการเขียนของเราเองได้ไม่ยาก การเขียนที่ดีนั้นเราจะต้องมีการคิดค้นสูตรการเขียนขึ้นมาเอง สร้างสรรค์โดยที่เราไม่ต้องไปสนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์การเขียนของเราว่าเป็นยังไง เพราะเราจะต้องยอมรับว่าการเขียนของเราไม่มีใครเขียนได้สมบูรณ์แบบหรอก แต่เราจะต้องฝึกฝนคิดคำต่างๆขึ้นมาเพื่อปรับปรุงและเล่นคำใหม่ๆอยู่เสมอ













9.กล้าคิด กล้าสงสัยกับการเขียนของเราที่จะสื่อสารกับคนอื่นๆ


การอ่านความคิดของแต่ละคนมันเป็นค่าเล่าเรียนที่สูงมากที่เราจะสื่อสารให้ใครหลายๆคนได้รับรู้ในสิ่งที่เราเขียน แต่ค่าเล่าเรียนนี้ก็ช่วยให้พวกเรารู้ว่า ผู้คนต้องการอยากรู้อะไรจากการเขียนของเรา สิ่งไหนที่ผู้คนสนใจบ้าง ไม่สนใจบ้าง ทำให้เราสามารถปรับปรุงการเขียนของเราให้ดียิ่งขึ้นได้ พวกเราจะต้องเรียนรู้ทั้งการคิด การเขียนให้มากๆอยู่เสมอ เพราะโลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงทุกๆวัน ยิ่งเปลี่ยนแปลง ก็ยิ่งมีความรู้อะไรใหม่ๆตามมายิ่งขึ้น













8.เขียนเสร็จแล้วก็ลองอ่านออกเสียงดู


เมื่อเราเขียนงานใดงานหนึ่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะให้ดีเลยเราก็ต้องอ่านออกเสียงถ้อยคำที่เราเขียนออกมาว่า ที่เราเขียนสื่อออกมานั้นมีตรงไหนที่เราจะต้องปรับปรุงแก้ไขใหม่ มีคำไหนที่อ่านแล้วรู้สึกไม่ลื่นหู ไม่ลื่นตา ซึ่งเราจะต้องทำการประเมินเรื่องนี้ให้ดีๆ เพราะหากเรารู้สึกสะดุดตรงไหน ผู้คนที่อ่านก็รู้สึกแย่เหมือนกับที่เรารู้สึกอย่างนั้น โดยเราจะต้องอ่านแล้วสื่อสารให้ผู้คนรู้ว่า เราต้องการให้ผู้คนรับรู้ว่า สิ่งที่เราเขียนออกมาตั้งใจจะสื่ออะไรเช่น ยิ้ม โกรธ ประณาม โต้เถียง แบบนี้เป็นต้น













7.แบ่งประเภทการเขียนของเราให้ดีๆ


การที่เราจะเขียนอะไรให้ได้ดีนั้น จะต้องรู้จักประเภทของการเขียนของเราให้ดีเสียก่อนว่า มันอยู่ในประเภทไหนเช่น ผมเองก็เขียนเรื่องน่ารู้ โดยผมก็จะใช้ถ้อยคำสำนวนที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เป็นกันเอง ไม่ซับซ้อนมาก เพราะต้องการให้ผู้คนสามารถรู้ถึงสิ่งที่ผมเขียนออกมาได้ทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ หากบางคนอยากเขียนประเภทเรื่องสั้น นิยาย หรือวิชาการ ก็จะต้องมีศัพท์เทคนิคและแรงจูงใจที่จะสื่อออกมาแตกต่างกัน เรื่องสั้นหรือนิยายก็จะมีการเขียนในเชิงแสดงออกให้เราถูกชักจูงให้จินตนาการจากคนเขียนให้เข้าสู่โลกส่วนตัวที่ผู้เขียนได้วาดเอาไว้ โดยทุกๆคนสามารถเข้าถึงได้ ส่วนงานวิชาการก็จะต้องเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนสำหรับคนบางคนที่ต้องการอยากศึกษาเรื่องนั้นจริงๆ เช่น การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ที่ไม่สามารถชักจูงให้ทุกๆคนอ่านพร้อมกันได้













6.ฝึกการเขียนจนติดเป็นนิสัย


การที่เราจะเขียนอะไรสักอย่างหนึ่ง เราก็ต้องเริ่มต้นด้วยการฝึกเขียนจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเราให้ได้ซะก่อนถึงจะลงมือเขียนเป็นจริงเป็นจังได้ นักเขียนอาชีพทุกๆคนล้วนเริ่มต้นโดยการฝึกเขียนเป็นนิสัยก่อนที่จะลงมือเขียนจริงจัง การฝึกเขียนทุกๆวันจะช่วยให้เรามีแรงจูงใจเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละวัน จนเราอยากที่จะเขียนอะไรให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจริงๆสักที โดยการฝึกเขียนนั้น เราจะต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างน้อยสัก 15-30 นาที ก่อน แล้วจากนั้นเราจะรู้สึกถึงความสนุกกับการเขียนมากขึ้น เราอย่าไปเขียนแบบก้าวกระโดดหรือทุ่มเทมากเกินไปโดยเฉพาะนักเขียนมือใหม่













5.ขจัดสิ่งรบกวนที่อยู่รอบข้างเราออกไป


บ่อยครั้งที่เรานั่งเขียนลงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ สิ่งแรกก็คือเรามักจะเจอสิ่งกวนใจอย่างพวก Social Network หรือการตอบข้อความกลับไปมาหาเพื่อนฝูงบ้าง ทำให้เราไขว้เขวเสียสมาธิกับการเขียนของเราลงไป ทางทีดีเลยก็คือปิดอินเตอร์เน็ตไปชั่วคราวก่อน แล้วหันมาโฟกัสที่เป้าหมายของเราให้มากขึ้น จริงๆมันไม่ยากหรอก แต่ที่ยากก็คือการควบคุมอารมณ์และจิตใจของพวกเราเองต่างหากล่ะ ที่พวกเราบางคนอาจจะทำแบบนี้จนเคยชินบ้างใช่ไหม ก็ต้องฝึกดัดนิสัยตัวเองเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย













4.อย่าใช้อารมณ์มาบงการในการเขียน แต่จะต้องใช้หลักพินิจพิเคราะห์ในการเขียน


เมื่อเราจะคิด จะเขียนอะไรสักอย่างหนึ่ง เราก็ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้อารมณ์ของเรามาบงการเรื่องที่เราจะเขียน ทุกๆคนจะต้องให้ความเคารพตัวเองในสิ่งที่ตัวเองเขียน โดยเราจะต้องบริหารจัดการกับความคิดตัวเองในการเขียนอะไรสักอย่างหนึ่ง และไม่ให้มีผลกระทบต่อการใช้อารมณ์มาบงการตัวเรา โดยเราจะต้องเขียนในเชิงลักษณะพินิตพิเคราะห์เพื่อให้การเขียนของเราออกมาดีที่สุดสำหรับเรา เพราะการใช้อารมณ์มาบงการจะทำให้งานเขียนออกมาไม่สะท้อนถึงสิ่งที่เราคิดออกมา













3.จุดไฟในการเป็นนักเขียนขึ้นมาเต็มที่


พวกเราทุกคนสามารถเป็นนักเขียนได้ หลายคนมักจะคิดว่า นักเขียนจะต้องเป็นนักเขียนหนังสือเป็นรูปเป็นเล่ม แต่นักเขียนเป็นคนที่สามารถเขียนอะไรออกมาแล้วสามารถสื่อสารให้ผู้คนเข้าใจในสิ่งที่เราเขียนอยู่ โดยเราจะต้องทำใจตัวเองให้สบายๆและใจเย็นๆก่อนที่จะลงมือเขียนก่อนเสมอ แล้วจากนั้นก็ค่อยๆซึมซับพลังงานที่อยู่รอบตัวเรามากลายเป็นสัญชาตญาณความเป็นนักเขียนที่มีอยู่ในตัวเราออกมา อย่าไปคิดว่าตัวเราทำไม่ได้ เพราะเรื่องนี้ทุกๆคนสามารถทำได้ แต่อยู่ที่ว่าตัวเราจะลงมือทำตอนไหนก็แค่นั้นเอง













2.จะต้องมีอารมณ์ขันในการเขียนไปในตัวด้วย


อารมณ์ขันถือเป็นแนวทางอย่างหนึ่งที่ทำให้เราพัฒนาการเขียนตัวเองได้ดียิ่งขึ้นและยังรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเขียน ทำให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจากด้านลบให้กลายเป็นบวกได้ไม่ยากเย็นและยังทำให้ผลงานที่ออกมาดูดีขึ้นกว่าเดิม ทำให้เรามีความตั้งใจ ขยันหมั่นเพียรพัฒนาทักษะทางด้านการเขียนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยที่ไม่สนใจว่าตัวเราจะเป็นยังไง แต่ขอให้มีการพัฒนาทักษะต่อเนื่องก็ถือว่าเป็นดีสำหรับเราแล้ว













1.คิดบวกอยู่เสมอ


การคิดบวกจะช่วยทำให้ชีวิตของเราเดินหน้าไปได้ง่ายดาย ซึ่งไม่มีใครเดินหน้าได้จากการคิดลบหรอก ในการเขียนของเราสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ พลังความคิดด้านบวกของเรา จะต้องนำเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งทางด้านดารา ศิลปิน นักร้องมืออาชีพพวกเขาก็ไม่เคยละทิ้งความคิดบวก เพราะพวกเขาต่างรู้ว่าผลงานของเขาจะออกมาดีได้ก็ต้องเกิดจากการคิดบวกก่อน การเขียนของเราจะให้ประสบความสำเร็จจริงก็ต้องมาจากการคิดบวกเหมือนกัน


ผู้เขียน Mr.lawrence10
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่