เสียงของโลหะปะทะโลหะดังลอดเข้ามาเป็นจังหวะ สลับกับเสียงอื่นๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการทำงานของเฒ่าเฮฟ จนเกิดเป็นท่วงทำนองดนตรีอันแปลกประหลาดแต่น่าฟังขึ้น ภายในห้องขังชั่วคราวเหลือเพียงความเงียบกับบรรยากาศชวนอึดอัดที่ไม่ได้เกิดจากการที่อากาศภายในนี้ถ่ายเทได้ไม่ค่อยดีเท่านั้น
“...เอาล่ะ” สโนวที่อยู่มุมหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติมากที่สุด “ดูเหมือนว่าคุณครอสจะไม่ได้อยู่ที่นี่ใช่ไหม”
“อาจจะ” คุณนายวิกเซ่นที่อยู่อีกมุมหนึ่งยังไม่ค่อยแน่ใจ “ถึงกลิ่นที่ฉันติดตามมาตั้งแต่ต้น น่าจะ เป็นกลิ่นของนายอำเภอที่ชื่อแฟรงคนนั้นก็ตาม แต่การที่ไม่มีใครที่นี่รู้จักคุณครอส ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณครอสจะไม่ได้อยู่ที่นี่จริง”
ในที่สุดทั้งสองก็หันหน้ามาคุยกัน หรืออย่างน้อยก็หันหน้าไปทางคู่สนทนาของตน
“ไม่ ยอมรับมาดีกว่าวูฟ เพราะเธอเป็นคนบอกเองว่านั่นเป็นเพียงกลิ่นเดียวที่เธอสงสัย”
“...กลิ่นประหลาดจากผีดูดเลือดแปลกๆ นั่นรบกวนจนระบบประสาทของฉันปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บางที ถ้าได้เดินไปรอบๆ หมู่บ้านนี้สักรอบก็คงดี” นางก้มหน้าลงมองพื้น “เซพ ที่เธอพูดก็ถูก คุณครอสคงไม่ได้อยู่แถวๆ นี้แน่”
“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปดี”
“ที่พวกเราต้องถูกขังเป็นเพราะความเข้าใจผิดกันเท่านั้นครับ” ทอยเสี่ยงเข้าร่วมวงสนทนาหลังจากที่นั่งเงียบมาโดยตลอด “อีกไม่นานทุกคนก็จะรู้ว่าเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับโจรสี่สิบอะไรนั่น”
“แต่มันช้าเกินไป” เธอว่า และนางก็พยักหน้าเห็นด้วย ทั้งคู่หันไปสบตากัน ดูเหมือนครั้งนี้พายุคงสงบลงอย่างแท้จริง 'หรืออย่างน้อยก็ชั่วคราว' เมื่อเขานึกทบทวนถึงท่าทีที่ทั้งคู่มีต่อกันมาตั้งแต่ต้น
“ถ้าอย่างนั้น เราก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว” เธอพูดพร้อมกับจ้องมาที่นาง ซึ่งพยักหน้ายอมรับในที่สุด แล้วนางก็เริ่มก้มมองไปรอบๆ คล้ายกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างซึ่งเขาไม่กล้าถามว่ามันคืออะไร
“อันนี้น่าจะพอใช้ได้” นางก้มหยิบเศษหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งขึ้นมา หินสีขาวที่ดูธรรมดาอย่างที่สุด โยนมันขึ้นลงในมือเล่นอย่างคล่องแคล่วก่อนเดินตรงไปที่กำแพงกว้างที่อยู่ด้านตรงข้ามกับบานประตูเหล็ก “อย่างน้อยเมื่อมาอยู่ในโลกความฝันแล้วฉันก็ไม่ต้องพึ่งไม้ขีดไฟนั่นอีก” ก่อนที่นางจะเริ่มลงมือทำอะไรบางอย่างซึ่งเขาเข้าใจได้ในทันที
'ได้เวลาต้องไปแล้ว'
นางใช้ก่อนหินสีขาวนั้นขีดเขียนไปบนกำแพงหิน เป็นตัวเลขที่ตอนนี้เขาคิดว่าตนเองคงสามารถจดจำพวกมันพร้อมกับความหมายไปได้อีกนานแสนนาน '299,792,458' เมตรต่อวินาที ความเร็วอันคงที่ของสิ่งที่รวดเร็วที่สุดในทุกทุกโลกแห่งความเป็นจริง ความเร็วแสง
แสงสว่างที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยภายในห้องขังยิ่งมืดสลัวลงราวกับถูกตัวเลขสีขาวเหล่านั้นดูดกลืนเข้าไป
เขาเกิดคำถามบางอย่างขึ้นภายในใจและอดไม่ได้ที่จะต้องถามออกไปในตอนนี้ “เอ่อ หมู่บ้านแห่งนี้ คนพวกนี้ ที่จริงแล้วเราเดินทางย้อนกลับมาในอดีตหรือเปล่าครับ”
นางไม่ได้หันกลับมา ความตั้งใจทั้งหมดยังคงถูกถ่ายทอดไปที่ตัวเลขเหล่านั้น “ไม่ใช่ เรากำลังอยู่ในโลกของความฝัน ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคตอะไรทั้งนั้น” แต่มีความรู้สึกบางอย่าง ความลังเลเจืออยู่ในคำตอบของนาง
ตัวเลขสีขาวเหล่านั้นราวกับค่อยๆ ยุบเข้าไปในกำแพงหินเพราะแรงดึงดูดมหาศาลในตัวของพวกมันเอง ทั้งหมดค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากัน หลอมรวมจนกลายเป็นเพียงจุดสีขาว ขยายตัวออก หรือไม่ก็ดึงดูดพวกเขาเข้าไปใกล้จนรู้สึกว่าจุดสีขาวนั้นใหญ่ขึ้นทั้งๆ ที่มันยังคงมีขนาดเท่าเดิม ร่างของพวกเขาราวกับถูกยืด บิด หมุน เข้าสู่จุดที่ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าเป็นสีขาวสว่างเจิดจ้า หรือว่าเป็นสีดำมืดอันไร้สิ้นสุดกันแน่
แล้วทุกอย่างก็หยุดนิ่งราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น แต่ตัวเลขสีขาวบนกำแพงหินเหล่านั้นได้เลือนหายไปจนหมดสิ้น และพวกเขาทั้งหมดยังคงอยู่ในที่เดิมไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหนทั้งนั้น
“เกิดอะไรขึ้น” สโนวเอ่ยถามเป็นคนแรก
“...ฉันไม่...แน่ใจ เซพ” นางตอบในขณะที่ยังคงจ้องมองกำแพงหินที่ตอนนี้ว่างเปล่า ก้อนหินเล็กๆ สีขาวยังอยู่ในมือที่กำจนแน่น
“เธอจำเป็นต้องรู้ วูฟ เธอเป็นคนเดียวที่จะไม่รู้ไม่ได้”
“...ฉัน...เคยได้ยินใครบางคนพูดเอาไว้” ใครบางคนที่ถูกพูดถึงนี้ ฟังดูเหมือนจะทั้งใกล้ชิด และห่างไกลนางในเวลาเดียวกัน “ในบางเรื่องราว กับใครบางคน มันจะเกิดเป็นแรงดึงดูดที่มากมายมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ จนใครคนนั้นไม่อาจทอดทิ้ง หรือหันหลังวิ่งหนีจากไป มันจะดึงดูดพวกเขาเอาไว้ด้วยแรงอันมหาศาล จนแม้แต่แสงที่มีความเร็วสูงที่สุดก็ยังไม่อาจหลุดรอดจากหลุมมืดนี้ไปได้”
“เธอหมายความว่า...”
“ด้วยเหตุผลบางอย่าง โลกแห่งความฝันนี้ได้กลายมาเป็นหลุมดำของพวกเราไปแล้ว และถ้าเรายังไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เราก็จะไม่อาจไปจากโลกความฝันนี้ได้...เขาบอกไว้อย่างนั้น และฉันไม่เคยเชื่อ เขาเอาแต่นั่งแต่งนิยายเพ้อผันพวกนั้นไม่หยุดหย่อน และฉันคิดว่ามันก็เป็นแค่ความบ้าอีกเรื่องหนึ่งที่เขาแต่งขึ้นมาเท่านั้น ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง”
'คุณนาย' เขาเคยสงสัยว่าทำไมผู้หญิงที่ยังดูสาวอย่างนางจึงใช้คำนำหน้าตนเองเช่นนี้ บางที 'เขา' ที่นางกำลังพูดถึงคงเป็นเหตุผลที่ว่า ฟังดูเหมือนเขาคนนี้อาจมีอาชีพเป็นนักเขียน 'ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นมนุษย์หมาป่าเช่นเดียวกับเธอด้วยหรือไม่' ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะมีความเป็นไปได้สูง
“บ้าจริง หมายความว่าเราจะต้องติดอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ” เธอแสดงความไม่พอใจอย่างมาก “วูฟ ลองดูอีกครั้งได้ไหม”
'มันก็จะได้ผลเหมือนเดิม' แต่สีหน้าท่าทางของเธอทำให้นางไม่ตอบออกไปอย่างนั้น นางลงมือเขียนตัวเลขลงบนกำแพงหินอีกครั้ง เหตุการณ์ประหลาดเช่นเดิมก็เกิดขึ้น และทั้งหมดยังคงติดอยู่ภายในห้องขังเช่นเดิม นางทิ้งก้อนหินในมือลงสู่พื้นเป็นเครื่องหมายของการยอมแพ้
“บ้า บ้า บ้า บ้า บ้า” สโนวกำสองมือแน่นพร้อมกับร้องตะโกนออกมา
เสียงเคาะโลหะดังติดกันถี่ๆ แข่งกับเสียงของเธอ “อีหนู เงียบหน่อย ข้าไม่มีสมาธิจะทำงานแล้ว” เสียงไม่พอใจของเฒ่าเฮฟดังลอดเข้ามาในห้องขัง
เธอหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าออกลึกยาวสองสามครั้ง ก่อนถามด้วยน้ำเสียงที่กลับมาอยู่ในความควบคุมอีกครั้ง “แล้วเราต้องทำอย่างไร”
“เอ่อ...” นางคิดว่าต้องตอบอะไรบางอย่างออกไป ถึงแม้ว่าตนเองจะไม่ค่อยแน่ใจก็ตาม “มันต้องมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นที่นี่ และ และเราต้อง เราต้องทำอะไรบางอย่างกับมัน ที่นี่ต้องเป็นโลกความฝันของใครบางคนที่ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคุณครอสด้วย”
“ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยแน่ใจนะ”
“ใช่ ฉันไม่แน่ใจ” นางยอมรับ “ฉันไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่ฉันค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น เหมือนที่เขาเคยบอกว่ามันเป็นเพราะแรงดึงดูดมหาศาลที่เกิดขึ้นจาก เรื่องราว ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์ถูกคลี่คลาย แรงดึงดูดของมันก็จะสลายไปด้วยเช่นกัน” พอพูดถึงตรงนี้นางก็ดูเหมือนจะมีความมั่นใจกลับคืนมาอีกครั้ง
“แต่เราก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่ว่านี้มันเป็นเรื่องอะไร”
“ผมว่าผมพอจะรู้ครับ” เขาเสี่ยงพูดขึ้นอีกครั้ง “ถ้าเป็นเหตุการณ์สำคัญในตอนนี้ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องโจรสี่สิบที่กำลังจะเข้าปล้นหมู่บ้านพวกนั้น”
“แล้วคุณคิดว่าเราควรทำอย่างไร” เธอถามอย่างสนใจ
“เราก็ต้องช่วยชาวบ้าน ช่วยนายอำเภอแฟรงสู้กับพวกโจรสิครับ” เขาตอบอย่างมั่นใจ
“แล้วคุณจะแน่ใจได้อย่างไร” เธอถาม “ว่ามันจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้น”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ” เขาเถียงด้วยความประหลาดใจ และโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวว่ามันเจือปนไปด้วยความโกรธ
“ความดีย่อมมีชัยเหนือความชั่วร้ายทั้งมวลสินะ” เธอตอบพร้อมกับรอยยิ้มเศร้า และด้วยเหตุผลบางประการทำให้คุณนายวิกเซ่นหันมองไปทางอื่น “ไม่ มันไม่มีอะไรแบบนั้น ฉันคิดว่านัก...ฉันหมายถึงอดีตมือสังหารอย่างคุณน่าจะเข้าใจ ทุกสิ่งเพียงแค่เกิดขึ้น ก็เท่านั้น”
“สิ่งดีดีเกิดขึ้นได้ สิ่งชั่วร้ายเองก็เช่นกัน” เธอพูดออกมาอย่างชัดเจน ราวกับมันเป็นความจริงแท้ที่ไม่อาจแปรเปลี่ยน สิ่งที่เธอเรียนรู้ สิ่งที่เธอพบเจอมาด้วยตัวเอง “มันไม่มีการต่อสู้อะไรทั้งนั้น นอกจากภายในนี้” เธอชี้ไปที่ศีรษะของตนเอง “กับในนี้” ซึ่งเธอจิ้มนิ้วเรียวสวยนั้นมาที่หน้าอกด้านซ้ายของเขา
เขาได้แต่เงียบ ไม่รู้ว่าจะตอบโต้คำพูดนี้ของเธออย่างไร
“แต่คุณอาจจะพูดถูกก็ได้ ว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่โจรจะเข้าปล้นหมู่บ้าน พวกเราอาจต้องทำอะไรบางอย่าง ซึ่งคงต้องรอดูกันต่อไป”
“แต่มันจะเสียเวลามากเกินไปหรือเปล่า” เธอหันไปถามนาง “ฉันไม่ค่อยแน่ใจเรื่องของเวลาในโลกความฝันแบบนี้”
“เมื่อความฝันจบลง มันก็จะยังคงเป็นค่ำคืนเดิม หรือไม่ก็แค่ยามเช้าเท่านั้น ไม่ว่าฝันนั้นจะสั้นหรือยาวก็ตาม” แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว นางเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกันว่าความฝันครั้งนี้ก็จะยังคงเป็นเช่นนั้น
ทอย (38)
“...เอาล่ะ” สโนวที่อยู่มุมหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติมากที่สุด “ดูเหมือนว่าคุณครอสจะไม่ได้อยู่ที่นี่ใช่ไหม”
“อาจจะ” คุณนายวิกเซ่นที่อยู่อีกมุมหนึ่งยังไม่ค่อยแน่ใจ “ถึงกลิ่นที่ฉันติดตามมาตั้งแต่ต้น น่าจะ เป็นกลิ่นของนายอำเภอที่ชื่อแฟรงคนนั้นก็ตาม แต่การที่ไม่มีใครที่นี่รู้จักคุณครอส ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณครอสจะไม่ได้อยู่ที่นี่จริง”
ในที่สุดทั้งสองก็หันหน้ามาคุยกัน หรืออย่างน้อยก็หันหน้าไปทางคู่สนทนาของตน
“ไม่ ยอมรับมาดีกว่าวูฟ เพราะเธอเป็นคนบอกเองว่านั่นเป็นเพียงกลิ่นเดียวที่เธอสงสัย”
“...กลิ่นประหลาดจากผีดูดเลือดแปลกๆ นั่นรบกวนจนระบบประสาทของฉันปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บางที ถ้าได้เดินไปรอบๆ หมู่บ้านนี้สักรอบก็คงดี” นางก้มหน้าลงมองพื้น “เซพ ที่เธอพูดก็ถูก คุณครอสคงไม่ได้อยู่แถวๆ นี้แน่”
“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปดี”
“ที่พวกเราต้องถูกขังเป็นเพราะความเข้าใจผิดกันเท่านั้นครับ” ทอยเสี่ยงเข้าร่วมวงสนทนาหลังจากที่นั่งเงียบมาโดยตลอด “อีกไม่นานทุกคนก็จะรู้ว่าเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับโจรสี่สิบอะไรนั่น”
“แต่มันช้าเกินไป” เธอว่า และนางก็พยักหน้าเห็นด้วย ทั้งคู่หันไปสบตากัน ดูเหมือนครั้งนี้พายุคงสงบลงอย่างแท้จริง 'หรืออย่างน้อยก็ชั่วคราว' เมื่อเขานึกทบทวนถึงท่าทีที่ทั้งคู่มีต่อกันมาตั้งแต่ต้น
“ถ้าอย่างนั้น เราก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว” เธอพูดพร้อมกับจ้องมาที่นาง ซึ่งพยักหน้ายอมรับในที่สุด แล้วนางก็เริ่มก้มมองไปรอบๆ คล้ายกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างซึ่งเขาไม่กล้าถามว่ามันคืออะไร
“อันนี้น่าจะพอใช้ได้” นางก้มหยิบเศษหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งขึ้นมา หินสีขาวที่ดูธรรมดาอย่างที่สุด โยนมันขึ้นลงในมือเล่นอย่างคล่องแคล่วก่อนเดินตรงไปที่กำแพงกว้างที่อยู่ด้านตรงข้ามกับบานประตูเหล็ก “อย่างน้อยเมื่อมาอยู่ในโลกความฝันแล้วฉันก็ไม่ต้องพึ่งไม้ขีดไฟนั่นอีก” ก่อนที่นางจะเริ่มลงมือทำอะไรบางอย่างซึ่งเขาเข้าใจได้ในทันที
'ได้เวลาต้องไปแล้ว'
นางใช้ก่อนหินสีขาวนั้นขีดเขียนไปบนกำแพงหิน เป็นตัวเลขที่ตอนนี้เขาคิดว่าตนเองคงสามารถจดจำพวกมันพร้อมกับความหมายไปได้อีกนานแสนนาน '299,792,458' เมตรต่อวินาที ความเร็วอันคงที่ของสิ่งที่รวดเร็วที่สุดในทุกทุกโลกแห่งความเป็นจริง ความเร็วแสง
แสงสว่างที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยภายในห้องขังยิ่งมืดสลัวลงราวกับถูกตัวเลขสีขาวเหล่านั้นดูดกลืนเข้าไป
เขาเกิดคำถามบางอย่างขึ้นภายในใจและอดไม่ได้ที่จะต้องถามออกไปในตอนนี้ “เอ่อ หมู่บ้านแห่งนี้ คนพวกนี้ ที่จริงแล้วเราเดินทางย้อนกลับมาในอดีตหรือเปล่าครับ”
นางไม่ได้หันกลับมา ความตั้งใจทั้งหมดยังคงถูกถ่ายทอดไปที่ตัวเลขเหล่านั้น “ไม่ใช่ เรากำลังอยู่ในโลกของความฝัน ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคตอะไรทั้งนั้น” แต่มีความรู้สึกบางอย่าง ความลังเลเจืออยู่ในคำตอบของนาง
ตัวเลขสีขาวเหล่านั้นราวกับค่อยๆ ยุบเข้าไปในกำแพงหินเพราะแรงดึงดูดมหาศาลในตัวของพวกมันเอง ทั้งหมดค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากัน หลอมรวมจนกลายเป็นเพียงจุดสีขาว ขยายตัวออก หรือไม่ก็ดึงดูดพวกเขาเข้าไปใกล้จนรู้สึกว่าจุดสีขาวนั้นใหญ่ขึ้นทั้งๆ ที่มันยังคงมีขนาดเท่าเดิม ร่างของพวกเขาราวกับถูกยืด บิด หมุน เข้าสู่จุดที่ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าเป็นสีขาวสว่างเจิดจ้า หรือว่าเป็นสีดำมืดอันไร้สิ้นสุดกันแน่
แล้วทุกอย่างก็หยุดนิ่งราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น แต่ตัวเลขสีขาวบนกำแพงหินเหล่านั้นได้เลือนหายไปจนหมดสิ้น และพวกเขาทั้งหมดยังคงอยู่ในที่เดิมไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหนทั้งนั้น
“เกิดอะไรขึ้น” สโนวเอ่ยถามเป็นคนแรก
“...ฉันไม่...แน่ใจ เซพ” นางตอบในขณะที่ยังคงจ้องมองกำแพงหินที่ตอนนี้ว่างเปล่า ก้อนหินเล็กๆ สีขาวยังอยู่ในมือที่กำจนแน่น
“เธอจำเป็นต้องรู้ วูฟ เธอเป็นคนเดียวที่จะไม่รู้ไม่ได้”
“...ฉัน...เคยได้ยินใครบางคนพูดเอาไว้” ใครบางคนที่ถูกพูดถึงนี้ ฟังดูเหมือนจะทั้งใกล้ชิด และห่างไกลนางในเวลาเดียวกัน “ในบางเรื่องราว กับใครบางคน มันจะเกิดเป็นแรงดึงดูดที่มากมายมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ จนใครคนนั้นไม่อาจทอดทิ้ง หรือหันหลังวิ่งหนีจากไป มันจะดึงดูดพวกเขาเอาไว้ด้วยแรงอันมหาศาล จนแม้แต่แสงที่มีความเร็วสูงที่สุดก็ยังไม่อาจหลุดรอดจากหลุมมืดนี้ไปได้”
“เธอหมายความว่า...”
“ด้วยเหตุผลบางอย่าง โลกแห่งความฝันนี้ได้กลายมาเป็นหลุมดำของพวกเราไปแล้ว และถ้าเรายังไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เราก็จะไม่อาจไปจากโลกความฝันนี้ได้...เขาบอกไว้อย่างนั้น และฉันไม่เคยเชื่อ เขาเอาแต่นั่งแต่งนิยายเพ้อผันพวกนั้นไม่หยุดหย่อน และฉันคิดว่ามันก็เป็นแค่ความบ้าอีกเรื่องหนึ่งที่เขาแต่งขึ้นมาเท่านั้น ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง”
'คุณนาย' เขาเคยสงสัยว่าทำไมผู้หญิงที่ยังดูสาวอย่างนางจึงใช้คำนำหน้าตนเองเช่นนี้ บางที 'เขา' ที่นางกำลังพูดถึงคงเป็นเหตุผลที่ว่า ฟังดูเหมือนเขาคนนี้อาจมีอาชีพเป็นนักเขียน 'ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นมนุษย์หมาป่าเช่นเดียวกับเธอด้วยหรือไม่' ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะมีความเป็นไปได้สูง
“บ้าจริง หมายความว่าเราจะต้องติดอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ” เธอแสดงความไม่พอใจอย่างมาก “วูฟ ลองดูอีกครั้งได้ไหม”
'มันก็จะได้ผลเหมือนเดิม' แต่สีหน้าท่าทางของเธอทำให้นางไม่ตอบออกไปอย่างนั้น นางลงมือเขียนตัวเลขลงบนกำแพงหินอีกครั้ง เหตุการณ์ประหลาดเช่นเดิมก็เกิดขึ้น และทั้งหมดยังคงติดอยู่ภายในห้องขังเช่นเดิม นางทิ้งก้อนหินในมือลงสู่พื้นเป็นเครื่องหมายของการยอมแพ้
“บ้า บ้า บ้า บ้า บ้า” สโนวกำสองมือแน่นพร้อมกับร้องตะโกนออกมา
เสียงเคาะโลหะดังติดกันถี่ๆ แข่งกับเสียงของเธอ “อีหนู เงียบหน่อย ข้าไม่มีสมาธิจะทำงานแล้ว” เสียงไม่พอใจของเฒ่าเฮฟดังลอดเข้ามาในห้องขัง
เธอหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าออกลึกยาวสองสามครั้ง ก่อนถามด้วยน้ำเสียงที่กลับมาอยู่ในความควบคุมอีกครั้ง “แล้วเราต้องทำอย่างไร”
“เอ่อ...” นางคิดว่าต้องตอบอะไรบางอย่างออกไป ถึงแม้ว่าตนเองจะไม่ค่อยแน่ใจก็ตาม “มันต้องมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นที่นี่ และ และเราต้อง เราต้องทำอะไรบางอย่างกับมัน ที่นี่ต้องเป็นโลกความฝันของใครบางคนที่ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคุณครอสด้วย”
“ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยแน่ใจนะ”
“ใช่ ฉันไม่แน่ใจ” นางยอมรับ “ฉันไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่ฉันค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น เหมือนที่เขาเคยบอกว่ามันเป็นเพราะแรงดึงดูดมหาศาลที่เกิดขึ้นจาก เรื่องราว ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์ถูกคลี่คลาย แรงดึงดูดของมันก็จะสลายไปด้วยเช่นกัน” พอพูดถึงตรงนี้นางก็ดูเหมือนจะมีความมั่นใจกลับคืนมาอีกครั้ง
“แต่เราก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่ว่านี้มันเป็นเรื่องอะไร”
“ผมว่าผมพอจะรู้ครับ” เขาเสี่ยงพูดขึ้นอีกครั้ง “ถ้าเป็นเหตุการณ์สำคัญในตอนนี้ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องโจรสี่สิบที่กำลังจะเข้าปล้นหมู่บ้านพวกนั้น”
“แล้วคุณคิดว่าเราควรทำอย่างไร” เธอถามอย่างสนใจ
“เราก็ต้องช่วยชาวบ้าน ช่วยนายอำเภอแฟรงสู้กับพวกโจรสิครับ” เขาตอบอย่างมั่นใจ
“แล้วคุณจะแน่ใจได้อย่างไร” เธอถาม “ว่ามันจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้น”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ” เขาเถียงด้วยความประหลาดใจ และโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวว่ามันเจือปนไปด้วยความโกรธ
“ความดีย่อมมีชัยเหนือความชั่วร้ายทั้งมวลสินะ” เธอตอบพร้อมกับรอยยิ้มเศร้า และด้วยเหตุผลบางประการทำให้คุณนายวิกเซ่นหันมองไปทางอื่น “ไม่ มันไม่มีอะไรแบบนั้น ฉันคิดว่านัก...ฉันหมายถึงอดีตมือสังหารอย่างคุณน่าจะเข้าใจ ทุกสิ่งเพียงแค่เกิดขึ้น ก็เท่านั้น”
“สิ่งดีดีเกิดขึ้นได้ สิ่งชั่วร้ายเองก็เช่นกัน” เธอพูดออกมาอย่างชัดเจน ราวกับมันเป็นความจริงแท้ที่ไม่อาจแปรเปลี่ยน สิ่งที่เธอเรียนรู้ สิ่งที่เธอพบเจอมาด้วยตัวเอง “มันไม่มีการต่อสู้อะไรทั้งนั้น นอกจากภายในนี้” เธอชี้ไปที่ศีรษะของตนเอง “กับในนี้” ซึ่งเธอจิ้มนิ้วเรียวสวยนั้นมาที่หน้าอกด้านซ้ายของเขา
เขาได้แต่เงียบ ไม่รู้ว่าจะตอบโต้คำพูดนี้ของเธออย่างไร
“แต่คุณอาจจะพูดถูกก็ได้ ว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่โจรจะเข้าปล้นหมู่บ้าน พวกเราอาจต้องทำอะไรบางอย่าง ซึ่งคงต้องรอดูกันต่อไป”
“แต่มันจะเสียเวลามากเกินไปหรือเปล่า” เธอหันไปถามนาง “ฉันไม่ค่อยแน่ใจเรื่องของเวลาในโลกความฝันแบบนี้”
“เมื่อความฝันจบลง มันก็จะยังคงเป็นค่ำคืนเดิม หรือไม่ก็แค่ยามเช้าเท่านั้น ไม่ว่าฝันนั้นจะสั้นหรือยาวก็ตาม” แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว นางเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกันว่าความฝันครั้งนี้ก็จะยังคงเป็นเช่นนั้น