เราทำงานมาตั้งแต่เรียนจบก็ประมาณ 10 ปีเห็นจะได้ แต่ที่สุดท้ายที่ทำ จะเป็นที่ที่ทำนานที่สุด ผูกพันธ์ที่สุด ก่อนจะตัดสินใจหันหลังให้กับงานที่ทำมาเพื่อออกมาดูแลลูก ซึ่งเป็นเหตุผลที่เพื่อนร่วมงานต่างไม่เข้าใจว่าทำไม ทุกคนต่างคัดค้านการยื่นใบลาออกของเรา รวมถึงหัวหน้างานและผู้บริหาร โดยยื่นข้อเสนอต่าง ๆ นานาให้ลองพิจารณาดู ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานแบบรายวัน ถ้าวันไหนมาก็รับเงินไป ถ้าวันไหนไม่มาก็ไม่ได้เงิน หรือมาดูแลระบบให้เดือนละครั้ง แต่เราก็ยังยืนยันความตั้งใจเดิมว่าจะลาออก เมื่อทุกคนไม่สามารถรั้งไว้ได้ช่วงเดือนสุดท้ายทุกคน (เพื่อนร่วมงานในแผนก) ต่างอาลัยอาวรณ์ และนับถอยหลังในการสิ้นสุดการเป็นพนักงานและเพื่อนร่วมงานกันอย่างหดหู่ใจ รวมไปถึงตัวเราเองด้วย 2 อาทิตย์สุดท้าย เรานั่งร้องไห้แทบทุกวันเอามือลูบโต๊ะทำงานที่เราเคยนั่งมาตลอด แล้วน้ำตามันก็ร่วงออกมาเอง พอน้อง ๆ ในแผนกเห็นก็พาลจะร้องตามกันหมด เราเลยต้องทำแอ๊บเข้มแข็ง (แต่ใจเศร้าสุด ๆ )

ปลอบใจทุกคนว่าอีกหน่อยก็มีคนใหม่เข้ามา มีงานทำทั้งวัน ยุ่งจนไม่มีเวลาคิดถึงเราไปเอง เวลาจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น
...... และแล้ว ........ วันสุดท้ายก็มาถึง>>>>> เราร่ำลากันด้วยน้ำตา แต่เราก็ต้องแอ๊บเข้มแข็งเหมือนเดิมบอกกับน้อง ๆ ไปว่าเดี๋ยวเราคงได้ร่วมงานกันอีก นัดกินข้าวกันก็ได้ บลา ๆๆๆ
ช่วงแรก ๆ กับความรู้สึก สบายแฮะ ตื่นกี่โมงก้ได้ ไม่ต้องรีบอะไรเลย อยู่บ้านกับลูกสบายใจจังเล้ยยยย มีความสุขด้วย นัดเจอน้อง ๆ ที่ทำงานเป็นครั้งคราว กินข้าว เม้าส์กัน กลับมาอยู่กับลูก ในหัวตัดเรื่องงานออกไป เออ โล่งดีแฮะ อิอิ
พอผ่านไปสักระยะ เข้าเดือนที่สอง สาม ความเบื่อก็เข้ามาครอบงำ อดีตเพื่อนร่วมงานจากเคยโทรมาเมาส์ ไลน์มา ก็ เงียบ

นัดกินข้าว เม้าส์กัน ก็ยกเลิกนัด เพราะติดงาน วัน ๆ วุ่นวายกับลูกและงานบ้าน อ่อ พันทิป อีกนิดหน่อย อิอิ เราเลยโพสต์เข้าไปในเฟชบุ๊กว่าอยากทำงาน อยากมีสังคม ไม่นานเพื่อน ๆ ต่างก็เม้นท์มาถล่มทลาย ประมาณว่า "มีแต่คนอยากอยู่บ้านเฉย ๆ", "อยู่กับลูกมีความสุขจะตายไป" , "อยากมีสังคมเหรอ ก็หาอะไรขายหน้าบ้านดิ ได้ดูแลลูก สามี แล้วก็มีสังคมด้วย" บลา ๆๆๆๆ
เราก็ตัดบทด้วยคำว่า "ไว้จะลองดู" เฮ้ยยย!!!! ถอนหายใจยาว ๆ เข้าใจมั้ยคะว่าคนอยากมีสังคม ช่วยแยกแยะโหน่ยได้มั้ย ไม่ใช่ว่าออกไปทำงานมีเพื่อนแล้วจะทอดทิ้งลูก มันไม่ใช่ แต่เราอยากจะมีเพื่อนเอาไว้เม้าส์ "เฮ้ย ตัวเองเมื่อคืนดูลั่นทมมั้ยอะ น่ากลัวเนอะ...." อาไรอย่างเงี้ยะ ไว้เม้าส์เรื่อยเปื่อย เม้าส์สามีบ้าง เม้าส์หนังละคร เหตุบ้านการเมือง อะไรแบบนี้ถ้าสมมุติขายลูกชิ้นปิ้งหน้าบ้านมีคนมาซื้อจะชวนคุยเรื่องพวกนี้ได้เหรอ "นี่ เทอ ๆ เมื่อคืนนะ สามีชั้นเค้าละเมอ เค้าว่า........" เออ คนมาซื้อคงจะมองหน้าแล้วว่า "อินี่จะมาเล่าให้ตรูฟังทำไม ? " จริงมะ
แล้วเจอมาสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อเช้านี้เอง บังเอิญเจอแฟนของน้องที่ทำงาน เค้าเข้ามาคุยด้วยบอกว่าเสาร์นี้มีปาร์ตี้ Admin ที่.......... ความรู้สึกแรกที่รู้สึกนะ "ทำไมไม่มีใครโทรมาชวนเราแว้..." แล้วตามมาด้วยความน้อยใจต่าง ๆ นานา แต่ความรู้สึกหนึ่งก็ดึงเรากลับออกมาคือ เราไม่ใช่คนในทีม Admin นั้นแล้วจะมารู้สึกแบบนี้อีกทำไม เพราะหลังจากที่เราออกมาก็มีคนเข้ามาหลายคน และดูเหมือนว่าจะเข้ากันได้ดีมาก เค้ามีกิจกรรมต่าง ๆ ทำด้วยกันหลังเลิกงาน (ตอนที่เราอยู่ไม่มีอะไรแบบนี้เลย) เต้นแอโรบิคบ้าง ไปกินข้าวกันบ้าง (แอบเข้าไปดูในเฟชบุ๊ค) ดูไปเราก็น้อยใจไป ไม่รู้ทำไม ในใจก็คิดว่าพวกเค้าคงลืมเราไปแล้ว คนทำงานกับคนที่อยู่บ้านเฉย ๆ มันคุยกันคนละเรื่องอยู่แล้ว ความทรงจำในการทำงานและกับเพื่อนร่วมงานของเรามันสิ้นสุดตรงวันที่เราตัดสินใจหันหลังลาออกมา แต่สำหรับพวกเค้ามันยังคงดำเนินต่อไป มีงานใหม่ ๆ เข้ามา มีเพื่อนใหม่ ๆ เข้ามา มีเรื่องให้คุยให้หัวเราะกันทั้งวัน ......และแล้ว เวลาก็ทำให้ทุกอย่างลบเลือนไป......
บ่นมาซะยืดยาว แต่จุดประสงค์แค่อยากระบาย และอยากรู้ว่าแม่บ้านคนไหนที่เป็นเหมือนเราบ้างเอ่ย ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเลย แบบว่าฟอร์มมันจัด แอ๊บตลอด กลัวเค้ารู้ว่าเราคิดถึงพวกเพื่อน ๆ โอ้ย!!!!! ไม่รู้ดิ มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริง ๆ
อดีตกรรมกรออฟฟิศที่กลายมาเป็นแม่บ้านเต็มตัว กับความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
...... และแล้ว ........ วันสุดท้ายก็มาถึง>>>>> เราร่ำลากันด้วยน้ำตา แต่เราก็ต้องแอ๊บเข้มแข็งเหมือนเดิมบอกกับน้อง ๆ ไปว่าเดี๋ยวเราคงได้ร่วมงานกันอีก นัดกินข้าวกันก็ได้ บลา ๆๆๆ
ช่วงแรก ๆ กับความรู้สึก สบายแฮะ ตื่นกี่โมงก้ได้ ไม่ต้องรีบอะไรเลย อยู่บ้านกับลูกสบายใจจังเล้ยยยย มีความสุขด้วย นัดเจอน้อง ๆ ที่ทำงานเป็นครั้งคราว กินข้าว เม้าส์กัน กลับมาอยู่กับลูก ในหัวตัดเรื่องงานออกไป เออ โล่งดีแฮะ อิอิ
พอผ่านไปสักระยะ เข้าเดือนที่สอง สาม ความเบื่อก็เข้ามาครอบงำ อดีตเพื่อนร่วมงานจากเคยโทรมาเมาส์ ไลน์มา ก็ เงียบ
เราก็ตัดบทด้วยคำว่า "ไว้จะลองดู" เฮ้ยยย!!!! ถอนหายใจยาว ๆ เข้าใจมั้ยคะว่าคนอยากมีสังคม ช่วยแยกแยะโหน่ยได้มั้ย ไม่ใช่ว่าออกไปทำงานมีเพื่อนแล้วจะทอดทิ้งลูก มันไม่ใช่ แต่เราอยากจะมีเพื่อนเอาไว้เม้าส์ "เฮ้ย ตัวเองเมื่อคืนดูลั่นทมมั้ยอะ น่ากลัวเนอะ...." อาไรอย่างเงี้ยะ ไว้เม้าส์เรื่อยเปื่อย เม้าส์สามีบ้าง เม้าส์หนังละคร เหตุบ้านการเมือง อะไรแบบนี้ถ้าสมมุติขายลูกชิ้นปิ้งหน้าบ้านมีคนมาซื้อจะชวนคุยเรื่องพวกนี้ได้เหรอ "นี่ เทอ ๆ เมื่อคืนนะ สามีชั้นเค้าละเมอ เค้าว่า........" เออ คนมาซื้อคงจะมองหน้าแล้วว่า "อินี่จะมาเล่าให้ตรูฟังทำไม ? " จริงมะ
แล้วเจอมาสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อเช้านี้เอง บังเอิญเจอแฟนของน้องที่ทำงาน เค้าเข้ามาคุยด้วยบอกว่าเสาร์นี้มีปาร์ตี้ Admin ที่.......... ความรู้สึกแรกที่รู้สึกนะ "ทำไมไม่มีใครโทรมาชวนเราแว้..." แล้วตามมาด้วยความน้อยใจต่าง ๆ นานา แต่ความรู้สึกหนึ่งก็ดึงเรากลับออกมาคือ เราไม่ใช่คนในทีม Admin นั้นแล้วจะมารู้สึกแบบนี้อีกทำไม เพราะหลังจากที่เราออกมาก็มีคนเข้ามาหลายคน และดูเหมือนว่าจะเข้ากันได้ดีมาก เค้ามีกิจกรรมต่าง ๆ ทำด้วยกันหลังเลิกงาน (ตอนที่เราอยู่ไม่มีอะไรแบบนี้เลย) เต้นแอโรบิคบ้าง ไปกินข้าวกันบ้าง (แอบเข้าไปดูในเฟชบุ๊ค) ดูไปเราก็น้อยใจไป ไม่รู้ทำไม ในใจก็คิดว่าพวกเค้าคงลืมเราไปแล้ว คนทำงานกับคนที่อยู่บ้านเฉย ๆ มันคุยกันคนละเรื่องอยู่แล้ว ความทรงจำในการทำงานและกับเพื่อนร่วมงานของเรามันสิ้นสุดตรงวันที่เราตัดสินใจหันหลังลาออกมา แต่สำหรับพวกเค้ามันยังคงดำเนินต่อไป มีงานใหม่ ๆ เข้ามา มีเพื่อนใหม่ ๆ เข้ามา มีเรื่องให้คุยให้หัวเราะกันทั้งวัน ......และแล้ว เวลาก็ทำให้ทุกอย่างลบเลือนไป......
บ่นมาซะยืดยาว แต่จุดประสงค์แค่อยากระบาย และอยากรู้ว่าแม่บ้านคนไหนที่เป็นเหมือนเราบ้างเอ่ย ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเลย แบบว่าฟอร์มมันจัด แอ๊บตลอด กลัวเค้ารู้ว่าเราคิดถึงพวกเพื่อน ๆ โอ้ย!!!!! ไม่รู้ดิ มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริง ๆ