กขค. ในฮันนีมูนทริปที่โมร็อคโค (Morocco) - ตอนที่ 2: Bangkok - El Jajida - Essaouira

กระทู้สนทนา
กขค. ในฮันนีมูนทริปที่โมร็อคโค (Morocco) - ตอนที่ 1: ข้อมูลน่ารู้ http://pantip.com/topic/32036302


ตั้งแต่ตอนที่ 2 เป็นต้นไปจะเล่าเรื่องการเดินทางไปในแต่ละเมืองนะคะ (ออกแนวบันทึกการเดินทาง)

เป็นครั้งแรกที่ได้บินกับสายการบินของอาหรับ ซึ่งครั้งนี้ไปกับ Qatar Airways ซึ่งเรียกเข้าเครื่องก่อนเวลาที่จะออกเกือบ 1 ช.ม. โดยจนท. ให้เหตุผลว่า ถ้าผู้โดยสารครบก่อนเวลา เครื่องก็สามารถขึ้นได้ก่อนเวลา แต่สุดท้าย เอาเข้าจริง ก็ออกตามเวลาที่กำหนด
ก่อนเดินทางก็นึกถึงแอร์โฮสเตสที่เป็นสาวอาหรับ แต่ขึ้นไปปรากฎว่าเจอแต่สาวหมวยตัวใหญ่ๆ หน้าตาน่ารัก อาหารการกินก็จะเป็นสไตล์อาหรับ คือไม่มีอาหารที่ทำจากหมู (เพราะอาหรับเป็นประเทศมุสลิม) ส่วนใหญ่ทำจากเครื่องเทศ อาหารว่างก็จะมีให้เลือกเป็น แป้งห่อไก่ผัดเครื่องเทศ (แป้งจะแข็งๆ หน่อย) หรือโรตีมังสวิรัต (อันนี้แป้งบางๆ นุ่มๆ) ที่ติดใจมากคือ น้ำมะเขือเทศซึ่งเข้มข้นมาก จนต้องขอเพิ่มเพื่อมาจิ้มกับไข่และไส้กรอกแทนซอสมะเขือเทศ
อมยิ้ม05
การเดินทางราบรื่นดีหลังดูหนังจบไป 3 เรื่อง พอใกล้จะถึงสนามบิน Doha กัปตันประกาศว่าอีก 13 นาทีจะถึงสนามบินแล้ว คุณแอร์โฮสเตสก็ประกาศให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดให้เรียบร้อยแล้วคุณเธอก็ไปนั่งประจำที่เตรียมเครื่องลง จขกท. ดูเวลาแล้ว เหลืออีก 2.30 ช.ม ในการเปลี่ยนเครื่อง... อืม... น่าจะทันอยู่...
แต่ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว เครื่องก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลง เหมือนจะบินวนไปวนมา จขกท.กับเพื่อนก็เริ่มวิตกจริตว่าจะไปต่อเครื่องไม่ทัน ทันใดนั้น! ก็มีเด็กหนุ่มที่เป็นผู้โดยสารคนนึงวิ่งหน้าตาตื่นมา คุณแอร์ฯ ต้องเตือนว่าให้กลับไปนั่งที่ แต่เด็กหนุ่มบอกว่า “Please help me!”... เอาละสิ... เกิดอะไรขึ้นเนี่ย...
อมยิ้ม19
เด็กหนุ่มบอกว่ามีคนป่วยอยู่ ให้ช่วยรีบไปดูที ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่ง จขกท. มากนัก คุณแอร์ฯ ก็วิ่งไปดูแล้วกลับมาโทรศัพท์บอกกัปตันว่ามีคนป่วยฉุกเฉิน กัปตันก็ประกาศว่า ถ้ามีท่านใดเป็นหมอให้ช่วยมาดูอาการด่วน ระหว่างรอหมอ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีไหม) ผู้หญิงที่มากับคนป่วยก็ร้องไห้แล้วเรียกชื่อผู้ป่วยใหญ่ (เริ่มใจไม่ดี) ซักพักก็มีคนวิ่งมา 3-4 คน คาดว่าคงเป็นหมอทั้งหมด แต่เหมือนคนที่มาถึงก่อนจะรับมืออยู่ คนที่เหลือเลยเดินกลับไป... หมอจับคนไข้นอนลงแล้วก็ตรวจอะไรซักอย่าง จนเหมือนอาการจะดีขึ้น (คาดว่าน่าจะเป็นลมชัก) แล้วกัปตันก็ประกาศว่า อีกห้านาทีจะเอาเครื่องลงเพราะมีผู้ป่วยฉุกเฉิน... ตอนนี้เหลือเวลาอีก 40 นาทีในการเปลี่ยนเครื่อง

พอเครื่องลงแล้วขอให้ผู้โดยสารนั่งอยู่กับที่เพื่อนำผู้ป่วยลงก่อน (ระหว่างนั้น จขกท. ก็ถามคุณแอร์ฯ ว่า ด้วยเวลาที่เหลืออยู่ คิดว่าน่าจะไปเปลี่ยนเครื่องทันไหม คุณแอร์เช็คตั๋วแล้ว บอกว่าทันแน่ เลยใจชื้นขึ้นมาหน่อย) พอออกจากเครื่อง ต้องต่อรถบัสเพื่อไปอาคารผู้โดยสารอีกประมาณห้านาที พอรถจอดก็เตรียมวิ่งกันเลย แต่ไหงประตูรถไม่เปิดออกซักทีละ??? ปรากฎว่าประตูมันเป็นระบบป้องกันคนหนีออกจากรถมั้ง ประตูจึงสามารถเปิดออกได้จากการกดปุ่มด้านนอกเท่านั้น ซึ่งต้องรอให้จนท. มาเปิดให้... พอลงได้เท่านั้นแหล่ะ... วิ่งกันอุตลุดเพราะเหลือเวลาอีก 20 นาที... โชคดีที่หลังจากเข้าอาคารผู้โดยสารแล้ว ทุก Gate ต้องขึ้นไปชั้น 2 ซึ่งพอขึ้นไปปุ๊บ ก็เจอเลย เลยได้มีเวลาหายใจหายคอกันหน่อย...

บริเวณที่รอ มีปลั๊กให้ชาร์ทแบตด้วยคะ


อาศัยช่วงเวลาที่มีอยู่น้อยนิด เดินดู Duty Free ของที่นี่ ราคาไม่ถูกนัก และสังเกตว่าพนักงานในอาคารโดยสารนี้ ไม่ว่าจะเป็น จนท. รักษาความปลอดภัย, แม่บ้าน, พนง. ต้อนรับ จะเป็นชาวเอเชียแถบบ้านเราเกือบทั้งนั้น คาดว่าชาวอาหรับส่วนใหญ่คงไม่มาทำงานบริการเลยจ้างชาวเอเชียแถบบ้านเราซึ่งค่าแรงถูกกว่ามาทำงานแทน  ราคาอาหารในสนามบินแพงตามปกติ (จขกท. แนะนำให้พกขวดน้ำพลาสติกไปด้วย ก่อนขึ้นเครื่องให้เทน้ำออกให้หมด แล้วค่อยไปเติมหลังผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือขอเติมบนเครื่องบิน จะได้ไม่ต้องซื้อน้ำทานคะ)


ระหว่างรอเครื่อง ก็มีการประกาศเปลี่ยน Gate (ให้ระวังด้วยนะคะ เดี๋ยวนั่งเพลินจนลืมฟังประกาศแล้วจะตกเครื่อง) ซึ่งหลังจาก Check-in แล้วก็ต้องนั่งรอรถบัสเพื่อไปขึ้นเครื่องที่ใช้เวลาขับไปประมาณ 10 นาทีได้ (นานซะจนนึกว่าคนขับพาเข้าไปเที่ยวในเมืองก่อนค่อยขึ้นเครื่อง แม้แต่คนขับเองก็คงงงๆ เพราะเลี้ยวไปจอดผิดเครื่อง ต้องกลับออกมาใหม่ แล้ววนหาเครื่องที่ถูก 555)... ก็หวังว่าเครื่องถัดไปคงไม่มีมีเหตุการณ์ตื่นเต้นแล้วนะ...

ขึ้นเครื่องใหม่คราวนี้ที่นั่งค่อยข้างโล่ง จขกท. เลยไปนั่งแถว 4 ตอน โดยมีลุงฝรั่งนั่งชิดริมซ้าย จขกท. เลยนั่งชิดริมขาว ตรงกลางว่าง ซึ่งการเดินทางก็ดำเนินไปด้วยดี ลุงฝรั่งเริ่มนอนเยียดยาว 3 เก้าอี้ โดยหันขามาทาง จขกท. ซึ่งจขกท. ก็ไม่ถือ นั่งหลับได้ไม่มีปัญหา... แต่พอนอนๆ ไปซักพัก เหมือนมีคนมาสะกิดที่ขาซ้ายอยู่นั่นแหล่ะ ตื่นมา เห็นเท้าลุงฝรั่งกระตุก... จขกท. ก็นั่งมองอยู่นาน จนลงความเห็นว่า ลุงแกคงเป็นประเภทนอนแล้วเส้นกระตุก ลุงไม่ได้ตั้งใจ ก็พยายามเขี่ยๆ เท้าลุงออกไปห่างๆ แล้วนอนต่อ... แต่เท้าลุงก็ยังไม่หายกระตุกมาโดนอยู่นั่นแหล่ะ ก็หาหนังสือพิมพ์มากันก็แล้ว เอาหมอนมากันก็แล้ว เท้าลงก็ยังกระตุกมาโดน (ลุงแกไม่รู้สึกตัวเลย) สุดท้ายเริ่มโมโห เอาสันหนังสือพิมพ์จิ้มเท้าลุง จนลุงรู้สึกตัวค่อยหดขากลับไป... หลังจากนั้นก็ค่อยนอนได้อย่างเป็นสุขจนถึง Casablanca...
อมยิ้ม17
ถึงสนามบิน Casablanca เกือบ 9 โมง (ตอนนี้เริ่มสับสนเรื่องเวลา เพราะต้องปรับนาฬิกาสามรอบ) หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง (ซึ่งมีสติ๊กเกอร์ “Smile… You are in Casablanca” ติดอยู่ตรงกระจกหน้าจนท. ตรวจคนเข้าเมือง แต่ จนท. ทำหน้าดุมาก) จขกท. กับเพื่อนสาวไม่โดนถามอะไร แต่คุณสามีของเพื่อนโดยถามซะละเอียดยิบ... จากนั้นก็ไปรับกระเป๋าที่อยู่ชั้น 1 ซึ่งจะมีบูธสำหรับแลกเงินอยู่ใกล้ๆ กัน ก็จัดการแลกเงินให้เรียบร้อยแล้วเดินออกมาหาคนขับรถ ...

อาลีเป็นชาวเบอร์เบิร์น ตัวสูงผอม พูดภาษาอังกฤษได้ดี สงสัยอะไรก็ตอบได้หมด (ถูกหรือเปล่าอีกเรื่องนึง) เป็นคนง่ายๆ แต่เคร่งครัดเรื่องกฎจราจรมาก (เพราะไม่อยากเสียเวลากับตำรวจ) และอาลีบอกว่าตัวเองเป็น Muslim Light คือ ไม่ได้เคร่งมากนัก
อากาศที่ Casablanca เช้านี้อยู่ที่ 18 องศา หนาวกำลังดี และฟ้าใสมาก

อาลีพาเรามุ่งหน้าออกจาก Casablanca ไป Essaouira โดยใช้เส้นทางผ่าน El Jajida ซึ่งจะไปแวะทานอาหารเที่ยงที่นั่น โดยอาลีให้เหตุผลว่า แม้เส้นทางไป El Jajida จะใช้เวลานานว่าเส้นทางไป Marakesh  แต่ได้เห็นวิวข้างทางที่สวยกว่า ซึ่งสองข้างทางส่วนใหญ่จะเป็นทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์ มีแม่น้ำไหลผ่านบ้าง 1-2 สาย

เมือง El Jajida เป็นเมืองริมทะเลที่เคยเป็นอาณานิคมของโปรตุเกตมาก่อน อาลีเอาเรามาปล่อยลงบริเวณทางเดินเลียบทะเล หาดทรายเป็นทรายเม็ดใหญ่ๆ สีตุ่นๆ หน่อย เห็นเด็กหนุ่มวิ่งแตะบอลกันริมชายหาด บ้างก็นั่งเล่นชมวิว รู้สึกสงบดี

แวะทางอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารซีฟู้ด ต้องไปเลือกว่าจะเอาปลาตัวไหน ให้ทำอะไร แต่รสชาดมะกอกดองที่นี่สุดยอดมากแบบว่าต้องคายทิ้ง เพราะกลิ่นและรสชาดแรงมาก อาหารทะเลอร่อยดี โดยเฉพาะปลาหมึกชุปแป้งทอด ได้ลองชามินท์ของขึ้นชื่อ Morocco ด้วย หวานๆ หอมๆ อร่อยดี

ทานข้าวเที่ยงเสร็จก็เดินทางต่อ เห็นข้างทางมีส้มวางขายก็อยากลองชิม อาลีแวะซื้อมาให้ชิม เปลือกหนามาก แกะยากหน่อย (เวลาแกะจะนึกถึงส้มเขียวหวานบ้านเราที่เปลือกบางๆ มาก)

วิวสองข้างทางระหว่าง El Jajida ไป Essaouira ยังคงเป็นทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์ สลับกับไร่ผักเป็นระยะ สลับเนินเขาเตี้ยๆ ที่ตอนแรกสงสัยว่าคนที่นี่ตัดไม้ทำลายป่ากันหรือ ภูเขาจึงแทบไม่มีต้นไม้ให้เห็นเลย แต่อาลีบอกว่ามันเป็นธรรมชาติที่ไม่มีต้นไม้ขึ้น และที่สังเกตคือ ไม่เห็นแม่น้ำลำธารเลย แต่จะเห็นหอสูง กลม ขนาดใหญ่ ตั้งเป็นระยะๆ แทน อาลีบอกว่ามันคือ ถังกักเก็บน้ำของระบบชลประทาน ซึ่งเอาไว้เก็บน้ำตอนหน้าฝนแล้วปล่อยมาให้ชาวบ้านใช้กันตอนหน้าแล้ง

บ้านเรือนและกำแพงกั้นอาณาเขตของพื้นที่ส่วนใหญ่จะสร้างจากการเอาหินมาก่อเรียงกันเป็นชั้นๆ ซึ่งก็สงสัยว่าเอาหินมาจากไหนเยอะแยะ จนมานั่งรถผ่านบริเวณร้างที่ไม่ได้ทำการเพาะปลูก เห็นสภาพพื้นดินดั้งเดิมเป็นดินทรายปนหิน เลยทำให้ถึงบางอ้อว่า คนที่นี่แยกเอาหินในดินเพื่อให้สามารถทำการเพาะปลูกได้ แล้วก็เอามาสร้างบ้านที่อยู่อาศัยไปในตัว (ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวจริงๆ) ส่วนพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง จะเห็นคนที่นี่ใช้ลาเป็นพาหนะกันซะส่วนใหญ่ อาลีบอกว่า พาหนะหลักที่นี่ไล่ลำดับความสำคัญ คือ ลา -> จักรยาน -> มอเตอร์ไซด์ -> Taxi -> รถยนต์ส่วนตัว... แล้วการขี่ลาของที่นี่ ทั้งชายและหญิงคือ จะไม่นั่งคร่อม แต่จะนั่งหันข้างซ้ายแทน (เสียดายไม่มีโอกาสได้ลองนั่งลา)



ก่อนถึงเมือง Essaouira อาลีจอดรถให้ถ่ายรูปเมือง Essaouira ในมุมสูงก่อน

มาถึง Essaouira เกือบหกโมงเย็น ทางเข้า Medina ลานจตุรัสกว้างๆ ขวามือเป็น Medina ซ้ายมือเป็นท่าเรือสีฟ้า อาลีเรียกลุงที่ให้บริการรถเข็นมาช่วยขนกระเป๋าแล้วพาไปที่โรงแรม (ทางเดินซับซ้อนมาก) ระหว่างทางจะเจอแมวจรจัดเยอะมาก ตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้น


คืนนี้เรานอนกันที่ Dar Al Bahar พนง.ที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย หลังเก็บของแล้วก็ออกไปเดินเล่น และหาอะไรกิน ตัวโรงแรมอยู่ไม่ไกลจากป้อมปืนใหญ่ (Skala de la Ville) มากนัก ช่วงที่ไปเป็นตอนพระอาทิตย์กำลังตกพอดี สวยมาก ถ้าขึ้นไปยืนบนกำแพง ต้องเกาะให้ดี เพราะลมแรงมาก แล้วด้านล่างก็เป็นหน้าผา สูงประมาณตึก 3 ชั้นได้

ชมวิวเสร็จก็หาอะไรเติมท้อง พนง.ที่โรงแรมแนะนำร้านอาหารมาให้ โดยเขียนลงไปในแผนที่ที่ให้มา แต่มันใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย เพราะทางเดินของจริงมันงงมากกกก จนต้องไปถามคนแถวนั้นเอาให้พาไป (คนพื้นที่ยังงงเลย) ร้านอาหารชื่อ Chez Les Freres อยู่ในตรอกซอกหลืบไม่ไกลจากโรงแรม (แต่เดินวนหาตั้งนาน) เจ้าของยังหนุ่มอยู่เลย คนน้องร้บแขก คนพี่ทำอาหาร ตอนขอเมนู คนน้องก็ไปยกป้ายใหญ่ๆ หน้าร้านมาให้ดู บอกกว่าขี้เกียจทำเมนูใหม่ เขียนขึ้นกระดานทีเดียว แล้วยกมาให้ดูง่ายกว่า

กินอิ่มก็เดินเล่น (มั่วๆ) ซักพักก็กลับโรงแรมนอนกัน เพราะวันนี้เดินทางกันมายาวนานมาก...




ตอนหน้า เป็นการเดินทางจาก Essaouira ไป Marakesh คะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่