กขค. ในฮันนีมูนทริปที่โมร็อคโค (Morocco) - ตอนที่ 1: ข้อมูลน่ารู้
http://pantip.com/topic/32036302
กขค. ในฮันนีมูนทริปที่โมร็อคโค (Morocco) - ตอนที่ 2: Bangkok - El Jajida - Essaouira -
http://pantip.com/topic/32064444
14 มี.ค. 2557
ตื่นหกโมง อาบน้ำอาบท่าแล้วย่องออกไปถ่ายรูปตอนเจ็ดโมง
แสงแรกของวันเริ่มมาแล้ว ถนนไม่มืดมาก ยังไม่ค่อยมีคนเดินและร้านส่วนใหญ่ก็ยังปิดอยู่ เดินมาเรื่อยๆ จนถึงป้อมปืนใหญ่ ปรากฎว่าประตูทางเข้าปิด กะว่าจะเดินต่อไปทางอื่นแล้ว แต่เจอหนุ่มคนนึงเดินมาเปิดร้านหน้าป้อม เลยเข้าไปถามว่าประตูเปิดกี่โมง ชายหนุ่มบอกว่าเปิดประมาณ 10 โมง แต่ปกติจะมีลุงคนนึงนอนเฝ้าประตูอยู่ แล้วเขาก็เดินไปเรียกลุงคนที่นอนอยู่แล้วถามประมาณว่า เข้าไปได้ไหม... ลุงก็ตะโกนตอนกลับมาทั้งๆ ที่ยังนอนคลุมโปงอยู่ ประมาณว่า "เออๆ เข้ามาเลย" ชายหนุ่มเลยเปิดประตูเข้าไปให้... โอ้โฮ! สวรรค์ชัดๆ เพราะเมื่อวานที่มาตอนเย็น คนเยอะมาก ถ่ายรูปแล้วติดคนเต็มไปหมด แต่ตอนนี้ไม่มีคนเลย อยากถ่ายตรงไหนก็ถ่าย มีแต่ปีนใหญ่กับนกนางนวล
เกือบๆ แปดโมง ลุงที่เฝ้าประตูตื่นแล้ว เห็น จขกท. ก็เรียกให้ออกมา บอกว่ายังไม่เปิด เข้ามาได้ไง (สงสัยตอนให้เข้าไม่รู้ว่าเป็นชาวต่างชาติมั้ง เลยให้เข้ามาได้) ออกจากป้อมปืนใหญ่ ก็เดินเลาะกำแพงเมืองด้านในไปเรื่อยๆ เพื่อท่าเรือ Skala du Port ที่มีเรือไม้สีฟ้าขึ้นชื่ออยู่
จากที่อ่านมา ท่าเรือจะเปิดให้เข้าตอน 9.30 น. จขกท.ก็ไปด้อมๆ มองๆ แถวปากทางเข้า เห็นมีนักท่องเที่ยวฝรั่ง 2-3 คนเดินๆ อยู่แถวนั้น จขกท. เลยเดินเนียนๆ เข้าไปข้างใน เจอท่าจอดเรือไม้สีฟ้าละลานตาเต็มไปหมด และมีอู่ต่อเรือด้วย เลยเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ใจนึงก็กลัว เพราะคนแถวนี้ส่วนใหญ่น่าจะเป็นกะลาสีเรือ น่าจะพูดกันไม่รู้เรื่อง ถ้าวิ่งหนีก็คงวิ่งไม่ทัน (เพราะขาสั้น) เลย ยังทำตัวเนียนๆ อยู่ ซักพักพอเริ่มคุ้น (หมายถึง คนที่นี่เริ่มคุ้นกับ จขกท. นะ) ก็เริ่มยิ้มทักทาย แล้วก็ขอถ่ายรูปซะเลย....
เกินวนอยู่ซักพักก็กลับมาที่โรงแรม เพราะนัดทานอาหารเช้ากับเพื่อนไว้ที่โรงแรมตอน 9 โมง อาหารเช้าเป็นง่ายๆ คือ มีขนมปังท้องถิ่น (กลมๆ แบนๆ) โรตี Fruit salad น้ำส้ม ชา-กาแฟ เนย แยม อร่อยดี ขอเติมได้ด้วย
เสร็จอาหารเช้าก็ออกมาเดินเล่นใน Medina ผ่านตลาดสด เห็นหัวแพะวางขายกันสดๆ แต่ที่น่าตื่นเต้นบวกฮาคือ เดินผ่านร้านขายของชำร้านนึง เห็นวางขาย “ไฟคาดหัว” เขียนเป็นภาษาไทยเลย เลยเดินเข้าไปบอกคนขายว่า อันนี้มาจากประเทศไอแหล่ะ คนขายทำท่าตื่นเต้น แล้วถามว่า “ยูมาจากอินเดียเหรอ”... ฮา...
เดินมั่วไปมั่วมา ไปเจอตลาดค้าปลาในซอกหลืบนึงแถวตลาดสด ปลาตัวใหญ่ๆ และมีปลาแปลกๆ เยอะแยะไปหมด คนขายก็ตลกดี ชอบชี้ให้ดูปลาแล้วคะยั้นคะยอให้ถ่ายปลา ประมาณว่าภูมิใจนำเสนอสินค้ามาก
ระหว่างเดินเล่นใน Medina จะสังเกตเห็นป้ายสัญลักษณ์ วงกลม 3 ห่วงคล้องกันอยู่ ติดอยู่เหนือร้านค้าเป็นระยะๆ ตอนแรก จขกท. ก็สงสัย นึกว่าเป็นป้ายบอกทาง หรือป้ายตัวแทนโอลิมปิก (พึ่งมานึกได้ทีหลังว่าโอลิมปิกมี 5 ห่วงนี่น่า -_-‘) เลยไปถามอาลีทีหลังเลยได้รู้ว่า มันคือป้ายบอกว่า “ร้านนี้ขายบุหรี่”
เดินกลับออกมาที่ Medina ด้านนอก ผ่านย่านขายพรม แล้วก็กลับมาที่ท่าเรืออีกครั้ง
คราวนี้มากับเพื่อนและเริ่มมีนักท่องเที่ยวเยอะขึ้น เลยเดินเข้าไปข้างในจนสุดทาง ซึ่งเป็นบริเวณที่ชาวประมงเอาปลาขึ้น แล้วแล่ขายกันสดๆ บ้างก็กำลังม้วนเก็บอวนอยู่ โดยมีนกนางนวลตัวใหญ่บินไปมาหาจังหวะคาบเศษปลาที่ตกอยู่ไปกิน
ใกล้เที่ยงก็กลับไปเก็บของแล้ว Check out อัตราแลกเปลี่ยนที่โรงแรมนี้ 11 MAD/Euro ซึ่งดีกว่าที่แลกมาจากสนามบิน เลยจ่ายเป็นเงิน MAD แทน Check out เสร็จก็ฝากกระเป๋าไว้ แล้วออกมาทานอาหารเที่ยงกัน ลองร้านที่อยู่ตรงจตุรัสเลย ชื่อ Café de France ตอนแรกนึกว่าแพง แต่กลับถูกว่าร้านที่ทานเมื่อคืน แถมอร่อยกว่าด้วย ระหว่างทานอาหารกัน ก็เป็นเวลาที่ชาวมุลลิมต้องละหมาด จะเห็นคนมายืนออกันที่สุเหร่าจนล้นออกมาข้างนอก คนทำละหมาดก็ทำไป นักท่องเที่ยวก็เดินเที่ยวกันไป คนที่ยังทำงานอยู่มาละหมาดไม่ได้ก็ทำไป ดูแล้วก็เป็นภาพที่งงๆ ดี
บริเวณร้านอาหารแถวจตุรัส มีศิลปินพิการใช้ปากวาดรูปอยู่บนรถเข็นอยู่คนนึง ใครผ่านไปผ่านมาก็อย่าลืมอุดหนุนนะคะ ราคาใบละประมาณ 20 MAD
นัดอาลีมารับตอนบ่ายสองโมงครึ่ง เพื่อเดินทางต่อไป Marakesh ซึ่งจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นอีกเช่นเคย...
ระหว่างเดินทางไป Marakesh อาลีก็อธิบายถึงที่มาของชื่อประเทศ Morocco ว่ามาจากภาษาอาหรับคำๆ หนึ่ง แล้วเพี้ยนไปเพี้ยนมาจนกลายมาเป็นชื่อเมือง Marakesh ก่อน แล้วจึงมีการใช้ภาษา Marakesh ในการเรียกชื่อ ประเทศ Morocco อีกที
คุณสามีเพื่อนเลยถามต่อว่าทำไมที่ Essaouira มีแมวเยอะมาก อาลีบอกว่า คนสมัยก่อนเลี้ยงแมวไว้เพื่อจับหนู งู และแมลงมีพิษต่างๆ เช่น แมงป่อง แล้วตามหลักความเชื่อทางศาสนาคือ ไม่ให้ทำหมัน เลยมีแมวเต็มไปไหมด ซึ่งไม่ได้มีแมวเยอะเฉพาะที่ Essaouira เท่านั้น แต่มีแมวทุกที่ใน Morocco (แต่ จขกท. ยืนยันว่าที่ Essaouira มีเยอะที่สุดจริงๆ)
จขกท. เลยถามถึงกษัตริย์ของ Morocco เพราะระหว่างทางจะเห็นรูปท่านตั้งอยู่เป็นระยะ อาลีเล่าว่า กษัตริย์ของ Morocco จะมีอยู่ 2 ชื่อ คือ Mohammed และ Hassan เพราะคนอาหรับ เวลาตั้งชื่อลูก จะตั้งตามชื่อพ่อตัวเอง วนกันไปอย่างนี้ แต่จะมีการเรียกลำดับต่อท้ายชื่อเพื่อไม่ให้งง เช่น ถ้าพ่อชื่อ Mohammed ตั้งชื่อลูกว่า Hassan พอลูกมีหลาน หลานก็จะชื่อ Mohammed ที่ 2 พอมีเหลน เหลนก็จะชื่อ Hassan ที่ 2 ไล่กันไปเรื่อยๆ
วิวสองข้างทางจาก Essaouira ไป Marakesh ยังคงเป็นเนินเขาเตี้ยๆ สลับกับพื้นที่ราบ แต่แห้งแล้งมาก ไม่มีแปลงผัก หรือทุ่งหญ้าให้เห็นเลย แต่จะมีไร่มะกอกกับต้น Argus ขึ้นเป็นระยะๆ อาลีเล่าว่า ต้น Argus เป็นต้นไม้พิเศษ ขึ้นได้เฉพาะแถบเมือง Essouira ไปจนถึงเมือง Marakesh เท่านั้น เคยมีนายทุนเอาไปลองปลูกที่ Mexico ก็ปลูกขึ้น แต่ไม่ออกดอกผลอะไรเลย ลูกต้น Argus สามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยที่มีกลิ่นพิเศษ ใช้หมักผมและนำมาแปรรูปเป็นเครื่องสำอางค์ โดยมีโรงงานแปรรูปจากฝีมือของกลุ่มแม่ม่ายที่มารวมตัวกันทำอาชีพเสริมจนกลายมาเป็นสินค้าขึ้นชื่อของที่นี่ (โรงงานอยู่ระหว่างทางไปเมือง Marakesh สามารถแวะได้ แต่ จขกท. ไม่ได้แวะ แต่เห็นในตลาด Essaouira ก็มีร้านขายผลิตภัณฑ์จากต้น Argus โดยเฉพาะอยู่) การสังเกตว่าต้นไหนเป็นต้นมะกอกหรือต้น Argus คือ ต้นมะกอกใบจะออกสีเงินๆ หน่อย แต่ต้น Argus ใบจะออกสีเขียวเข้ม
ตลอดการเดินทางบนถนน จะมีป้ายวงกลมจำกัดความเร็วอยู่เป็นระยะ ซึ่งอาลีปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดมาก เลยใช้เวลาเดินทางนานกว่าปกติ เช่น ถ้าเป็นบ้านเราระยะทาง 200 ก.ม. ใช้เวลาประมาณ 2 ช.ม.กว่าๆ แต่ที่นี่อาจใช้เวลาถึง 3 ช.ม. กว่า เพราะส่วนใหญ่จำกัดความเร็วไว้ที่ 80 ก.ม./ช.ม. โดยจะมีตำรวจทางหลวงยืนถือกล้องวัดความเร็วคอยตรวจจับความเร็วอยู่เป็นระยะ ดังนั้นคนขับรถจะมีการส่งสัญญาณให้กันเวลาขับรถสวนกันเพื่อบอกว่า ข้างหน้ามีตำรวจยืนดักอยู่ไหม เช่น ถ้าโบกมือไปมา หมายถึง ไม่มีตำรวจอยู่ หรือ ถ้าชูสองนิ้ว หมายถึง มีตำรวจตั้งด่านอยู่ 2 ด่าน ถ้าเป็นตอนกลางคืน ก็อาศัยวิธีการกระพริบไฟเอา แล้วตามสี่แยกต่างๆ ทั้งในเมืองหรือตามต่างจังหวัด ก็จะทำเป็นวงเวียน ทุกแยก จะได้ไม่ต้องติดไฟแดง และไม่เกิดอุบัติเหตุ
มาถึง Marakesh ประมาณ ห้าโมงเย็น ก่อนเดินทางเข้าเขตเมือง Marakesh อาลีบอกว่า Marakesh หมายถึงเมืองสีชมพู จนเมื่อได้มาถึงตัวเมืองแล้ว ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงชื่อนี้ เพราะตึกรามบ้านช่องจะทาด้วยสีชมพูอ่อนคล้ายสีของดินทั้งเมือง อาลีบอกว่า ในเขต Medina จะบังคับให้ทุกบ้านทาสีชมพูเท่านั้น บ้านเรือนที่อยู่นอกเขต Medina ไม่ได้บังคับ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงทาสีชมพูกัน เพราะต้องการรักษาขนบธรรมเนียมเดิมไว้
บริเวณทางเข้าเขต Medina จะมีสุเหร่า Kotabia ตอนรับตรงประตูเมือง และเสาอากาศโทรทัศน์ทำเป็นรูปต้นปาล์ม เพื่อไม่ให้ขัดกับทรรศนียภาพโดยรอบ
ขับเข้ามาในเขต Medina ซักพัก อาลีก็พามาจอดหลังตึกแถวเก่าๆ ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเป็นที่ๆ มีโรงแรมอยู่ แต่อาลียืนยันว่าตรงนี้แหล่ะ แล้วก็บังเอิญมีชายฝรั่งคนนึงเดินมาพอดี อาลีก็เข้าไปทักแล้วบอกว่า ใช้ตามชายคนนี้ไป... ชายฝรั่งก็พาเดินเข้าไปในซอกตึก (ช่องทางเดินด้านซ้ายตรงมุมตึกของรูปด้านล่าง) เลี้ยวไปเลี้ยวมา ก็ไปหยุดอยู่หน้าประตูที่ติดชื่อไว้ว่า Riad Balkisse ซึ่งเป็นโรงแรมที่ จขกท. จองไว้ ชายฝรั่งเคาะประตูซักพักก็มีผู้หญิงคนนึงออกมา คุยอะไรบางอย่าง แล้วก็พาเดินไปตามซอกซอยต่อ... ตอนนี้ จขกท. กับเพื่อนๆ เริ่มมองหน้ากันงงๆ ว่าตกลงจองไว้ชื่อโรงแรมอะไรกันแน่ แล้วเขาจะพาเดินไปไหน เพราะยิ่งเดินยิ่งลึก ยิ่งเปลี่ยว... จนสุดท้าย ชายฝรั่งพามาอีกประตูนึง เขาบอกว่าที่นี่แหล่ะ พอเปิดประตูเข้าไปข้างใน ต้องร้องว่า “โอ้โห!” เลยทีเดียว เพราะด้านนอกที่ดูอัดอัดทึบๆ ด้านในกลับทำเป็นช่องเปิดทำให้อากาศโล่งและมีแสงส่องลงมา ดูสว่างมาก...แล้วชายฝรั่งก็แนะนำตัวเองว่าเป็นเจ้าของโรงแรมนี้และโรงแรมที่พวกเราจองไว้ ที่เขาพามาที่นี่เพราะโรงแรมด้านนอก (ตามชื่อที่จองไว้) มีแต่ห้องเล็ก แต่ จขกท. จองไว้ เป็นห้องสามคน เลยพามาโรงแรมด้านใน เพราะห้องใหญ่กว่า

จนท. โรงแรมที่ออกมาต้อนรับเป็นผู้หญิง ซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เอาชาสะระแหน่มาให้ดื่ม (หวานมาก) แล้วพาขึ้นที่พัก (เพื่อน จขกท. ดีใจมาก เพราะในห้องมีที่เป่าผมให้ด้วย) หลังเก็บของกัน ก็ออกมาเดินเล่นที่จตุรัสกลางเมืองชื่อ Djemma El-Fna ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก (เดินประมาณ 5 นาที ตอนแรกงงกับทางเดินในตรอกอาจใช้เวลานานหน่อย แต่พอชินแล้วก็สบาย)
จากโรงแรมที่พักก่อนถึงจตุรัส ต้องผ่านถนนคนเดินสายสั้นๆ ที่มีตึกแถวสองข้าง ด้านล่างทำเป็นร้านค้าขายของบ้าง ขายอาหารบ้าง ระหว่างทางเดินก็จะมีคนเข้าพยายามเข้ามาเสนอขาย Sahara tour เป็นระยะๆ ซึ่งมีลูกตื้อที่เก่งมาก วิธีที่ จขกท. ใช้ คือ บอกไปตรงๆ ว่า ฉันจองทัวร์ไว้แล้ว หรือไม่ก็ทำเฉยๆ เดินไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เลิกตามเอง เพราะข้างหน้าก็จะมีคนใหม่ดักรอขายอยู่ (555) นอกจากทัวร์ทะเลทราย ก็จะมีคนดำยืนขายมือถืออยู่เป็นระยะ แต่คนดำพวกนี้จะไม่ค่อยเข้าหานักท่องเที่ยว เน้นขายคน Morocco มากกว่า
ต่อ Comment ด้านล่างเลยคะ
กขค. ในฮันนีมูนทริปที่โมร็อคโค (Morocco) - ตอนที่ 3: Essaouira - Marakesh
กขค. ในฮันนีมูนทริปที่โมร็อคโค (Morocco) - ตอนที่ 2: Bangkok - El Jajida - Essaouira - http://pantip.com/topic/32064444
14 มี.ค. 2557
ตื่นหกโมง อาบน้ำอาบท่าแล้วย่องออกไปถ่ายรูปตอนเจ็ดโมง
แสงแรกของวันเริ่มมาแล้ว ถนนไม่มืดมาก ยังไม่ค่อยมีคนเดินและร้านส่วนใหญ่ก็ยังปิดอยู่ เดินมาเรื่อยๆ จนถึงป้อมปืนใหญ่ ปรากฎว่าประตูทางเข้าปิด กะว่าจะเดินต่อไปทางอื่นแล้ว แต่เจอหนุ่มคนนึงเดินมาเปิดร้านหน้าป้อม เลยเข้าไปถามว่าประตูเปิดกี่โมง ชายหนุ่มบอกว่าเปิดประมาณ 10 โมง แต่ปกติจะมีลุงคนนึงนอนเฝ้าประตูอยู่ แล้วเขาก็เดินไปเรียกลุงคนที่นอนอยู่แล้วถามประมาณว่า เข้าไปได้ไหม... ลุงก็ตะโกนตอนกลับมาทั้งๆ ที่ยังนอนคลุมโปงอยู่ ประมาณว่า "เออๆ เข้ามาเลย" ชายหนุ่มเลยเปิดประตูเข้าไปให้... โอ้โฮ! สวรรค์ชัดๆ เพราะเมื่อวานที่มาตอนเย็น คนเยอะมาก ถ่ายรูปแล้วติดคนเต็มไปหมด แต่ตอนนี้ไม่มีคนเลย อยากถ่ายตรงไหนก็ถ่าย มีแต่ปีนใหญ่กับนกนางนวล
เกือบๆ แปดโมง ลุงที่เฝ้าประตูตื่นแล้ว เห็น จขกท. ก็เรียกให้ออกมา บอกว่ายังไม่เปิด เข้ามาได้ไง (สงสัยตอนให้เข้าไม่รู้ว่าเป็นชาวต่างชาติมั้ง เลยให้เข้ามาได้) ออกจากป้อมปืนใหญ่ ก็เดินเลาะกำแพงเมืองด้านในไปเรื่อยๆ เพื่อท่าเรือ Skala du Port ที่มีเรือไม้สีฟ้าขึ้นชื่ออยู่
จากที่อ่านมา ท่าเรือจะเปิดให้เข้าตอน 9.30 น. จขกท.ก็ไปด้อมๆ มองๆ แถวปากทางเข้า เห็นมีนักท่องเที่ยวฝรั่ง 2-3 คนเดินๆ อยู่แถวนั้น จขกท. เลยเดินเนียนๆ เข้าไปข้างใน เจอท่าจอดเรือไม้สีฟ้าละลานตาเต็มไปหมด และมีอู่ต่อเรือด้วย เลยเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ใจนึงก็กลัว เพราะคนแถวนี้ส่วนใหญ่น่าจะเป็นกะลาสีเรือ น่าจะพูดกันไม่รู้เรื่อง ถ้าวิ่งหนีก็คงวิ่งไม่ทัน (เพราะขาสั้น) เลย ยังทำตัวเนียนๆ อยู่ ซักพักพอเริ่มคุ้น (หมายถึง คนที่นี่เริ่มคุ้นกับ จขกท. นะ) ก็เริ่มยิ้มทักทาย แล้วก็ขอถ่ายรูปซะเลย....
เกินวนอยู่ซักพักก็กลับมาที่โรงแรม เพราะนัดทานอาหารเช้ากับเพื่อนไว้ที่โรงแรมตอน 9 โมง อาหารเช้าเป็นง่ายๆ คือ มีขนมปังท้องถิ่น (กลมๆ แบนๆ) โรตี Fruit salad น้ำส้ม ชา-กาแฟ เนย แยม อร่อยดี ขอเติมได้ด้วย
เสร็จอาหารเช้าก็ออกมาเดินเล่นใน Medina ผ่านตลาดสด เห็นหัวแพะวางขายกันสดๆ แต่ที่น่าตื่นเต้นบวกฮาคือ เดินผ่านร้านขายของชำร้านนึง เห็นวางขาย “ไฟคาดหัว” เขียนเป็นภาษาไทยเลย เลยเดินเข้าไปบอกคนขายว่า อันนี้มาจากประเทศไอแหล่ะ คนขายทำท่าตื่นเต้น แล้วถามว่า “ยูมาจากอินเดียเหรอ”... ฮา...
เดินมั่วไปมั่วมา ไปเจอตลาดค้าปลาในซอกหลืบนึงแถวตลาดสด ปลาตัวใหญ่ๆ และมีปลาแปลกๆ เยอะแยะไปหมด คนขายก็ตลกดี ชอบชี้ให้ดูปลาแล้วคะยั้นคะยอให้ถ่ายปลา ประมาณว่าภูมิใจนำเสนอสินค้ามาก
ระหว่างเดินเล่นใน Medina จะสังเกตเห็นป้ายสัญลักษณ์ วงกลม 3 ห่วงคล้องกันอยู่ ติดอยู่เหนือร้านค้าเป็นระยะๆ ตอนแรก จขกท. ก็สงสัย นึกว่าเป็นป้ายบอกทาง หรือป้ายตัวแทนโอลิมปิก (พึ่งมานึกได้ทีหลังว่าโอลิมปิกมี 5 ห่วงนี่น่า -_-‘) เลยไปถามอาลีทีหลังเลยได้รู้ว่า มันคือป้ายบอกว่า “ร้านนี้ขายบุหรี่”
เดินกลับออกมาที่ Medina ด้านนอก ผ่านย่านขายพรม แล้วก็กลับมาที่ท่าเรืออีกครั้ง
คราวนี้มากับเพื่อนและเริ่มมีนักท่องเที่ยวเยอะขึ้น เลยเดินเข้าไปข้างในจนสุดทาง ซึ่งเป็นบริเวณที่ชาวประมงเอาปลาขึ้น แล้วแล่ขายกันสดๆ บ้างก็กำลังม้วนเก็บอวนอยู่ โดยมีนกนางนวลตัวใหญ่บินไปมาหาจังหวะคาบเศษปลาที่ตกอยู่ไปกิน
ใกล้เที่ยงก็กลับไปเก็บของแล้ว Check out อัตราแลกเปลี่ยนที่โรงแรมนี้ 11 MAD/Euro ซึ่งดีกว่าที่แลกมาจากสนามบิน เลยจ่ายเป็นเงิน MAD แทน Check out เสร็จก็ฝากกระเป๋าไว้ แล้วออกมาทานอาหารเที่ยงกัน ลองร้านที่อยู่ตรงจตุรัสเลย ชื่อ Café de France ตอนแรกนึกว่าแพง แต่กลับถูกว่าร้านที่ทานเมื่อคืน แถมอร่อยกว่าด้วย ระหว่างทานอาหารกัน ก็เป็นเวลาที่ชาวมุลลิมต้องละหมาด จะเห็นคนมายืนออกันที่สุเหร่าจนล้นออกมาข้างนอก คนทำละหมาดก็ทำไป นักท่องเที่ยวก็เดินเที่ยวกันไป คนที่ยังทำงานอยู่มาละหมาดไม่ได้ก็ทำไป ดูแล้วก็เป็นภาพที่งงๆ ดี
บริเวณร้านอาหารแถวจตุรัส มีศิลปินพิการใช้ปากวาดรูปอยู่บนรถเข็นอยู่คนนึง ใครผ่านไปผ่านมาก็อย่าลืมอุดหนุนนะคะ ราคาใบละประมาณ 20 MAD
นัดอาลีมารับตอนบ่ายสองโมงครึ่ง เพื่อเดินทางต่อไป Marakesh ซึ่งจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นอีกเช่นเคย...
ระหว่างเดินทางไป Marakesh อาลีก็อธิบายถึงที่มาของชื่อประเทศ Morocco ว่ามาจากภาษาอาหรับคำๆ หนึ่ง แล้วเพี้ยนไปเพี้ยนมาจนกลายมาเป็นชื่อเมือง Marakesh ก่อน แล้วจึงมีการใช้ภาษา Marakesh ในการเรียกชื่อ ประเทศ Morocco อีกที
คุณสามีเพื่อนเลยถามต่อว่าทำไมที่ Essaouira มีแมวเยอะมาก อาลีบอกว่า คนสมัยก่อนเลี้ยงแมวไว้เพื่อจับหนู งู และแมลงมีพิษต่างๆ เช่น แมงป่อง แล้วตามหลักความเชื่อทางศาสนาคือ ไม่ให้ทำหมัน เลยมีแมวเต็มไปไหมด ซึ่งไม่ได้มีแมวเยอะเฉพาะที่ Essaouira เท่านั้น แต่มีแมวทุกที่ใน Morocco (แต่ จขกท. ยืนยันว่าที่ Essaouira มีเยอะที่สุดจริงๆ)
จขกท. เลยถามถึงกษัตริย์ของ Morocco เพราะระหว่างทางจะเห็นรูปท่านตั้งอยู่เป็นระยะ อาลีเล่าว่า กษัตริย์ของ Morocco จะมีอยู่ 2 ชื่อ คือ Mohammed และ Hassan เพราะคนอาหรับ เวลาตั้งชื่อลูก จะตั้งตามชื่อพ่อตัวเอง วนกันไปอย่างนี้ แต่จะมีการเรียกลำดับต่อท้ายชื่อเพื่อไม่ให้งง เช่น ถ้าพ่อชื่อ Mohammed ตั้งชื่อลูกว่า Hassan พอลูกมีหลาน หลานก็จะชื่อ Mohammed ที่ 2 พอมีเหลน เหลนก็จะชื่อ Hassan ที่ 2 ไล่กันไปเรื่อยๆ
วิวสองข้างทางจาก Essaouira ไป Marakesh ยังคงเป็นเนินเขาเตี้ยๆ สลับกับพื้นที่ราบ แต่แห้งแล้งมาก ไม่มีแปลงผัก หรือทุ่งหญ้าให้เห็นเลย แต่จะมีไร่มะกอกกับต้น Argus ขึ้นเป็นระยะๆ อาลีเล่าว่า ต้น Argus เป็นต้นไม้พิเศษ ขึ้นได้เฉพาะแถบเมือง Essouira ไปจนถึงเมือง Marakesh เท่านั้น เคยมีนายทุนเอาไปลองปลูกที่ Mexico ก็ปลูกขึ้น แต่ไม่ออกดอกผลอะไรเลย ลูกต้น Argus สามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยที่มีกลิ่นพิเศษ ใช้หมักผมและนำมาแปรรูปเป็นเครื่องสำอางค์ โดยมีโรงงานแปรรูปจากฝีมือของกลุ่มแม่ม่ายที่มารวมตัวกันทำอาชีพเสริมจนกลายมาเป็นสินค้าขึ้นชื่อของที่นี่ (โรงงานอยู่ระหว่างทางไปเมือง Marakesh สามารถแวะได้ แต่ จขกท. ไม่ได้แวะ แต่เห็นในตลาด Essaouira ก็มีร้านขายผลิตภัณฑ์จากต้น Argus โดยเฉพาะอยู่) การสังเกตว่าต้นไหนเป็นต้นมะกอกหรือต้น Argus คือ ต้นมะกอกใบจะออกสีเงินๆ หน่อย แต่ต้น Argus ใบจะออกสีเขียวเข้ม
ตลอดการเดินทางบนถนน จะมีป้ายวงกลมจำกัดความเร็วอยู่เป็นระยะ ซึ่งอาลีปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดมาก เลยใช้เวลาเดินทางนานกว่าปกติ เช่น ถ้าเป็นบ้านเราระยะทาง 200 ก.ม. ใช้เวลาประมาณ 2 ช.ม.กว่าๆ แต่ที่นี่อาจใช้เวลาถึง 3 ช.ม. กว่า เพราะส่วนใหญ่จำกัดความเร็วไว้ที่ 80 ก.ม./ช.ม. โดยจะมีตำรวจทางหลวงยืนถือกล้องวัดความเร็วคอยตรวจจับความเร็วอยู่เป็นระยะ ดังนั้นคนขับรถจะมีการส่งสัญญาณให้กันเวลาขับรถสวนกันเพื่อบอกว่า ข้างหน้ามีตำรวจยืนดักอยู่ไหม เช่น ถ้าโบกมือไปมา หมายถึง ไม่มีตำรวจอยู่ หรือ ถ้าชูสองนิ้ว หมายถึง มีตำรวจตั้งด่านอยู่ 2 ด่าน ถ้าเป็นตอนกลางคืน ก็อาศัยวิธีการกระพริบไฟเอา แล้วตามสี่แยกต่างๆ ทั้งในเมืองหรือตามต่างจังหวัด ก็จะทำเป็นวงเวียน ทุกแยก จะได้ไม่ต้องติดไฟแดง และไม่เกิดอุบัติเหตุ
มาถึง Marakesh ประมาณ ห้าโมงเย็น ก่อนเดินทางเข้าเขตเมือง Marakesh อาลีบอกว่า Marakesh หมายถึงเมืองสีชมพู จนเมื่อได้มาถึงตัวเมืองแล้ว ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงชื่อนี้ เพราะตึกรามบ้านช่องจะทาด้วยสีชมพูอ่อนคล้ายสีของดินทั้งเมือง อาลีบอกว่า ในเขต Medina จะบังคับให้ทุกบ้านทาสีชมพูเท่านั้น บ้านเรือนที่อยู่นอกเขต Medina ไม่ได้บังคับ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงทาสีชมพูกัน เพราะต้องการรักษาขนบธรรมเนียมเดิมไว้
บริเวณทางเข้าเขต Medina จะมีสุเหร่า Kotabia ตอนรับตรงประตูเมือง และเสาอากาศโทรทัศน์ทำเป็นรูปต้นปาล์ม เพื่อไม่ให้ขัดกับทรรศนียภาพโดยรอบ
ขับเข้ามาในเขต Medina ซักพัก อาลีก็พามาจอดหลังตึกแถวเก่าๆ ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเป็นที่ๆ มีโรงแรมอยู่ แต่อาลียืนยันว่าตรงนี้แหล่ะ แล้วก็บังเอิญมีชายฝรั่งคนนึงเดินมาพอดี อาลีก็เข้าไปทักแล้วบอกว่า ใช้ตามชายคนนี้ไป... ชายฝรั่งก็พาเดินเข้าไปในซอกตึก (ช่องทางเดินด้านซ้ายตรงมุมตึกของรูปด้านล่าง) เลี้ยวไปเลี้ยวมา ก็ไปหยุดอยู่หน้าประตูที่ติดชื่อไว้ว่า Riad Balkisse ซึ่งเป็นโรงแรมที่ จขกท. จองไว้ ชายฝรั่งเคาะประตูซักพักก็มีผู้หญิงคนนึงออกมา คุยอะไรบางอย่าง แล้วก็พาเดินไปตามซอกซอยต่อ... ตอนนี้ จขกท. กับเพื่อนๆ เริ่มมองหน้ากันงงๆ ว่าตกลงจองไว้ชื่อโรงแรมอะไรกันแน่ แล้วเขาจะพาเดินไปไหน เพราะยิ่งเดินยิ่งลึก ยิ่งเปลี่ยว... จนสุดท้าย ชายฝรั่งพามาอีกประตูนึง เขาบอกว่าที่นี่แหล่ะ พอเปิดประตูเข้าไปข้างใน ต้องร้องว่า “โอ้โห!” เลยทีเดียว เพราะด้านนอกที่ดูอัดอัดทึบๆ ด้านในกลับทำเป็นช่องเปิดทำให้อากาศโล่งและมีแสงส่องลงมา ดูสว่างมาก...แล้วชายฝรั่งก็แนะนำตัวเองว่าเป็นเจ้าของโรงแรมนี้และโรงแรมที่พวกเราจองไว้ ที่เขาพามาที่นี่เพราะโรงแรมด้านนอก (ตามชื่อที่จองไว้) มีแต่ห้องเล็ก แต่ จขกท. จองไว้ เป็นห้องสามคน เลยพามาโรงแรมด้านใน เพราะห้องใหญ่กว่า
จนท. โรงแรมที่ออกมาต้อนรับเป็นผู้หญิง ซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เอาชาสะระแหน่มาให้ดื่ม (หวานมาก) แล้วพาขึ้นที่พัก (เพื่อน จขกท. ดีใจมาก เพราะในห้องมีที่เป่าผมให้ด้วย) หลังเก็บของกัน ก็ออกมาเดินเล่นที่จตุรัสกลางเมืองชื่อ Djemma El-Fna ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก (เดินประมาณ 5 นาที ตอนแรกงงกับทางเดินในตรอกอาจใช้เวลานานหน่อย แต่พอชินแล้วก็สบาย)
จากโรงแรมที่พักก่อนถึงจตุรัส ต้องผ่านถนนคนเดินสายสั้นๆ ที่มีตึกแถวสองข้าง ด้านล่างทำเป็นร้านค้าขายของบ้าง ขายอาหารบ้าง ระหว่างทางเดินก็จะมีคนเข้าพยายามเข้ามาเสนอขาย Sahara tour เป็นระยะๆ ซึ่งมีลูกตื้อที่เก่งมาก วิธีที่ จขกท. ใช้ คือ บอกไปตรงๆ ว่า ฉันจองทัวร์ไว้แล้ว หรือไม่ก็ทำเฉยๆ เดินไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เลิกตามเอง เพราะข้างหน้าก็จะมีคนใหม่ดักรอขายอยู่ (555) นอกจากทัวร์ทะเลทราย ก็จะมีคนดำยืนขายมือถืออยู่เป็นระยะ แต่คนดำพวกนี้จะไม่ค่อยเข้าหานักท่องเที่ยว เน้นขายคน Morocco มากกว่า
ต่อ Comment ด้านล่างเลยคะ