โดยส่วนตัวผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบพวกไอดอลญี่ปุ่นเลย พยายามเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเองพวกนี้อยู่บ่อย ประจวบเหมาะกับที่ช่วงนี้ได้มีโอกาสเดินทางไปญี่ปุ่นอยู่บ่อยครั้ง ได้พบเจอกับคนในวงการไอดอลมากมาย แน่นอนว่าถึงแม้จะไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงเหมือนไอดอลดังๆ อย่างที่คนไทยรู้จัก แต่เมื่อขึ้นชื่อว่า “เป็นไอดอล” มันย่อมมีแง่มุมที่ไม่ปกติธรรมดาและแตกต่างจากคนทั่วไปแน่ๆ
ที่เมืองไทยคนมักจะมองว่าไอดอลเป็นเรื่องของเด็ก เป็นเรื่องของวัยรุ่นที่ไปตามกรี๊ดดาราไม่ได้มีแก่นสารหรือสาระอะไรไปมากกว่านั้น แต่ในญี่ปุ่นเขามองไอดอลเป็นอีกหนึ่ง “ผู้สร้างชาติ” (state-maker) ที่ถึงแม้จะไม่ได้มีส่วนร่วมทางการเมืองแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเคลื่อนไหวของไอดอลสามารถส่งผลให้กับมุมมองของคน หรือแม้กระทั่งเข้าไปเปลี่ยนแปลงมุมมองทางความคิดได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้นผมจึงได้เอาประเด็น “มีไอดอลแล้วดียังไง?” ไปพูดคุยกับเพื่อนๆ ที่ญี่ปุ่นทั้งในส่วนที่เป็นโปรดิวเซอร์หรือแม้แต่ในส่วนของศิลปินบางท่าน (ที่พอจะเข้าถึงได้) และสรุปออกมาได้ดังนี้ครับ
1. ไอดอลคือพรีเซนเตอร์โฆษณาที่โดดเด่นได้ง่าย
ประเด็นนี้ตอนแรกผมยังไม่ค่อยเข้าใจครับเพราะมองว่ามันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับการโฆษณาของดาราดังๆ ที่เราเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันทางจอทีวี แต่เพื่อนผมก็อธิบายให้ฟังว่า ตั้งแต่การริเริ่มไอดอลมาในยุคนี้ เป้าหมายหนึ่งที่ทุกคนพยายามทำก็คือการทำให้ “ไอดอลเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้” นั่นหมายถึงว่านอกจากคนจะมีสิทธิจับมือถือแขน มีทติ้ง ฯลฯ การมีอยู่ของไอดอลต้องสามารถเข้าใจได้ง่ายด้วย ยกตัวอย่างในเอเคบี เรามีโคจิม่า ฮารุนะ เป็นสาวซื่อๆ ที่พร้อมจะเอ๋อตลอดเวลา เรามีริจจังที่เรียนไม่เก่ง เรามีเรนะที่ไม่เก่งกีฬา นี่ล่ะคือสิ่งที่ทางทีมงานยอมรับว่าบางครั้งมันเป็นแค่กิมมิค แต่สิ่งที่ได้คือ “การสร้างความมั่นใจตนเองให้กับคนดู” เพราะไอดอลมีความหลากหลาย มีข้อผิดพลาดมากมายในชีวิต แต่ศิลปินอย่างอื่นจะมีความ “สำเร็จรูปมากกว่า”
แน่นอนว่าละครญี่ปุ่นก็พยายามสอนเรื่องเดียวกัน เพียงแต่เมื่อมันขึ้นชื่อว่าละคร สุดท้ายมันก็มองเป็นบทบาทอยู่ดี เหตุนี้การโฆษณาผ่านไอดอลนอกจากจะทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายง่ายขึ้น ทางนักลงทุนยังสามารถเลือกใช้ไอดอลตามคาแรคเตอร์ที่ต้องการได้อีกด้วย ซึ่งถือว่าได้ผลตอบรับที่ดี
2. ไอดอลคือครอบครัวและกำลังใจ
อันนี้ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและมีความสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ ผมมีประสบการตรงจากเพื่อนของเพื่อนที่ญี่ปุ่นครับ เขาเป็นคนที่ไม่มีพ่อและแม่ (เสียชีวิต) ที่สำคัญเขาเป็นใบ้พูดไม่ได้ ตอนนั้นเป็นช่วงเทศกาลจบการศึกษาพอดี สำหรับคนทั่วไปวันจบการศึกษาอาจจะเป็นวันที่เศร้าเพราะต้องเหงาต้องไปใช้ชีวิตด้วยตนเอง ฯลฯ แต่สำหรับคนที่เป็นใบ้แบบเธอแล้ว มันหนักหนากว่ากันเยอะ เธอบอกว่าตอนนั้นไม่รู้เลยว่าชีวิตจะเป็นยังไงต่อไป คนภายนอกจะเข้าใจเธอได้เหมือนเพื่อนๆ ของเธอรึเปล่า? ตอนนั้นเธอจึงกังวลมากๆ เธอคิดว่าด้วยความที่ตนเองไม่น่าสนใจอะไร จะมีใครมาพยายามพูดคุยกับเธอจริงๆ เหรอ?
แต่มาวันหนึ่งเธอไปงานจับมือของเอเคบีและไปต่อคิวรอโอชิม่า ยูโกะนานมากๆ แต่พอมีโอกาสแล้ว ด้วยระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วินาที โอชิม่าพยายามพูดคุยกับเธอด้วยภาษามือแบบผิดๆ ถูกๆ มันจะเป็นเรื่องปกติของไอดอลที่ต้องพยายามคุยกับแฟนๆ รึเปล่าก็ไม่ทราบได้ แต่รอยยิ้มของโอชิม่ากับ “ความพยายามพูดคุย” ในวันนั้นก็มีความหมายกับเธอเหลือเกินและเป็นพลังใจจนวันนี้ จนแทบจะสามารถเติมเต็ม “ความเป็นครอบครัว” ของคนที่ขาดหายได้อย่างสวยงาม
3. ไอดอลคือเพื่อนที่พร้อมจะเข้าใจ
สำหรับคนที่ไม่ได้เข้ามาสนใจไอดอลอย่างจริงจังก็มักจะพูดเหมือนๆ กันว่าไอดอลเป็นพวก “โลกสวย” ที่วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากหัวเราะมีความสุขสนุกสนานและพร้อมจะเข้าใจคนอื่นตลอดเวลาไม่ว่าเขาจะทำผิดมากขนาดไหน แต่หากมองในมุมหนึ่งเราก็จะพบว่า “ไม่ใช่เพื่อนแบบนี้เหรอที่เราพยายามค้นหาแต่ยากที่จะพบ?” ไอดอลถูกสร้างมาให้เป็นเพื่อนครับ เขาไม่ได้เป็นคนที่ร้องเพลงเก่งมากมายราวกับจะไปประกวดรายการดังๆ คอนเซ็ปต์ของไอดอลแทบจะทุกวงคือ “เพื่อนร้องให้เพื่อนฟัง” สังคมญี่ปุ่นค่อนข้างเงียบเหงา โดยส่วนตัวผมมองว่ามันยังคงเต็มไปด้วยจารีตและการแข่งขันที่สูง สังคมญี่ปุ่นเริ่มอยู่ในภาวะของ “ความกลัวคนใกล้ตัวและอยากจะหลีกหนีออกไป” เรามีพวกเก็บตัวมากขึ้น เรามีพวกที่รักสาว 2D มากขึ้น นั่นเพราะเขา “สบายใจ” กว่าเท่านั้นเอง
ไอดอลตอบโจทย์เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี เปลี่ยนจากทุกข์เป็นสุข เปลี่ยนจากเหงาเป็นไม่เหงา หรือจะพูดง่ายๆ ว่าไอดอลคือผู้ย้ำเตือนสิ่งที่สังคมควรจะมีแต่กลับหลงลืมไปเท่านั้นเอง
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าหรือติดต่อทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ
ติดต่อผมได้โดยตรงทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ พบกันใหม่สัปดาห์หน้าทาง marumura แห่งนี้ครับ ^
ความรู้สึกของคนญี่ปุ่นกับAKB48
ที่เมืองไทยคนมักจะมองว่าไอดอลเป็นเรื่องของเด็ก เป็นเรื่องของวัยรุ่นที่ไปตามกรี๊ดดาราไม่ได้มีแก่นสารหรือสาระอะไรไปมากกว่านั้น แต่ในญี่ปุ่นเขามองไอดอลเป็นอีกหนึ่ง “ผู้สร้างชาติ” (state-maker) ที่ถึงแม้จะไม่ได้มีส่วนร่วมทางการเมืองแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเคลื่อนไหวของไอดอลสามารถส่งผลให้กับมุมมองของคน หรือแม้กระทั่งเข้าไปเปลี่ยนแปลงมุมมองทางความคิดได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้นผมจึงได้เอาประเด็น “มีไอดอลแล้วดียังไง?” ไปพูดคุยกับเพื่อนๆ ที่ญี่ปุ่นทั้งในส่วนที่เป็นโปรดิวเซอร์หรือแม้แต่ในส่วนของศิลปินบางท่าน (ที่พอจะเข้าถึงได้) และสรุปออกมาได้ดังนี้ครับ
1. ไอดอลคือพรีเซนเตอร์โฆษณาที่โดดเด่นได้ง่าย
ประเด็นนี้ตอนแรกผมยังไม่ค่อยเข้าใจครับเพราะมองว่ามันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับการโฆษณาของดาราดังๆ ที่เราเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันทางจอทีวี แต่เพื่อนผมก็อธิบายให้ฟังว่า ตั้งแต่การริเริ่มไอดอลมาในยุคนี้ เป้าหมายหนึ่งที่ทุกคนพยายามทำก็คือการทำให้ “ไอดอลเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้” นั่นหมายถึงว่านอกจากคนจะมีสิทธิจับมือถือแขน มีทติ้ง ฯลฯ การมีอยู่ของไอดอลต้องสามารถเข้าใจได้ง่ายด้วย ยกตัวอย่างในเอเคบี เรามีโคจิม่า ฮารุนะ เป็นสาวซื่อๆ ที่พร้อมจะเอ๋อตลอดเวลา เรามีริจจังที่เรียนไม่เก่ง เรามีเรนะที่ไม่เก่งกีฬา นี่ล่ะคือสิ่งที่ทางทีมงานยอมรับว่าบางครั้งมันเป็นแค่กิมมิค แต่สิ่งที่ได้คือ “การสร้างความมั่นใจตนเองให้กับคนดู” เพราะไอดอลมีความหลากหลาย มีข้อผิดพลาดมากมายในชีวิต แต่ศิลปินอย่างอื่นจะมีความ “สำเร็จรูปมากกว่า”
แน่นอนว่าละครญี่ปุ่นก็พยายามสอนเรื่องเดียวกัน เพียงแต่เมื่อมันขึ้นชื่อว่าละคร สุดท้ายมันก็มองเป็นบทบาทอยู่ดี เหตุนี้การโฆษณาผ่านไอดอลนอกจากจะทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายง่ายขึ้น ทางนักลงทุนยังสามารถเลือกใช้ไอดอลตามคาแรคเตอร์ที่ต้องการได้อีกด้วย ซึ่งถือว่าได้ผลตอบรับที่ดี
2. ไอดอลคือครอบครัวและกำลังใจ
อันนี้ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและมีความสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ ผมมีประสบการตรงจากเพื่อนของเพื่อนที่ญี่ปุ่นครับ เขาเป็นคนที่ไม่มีพ่อและแม่ (เสียชีวิต) ที่สำคัญเขาเป็นใบ้พูดไม่ได้ ตอนนั้นเป็นช่วงเทศกาลจบการศึกษาพอดี สำหรับคนทั่วไปวันจบการศึกษาอาจจะเป็นวันที่เศร้าเพราะต้องเหงาต้องไปใช้ชีวิตด้วยตนเอง ฯลฯ แต่สำหรับคนที่เป็นใบ้แบบเธอแล้ว มันหนักหนากว่ากันเยอะ เธอบอกว่าตอนนั้นไม่รู้เลยว่าชีวิตจะเป็นยังไงต่อไป คนภายนอกจะเข้าใจเธอได้เหมือนเพื่อนๆ ของเธอรึเปล่า? ตอนนั้นเธอจึงกังวลมากๆ เธอคิดว่าด้วยความที่ตนเองไม่น่าสนใจอะไร จะมีใครมาพยายามพูดคุยกับเธอจริงๆ เหรอ?
แต่มาวันหนึ่งเธอไปงานจับมือของเอเคบีและไปต่อคิวรอโอชิม่า ยูโกะนานมากๆ แต่พอมีโอกาสแล้ว ด้วยระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วินาที โอชิม่าพยายามพูดคุยกับเธอด้วยภาษามือแบบผิดๆ ถูกๆ มันจะเป็นเรื่องปกติของไอดอลที่ต้องพยายามคุยกับแฟนๆ รึเปล่าก็ไม่ทราบได้ แต่รอยยิ้มของโอชิม่ากับ “ความพยายามพูดคุย” ในวันนั้นก็มีความหมายกับเธอเหลือเกินและเป็นพลังใจจนวันนี้ จนแทบจะสามารถเติมเต็ม “ความเป็นครอบครัว” ของคนที่ขาดหายได้อย่างสวยงาม
3. ไอดอลคือเพื่อนที่พร้อมจะเข้าใจ
สำหรับคนที่ไม่ได้เข้ามาสนใจไอดอลอย่างจริงจังก็มักจะพูดเหมือนๆ กันว่าไอดอลเป็นพวก “โลกสวย” ที่วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากหัวเราะมีความสุขสนุกสนานและพร้อมจะเข้าใจคนอื่นตลอดเวลาไม่ว่าเขาจะทำผิดมากขนาดไหน แต่หากมองในมุมหนึ่งเราก็จะพบว่า “ไม่ใช่เพื่อนแบบนี้เหรอที่เราพยายามค้นหาแต่ยากที่จะพบ?” ไอดอลถูกสร้างมาให้เป็นเพื่อนครับ เขาไม่ได้เป็นคนที่ร้องเพลงเก่งมากมายราวกับจะไปประกวดรายการดังๆ คอนเซ็ปต์ของไอดอลแทบจะทุกวงคือ “เพื่อนร้องให้เพื่อนฟัง” สังคมญี่ปุ่นค่อนข้างเงียบเหงา โดยส่วนตัวผมมองว่ามันยังคงเต็มไปด้วยจารีตและการแข่งขันที่สูง สังคมญี่ปุ่นเริ่มอยู่ในภาวะของ “ความกลัวคนใกล้ตัวและอยากจะหลีกหนีออกไป” เรามีพวกเก็บตัวมากขึ้น เรามีพวกที่รักสาว 2D มากขึ้น นั่นเพราะเขา “สบายใจ” กว่าเท่านั้นเอง
ไอดอลตอบโจทย์เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี เปลี่ยนจากทุกข์เป็นสุข เปลี่ยนจากเหงาเป็นไม่เหงา หรือจะพูดง่ายๆ ว่าไอดอลคือผู้ย้ำเตือนสิ่งที่สังคมควรจะมีแต่กลับหลงลืมไปเท่านั้นเอง
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าหรือติดต่อทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ
ติดต่อผมได้โดยตรงทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ พบกันใหม่สัปดาห์หน้าทาง marumura แห่งนี้ครับ ^