ขอออกตัวก่อนว่ากระทู้นี้ผมตั้งขึ้นมาเพื่อแบ่งปันเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผมเองให้กับคนที่อาจจะกำลังมีปัญหาชีวิต ปัญหาครอบครัว มีความไม่แน่ใจกับการตัดสินใจของตนเอง หรือคนที่กำลังมีความตั้งใจอยากจะลองไปปฏิบัติดูสักครั้ง
กระทู้นี้ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อบอกว่าวิธีไหนอาจารย์คนใดดีหรือเก่งกว่ากัน เพราะคำสอนวิธีของพระพุทธเจ้านั้นคือที่สุดแล้วครับ เรื่องราวนี้เป็นประสพการณ์ส่วนตนเพราะเหตุนี้จึงอยากให้เพื่อนๆอ่านด้วยสติตั้งรู้ไว้เสมอว่าเคสใครก็เคสมัน แต่ละคนย่อมมี experience ที่แตกต่างกันออกไป
ผมขอไม่พูดถึงเรื่องสภาวะที่ประสพในระหว่างการปฎิบัติเนื่องจากมันไม่มีประโยชน์อะไรและรังแต่จะทำให้เกิดความอยากที่จะเจอที่จะพบ เกิดเป็นกิเลศจนกลายเป็นการขัดขวางการพัฒนาทางจิตของเพื่อนๆนะครับ เรื่องเหนือธรรมชาตินั้นไม่มีเพราะทุกสิ่งนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติทั้งหมดครับ
- เมื่อเดือนที่แล้วผมไปวิปัสสนามาที่ศูนย์ธรรมสีมันตะ จังหวัดลำพูน เป็นครั้งแรกของผมเลยครับกับการวิปัสสนาหรือการเข้าคอร์สแบบนี้ ปกตินั่งสมาธิแบบ งูๆ ปลาๆ อยู่ที่บ้าน นับว่าเป็นมือใหม่ถอดด้ามเลย อิอิ
- นั่งปฏิบัติวันละประมาณ 10 ชม ครึ่ง อาหารมัง ปิดวาจา ผมถือศีลแปดไปเลยเพราะไหนๆก็มาไกลถึงกลางหุบเขาขนาดนี้แล้ว
- ศีลนั้นเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสุดๆสำหรับการปฏิบัติ คหสต ผมมองว่าศีลนั้นเปรียบได้กับถังอ๊อกซิเจนของนักประดาน้ำที่ดำลงไปในท้องทะเลลึก หากไม่มีก็ดำลงไปใต้ทะเลนานๆไม่ได้ เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีศีล ก็วิปัสสนาให้เกิดผลงอกเงยไม่ได้เช่นเดียวกันครับ ศีลห้านั้นเยี่ยมแล้วแต่ถ้ามีศีลแปดก็ปลอดภัยกว่า เหมือนเพิ่มถังอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นมาอีกสามถัง มันก็อุ่นใจขึ้นนะครับ
- เมื่อเข้าไปปฏิบัติแล้ว ก็จงมุ่งมั่นแบบยอมตายไม่มีกั๊กไปเลยครับ แต่อย่าผิดหวังหากในแต่ละ session นั้นมันไม่ได้ตามที่เราคาดหวังไว้ เพราะมันคาดหวังไม่ได้ครับ เท่าไรก็เท่านั้น ตามธรรมชาติครับ
- หลังจากการเข้าคอร์สวิปัสสนากลับมาใช้ชีวิตในโลกภายนอก ผมก็พบกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองมากมายหลายอย่างครับ เช่น ปมในใจหลายๆปมก็ถูกแก้ถูกคลายไปโดยไม่รู้ตัว ความไม่เข้าใจความผิดหวังกับคนในครอบครัวที่เคยคิดว่ามันจะผูกปมติดใจเราไปจนตายมันก็คลายก็หายไปซะงั้น คนที่เราเคยไม่ชอบก็กลายเป็นเฉยๆ คำหยาบอย่าง Gu เมิง เชียส์ บลาๆ ที่เคยพูดเป็นปกตินั้นก็หยุดไปเลย ใช้คำว่าเรานายกับเพื่อนจนตัวเราเองยังเขินๆ อารมณ์ร้อนหงุดหงิดนั้นลดลงไปอย่างเหลือเชื่อ (มันก็ยังมีอยู่ตามธรรมชาตินะครับแต่รีบไปรู้มันซะให้ทันเท่านั้นก็จบ) เรื่องการเมืองที่เคยอินก็ไม่สนไปเลย ส่วนความสัมพันธ์กับภรรยานั้นดีขึ้นสุดๆครับ ความอยากทางโลกนั้นลดลงฮวบฮาบครับ ส่วนความหลงผิดความงมงายนั้นไม่เหลือหรอเลย การใช้ชีวิตของผมไม่ได้เปลี่ยนด้วยสมองหรือปัญญาเท่านั้น แต่มันเปลี่ยนด้วย inner จากภายในด้วย เหมือนเปลี่ยน Hard Disc ไปเลยยังไงยังงั้น ตัวผมเองยังประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของตัวเองเลย
- คหสต ทุกอย่างมีเสื่อมครับ อย่าประมาทเพราะไม่มีอะไรแน่นอน ไปเข้าคอร์สมาแล้วก็ต้องปฏิบัติต่อครับ ไม่จำเป็นต้องมีพระพุทธรูป พิธีรีตอง ธูปหรือเทียนใดๆเลย ปฏิบัติได้ทุกที่ครับ ห้องนอน หรือระหว่างอยู่บน MRT หรือ BTS ก็ได้
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนนั้นเป็นของจริงและใช้ได้จริงในชัวิตประจำวันแน่นอนครับ
เป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆทุกคนนะครับ
ขออนุญาติแบ่งปันประสพการณ์อันล้ำค่าจากการไปปฏิบัติวิปัสสนาที่ศูนย์ธรรมสีมันตะของอาจารย์โกเอ็นก้ากับเพื่อนๆคับ
กระทู้นี้ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อบอกว่าวิธีไหนอาจารย์คนใดดีหรือเก่งกว่ากัน เพราะคำสอนวิธีของพระพุทธเจ้านั้นคือที่สุดแล้วครับ เรื่องราวนี้เป็นประสพการณ์ส่วนตนเพราะเหตุนี้จึงอยากให้เพื่อนๆอ่านด้วยสติตั้งรู้ไว้เสมอว่าเคสใครก็เคสมัน แต่ละคนย่อมมี experience ที่แตกต่างกันออกไป
ผมขอไม่พูดถึงเรื่องสภาวะที่ประสพในระหว่างการปฎิบัติเนื่องจากมันไม่มีประโยชน์อะไรและรังแต่จะทำให้เกิดความอยากที่จะเจอที่จะพบ เกิดเป็นกิเลศจนกลายเป็นการขัดขวางการพัฒนาทางจิตของเพื่อนๆนะครับ เรื่องเหนือธรรมชาตินั้นไม่มีเพราะทุกสิ่งนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติทั้งหมดครับ
- เมื่อเดือนที่แล้วผมไปวิปัสสนามาที่ศูนย์ธรรมสีมันตะ จังหวัดลำพูน เป็นครั้งแรกของผมเลยครับกับการวิปัสสนาหรือการเข้าคอร์สแบบนี้ ปกตินั่งสมาธิแบบ งูๆ ปลาๆ อยู่ที่บ้าน นับว่าเป็นมือใหม่ถอดด้ามเลย อิอิ
- นั่งปฏิบัติวันละประมาณ 10 ชม ครึ่ง อาหารมัง ปิดวาจา ผมถือศีลแปดไปเลยเพราะไหนๆก็มาไกลถึงกลางหุบเขาขนาดนี้แล้ว
- ศีลนั้นเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสุดๆสำหรับการปฏิบัติ คหสต ผมมองว่าศีลนั้นเปรียบได้กับถังอ๊อกซิเจนของนักประดาน้ำที่ดำลงไปในท้องทะเลลึก หากไม่มีก็ดำลงไปใต้ทะเลนานๆไม่ได้ เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีศีล ก็วิปัสสนาให้เกิดผลงอกเงยไม่ได้เช่นเดียวกันครับ ศีลห้านั้นเยี่ยมแล้วแต่ถ้ามีศีลแปดก็ปลอดภัยกว่า เหมือนเพิ่มถังอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นมาอีกสามถัง มันก็อุ่นใจขึ้นนะครับ
- เมื่อเข้าไปปฏิบัติแล้ว ก็จงมุ่งมั่นแบบยอมตายไม่มีกั๊กไปเลยครับ แต่อย่าผิดหวังหากในแต่ละ session นั้นมันไม่ได้ตามที่เราคาดหวังไว้ เพราะมันคาดหวังไม่ได้ครับ เท่าไรก็เท่านั้น ตามธรรมชาติครับ
- หลังจากการเข้าคอร์สวิปัสสนากลับมาใช้ชีวิตในโลกภายนอก ผมก็พบกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองมากมายหลายอย่างครับ เช่น ปมในใจหลายๆปมก็ถูกแก้ถูกคลายไปโดยไม่รู้ตัว ความไม่เข้าใจความผิดหวังกับคนในครอบครัวที่เคยคิดว่ามันจะผูกปมติดใจเราไปจนตายมันก็คลายก็หายไปซะงั้น คนที่เราเคยไม่ชอบก็กลายเป็นเฉยๆ คำหยาบอย่าง Gu เมิง เชียส์ บลาๆ ที่เคยพูดเป็นปกตินั้นก็หยุดไปเลย ใช้คำว่าเรานายกับเพื่อนจนตัวเราเองยังเขินๆ อารมณ์ร้อนหงุดหงิดนั้นลดลงไปอย่างเหลือเชื่อ (มันก็ยังมีอยู่ตามธรรมชาตินะครับแต่รีบไปรู้มันซะให้ทันเท่านั้นก็จบ) เรื่องการเมืองที่เคยอินก็ไม่สนไปเลย ส่วนความสัมพันธ์กับภรรยานั้นดีขึ้นสุดๆครับ ความอยากทางโลกนั้นลดลงฮวบฮาบครับ ส่วนความหลงผิดความงมงายนั้นไม่เหลือหรอเลย การใช้ชีวิตของผมไม่ได้เปลี่ยนด้วยสมองหรือปัญญาเท่านั้น แต่มันเปลี่ยนด้วย inner จากภายในด้วย เหมือนเปลี่ยน Hard Disc ไปเลยยังไงยังงั้น ตัวผมเองยังประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของตัวเองเลย
- คหสต ทุกอย่างมีเสื่อมครับ อย่าประมาทเพราะไม่มีอะไรแน่นอน ไปเข้าคอร์สมาแล้วก็ต้องปฏิบัติต่อครับ ไม่จำเป็นต้องมีพระพุทธรูป พิธีรีตอง ธูปหรือเทียนใดๆเลย ปฏิบัติได้ทุกที่ครับ ห้องนอน หรือระหว่างอยู่บน MRT หรือ BTS ก็ได้
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนนั้นเป็นของจริงและใช้ได้จริงในชัวิตประจำวันแน่นอนครับ
เป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆทุกคนนะครับ