เบื่อเนอะ!!!=คนพันธ์ุ G-me = จากนิตยสาร “TIME”=

กระทู้สนทนา
เบื่อเนอะ!!!=คนพันธ์ุ G-me = จากนิตยสาร “TIME”=
Generation ME เด็กยุคใหม่ที่หลงตัวเองสุดๆ
หลงตัวเองเป็นสามเท่าของคนรุ่นพ่อแม่
เขาเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Generation ME หรือกลุ่มที่มองตัวเองสำคัญที่สุด มองว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งอย่าง หรืออีกคำที่เขาเรียกว่าเป็นกลุ่มหลงตัวเอง


คนที่มี “บุคลิกภาพหลงตัวเอง” สรุปคร่าว ๆ มักจะมีอาการและพฤติกรรม ดังนี้

๑.ปฏิกิริยาต่อการวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยความโกรธแค้น สร้างความน่าละอาย/ขายหน้า และความอัปยศน่าอดสู
๒.เอาเปรียบผู้อื่น เพื่อตอบสนองความต้องการชนะ หรือวัตถุประสงค์ของตนเอง
๓.มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนสำคัญมากเกินพอดี
๔.พูดขยายเกินกว่าความเป็นจริงเกี่ยวกับความสำเร็จหรือความสามารถของตนเอง
๕.มีใจหมกมุ่นกับจินตนาการความสำเร็จ พลัง อำนาจ ความงาม สติปัญญา หรือรักในอุดมคติ
๖.ใช้เหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผล กับสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ หลงใหล คาดหวัง
๗.ต้องการเป็นที่ชื่นชม ยอมรับและหลงใหลอยู่ตลอดเวลา
๘.เพิกเฉย ไม่เอาใจใส่ต่อความรู้สึกของผู้อื่น และมีความพยายามเพียงน้อยนิดที่จะแสดงความเห็นใจผู้อื่น
๙.คิดหมกมุ่นอยู่กับผลประโยชน์และความต้องการของตนเอง
๑๐.ไล่ตามเป้าหมายที่เห็นประโยชน์แก่ตนเอง
การเลี้ยงดูของพ่อแม่มีส่วนอย่างมาก แล้วเด็กแบบไหนกันที่มีแนวโน้มถูกเลี้ยงดูให้กลายเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ถูกเรียกว่า Generation ME !!
ประการแรก : ลูกเป็นศูนย์กลางของบ้าน ถ้าเปรียบเทียบกับการเลี้ยงดูของชาวจีนก็ประมาณว่าจักรพรรดิน้อย ที่พ่อแม่คอยพะเน้าพะนอ อยากได้อะไรก็ได้ ไม่ว่าจะกิน จะนอน จะเล่น จะเที่ยว จะให้ลูกเป็นผู้กำหนดตั้งแต่เล็ก ยกให้ลูกเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะรักลูกอยากตามใจลูก โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้กำลังหล่อหลอมให้ลูกของเรากลายเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง และมองตัวเองสำคัญที่สุด ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น

ประการที่สอง : ลูกไม่เคยผิดหวัง สืบเนื่องมาจากการเป็นศูนย์กลางของบ้าน เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใหญ่ในบ้านไม่เคยขัด และตามใจมาโดยตลอด จึงมักตอบสนองในทุกเรื่อง แม้บางเรื่องเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เช่น การที่ลูกอยากได้ของเล่นของคนอื่น พ่อแม่ก็จะต้องพยายามหาทางให้ลูกได้ของเล่นชิ้นนั้น ไปขอยืมมา หรือไม่ก็ต้องดิ้นรนหาซื้อของเล่นชิ้นใหม่จนได้ เป็นต้น

ประการที่สาม : ลูกไม่เคยแพ้ ในที่นี้เป็นเรื่องการแข่งขันที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็ก เป็นเด็กที่ต้องชนะ ไม่ว่าจเะเป็นการเล่นเกม หรือการเรียนก็ตาม ยกตัวอย่าง พ่อแม่ที่เล่นกับลูก ถ้าเป็นเกมที่ต้องมีผู้แพ้ชนะ พ่อแม่มักยอมให้ลูกเป็นฝ่ายชนะตลอด เวลาลูกแพ้ ลูกมักร้องไห้หรืออารมณ์เสีย แทนที่พ่อแม่จะสอนให้ลูกรู้จักการแพ้ชนะอย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้องตามกฎกติกา และให้เขาได้รู้จักการจัดการกับอารมณ์นั้น แต่พ่อแม่มักอ้างว่ารักลูก กลัวว่าลูกเสียใจก็เลยยอมแพ้ลูกตลอด จนเมื่อลูกต้องไปมีสังคมของเขาเอง เมื่อเขาแพ้ก็จะรู้สึกทนไม่ได้ ไม่ชอบหน้าอีกฝ่าย หรือบางทีก็กลายเป็นโกรธผู้นั้นไปเลย
(ความเห็นเพิ่มเติมจาก braintoyshop : ส่วนนี้ควรจะกำหนดความพอดี และได้คุยกันระหว่างลูกว่า เราจะเล่นกันจริงจังตามกติกา ไม่มีการออม สำหรับเด็กหลายคนจะรู้สึกว่าเขาได้รับการยอมรับ และเคารพมากกว่า เพียงแต่เราอาจมี level ของการเล่นก็ได้ เช่นพูดว่า ครั้งนี้เล่นครั้งแรก พ่อจะเล่นแบบเพลามือก่อนครั้งนึง ..เพียงแต่ ถ้าเราแพ้ เราก็ต้องยอมรับว่าเราแพ้ ไม่มีข้ออ้างใดๆ แล้วคุณจะแปลกใจว่า เด็กเดี๋ยวนี้ จริงๆฉลาดกว่าที่คิด)

ประการที่สี่ : ลูกไม่เคยลำบาก ข้อนี้มักเกิดกับกลุ่มพ่อแม่ชนชั้นกลางขึ้นไป ที่ไม่อยากให้ลูกลำบาก ยิ่งถ้าเป็นพ่อแม่ที่เคยผ่านความลำบากมาแล้ว ก็เลยมีความคิดว่าไม่อยากให้ลูกลำบากอีกต่อไป ซึ่งเป็นความคิดและความเข้าใจที่ผิด เพราะความลำบากจะทำให้ลูกมีภูมิต้านทานชีวิตที่ดี

ประการที่ห้า : ลูกไม่เคยแก้ปัญหา พ่อแม่จัดการแก้ปัญหาให้ลูกหมด เพราะคิดว่าลูกยังเด็ก ลูกคงแก้ปัญหาเองไม่ได้หรอก ทั้งที่บางเรื่องเป็นเรื่องเล็ก ๆ และเป็นเรื่องของเด็ก แต่พ่อแม่ก็ไม่ปล่อยวางให้ลูกได้ฝึกเจอสถานการณ์ด้วยตัวเอง พ่อแม่เข้าไปแก้ปัญหาและจัดการให้หมด กลายเป็นจุ้นจ้านต่อชีวิตของลูกไปซะอีก เวลาลูกเจอปัญหาอะไรต้องให้เขาฝึกเผชิญด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นแล้ว เขาก็จะมองเห็นแต่ตัวเอง เมื่อเกิดอะไรขึ้นมา เขาจะมองไม่เห็นปัญหาของคนอื่น หรือโทษว่าเพราะคนอื่นทำให้ฉันเกิดปัญหา

ประการที่หก : ลูกได้รับคำชื่นชมและชมเชยแบบพร่ำเพรื่อ การชื่นชมหรือชมเชยหรือให้กำลังใจลูกเป็นเรื่องจำเป็น แต่ต้องมีความพอดีและเหมาะสมกำกับอยู่ด้วย เพราะถ้าชื่นชมมาก จนพร่ำเพรื่อเกินไปก็กลายเป็นสร้างปัญหาด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชื่นชมเพียงแค่เปลือก ชมที่ภายนอก เช่น ชมว่าลูกแต่งตัวสวย หล่อ หรือหน้าตาดี แต่ไม่ได้ชมที่พฤติกรรมของการทำดี ก็จะทำให้ลูกหลงและถือดีว่าตัวเองหน้าตาดี และนำไปสู่อาการหลงตัวเองได้
(ความเห็นเพิ่มเติมจาก braintoyshop : ควรชื่นชมที่ความสามารถ ไม่ใช่เพียงเปลือกนอก ความพอดีเป็นปัจจัยสำคัญของเรื่องนี้ สำหรับการได้รับคำชมนั้น ควรสอนให้เด็กยอมรับคำชื่นชมนั้นเพื่อเป็นกำลังใจโดยการขอบคุณผู้ชม มากกว่าการถ่อมตัวไม่รับมันตามวัฒนธรรมด้านมารยาทจีนสมัยก่อน เพราะหลายๆคน เมื่อเป็นผู้ใหญ่จะไม่สามารถรับเป็นเจ้าของคำชมได้เลยทั้งๆที่คนอื่นเขาตั้งใจชมเชย ซึ่งสิ่งนั้นอาจดูไร้มารยาทและเหมือนเป็นคนแข็งกระด้างกว่าด้วยซ้ำไป รวมถึงอาจเป็นคนที่ไม่สามารถชื่นชมคนอื่นได้ ;ทั้งนี้ควรฝึกถึงการรับคำชม และฝึกส่งมอบต่อให้เพื่อนๆทุกคนที่เกี่ยวข้องด้วย)

ฝากทิ้งท้าย ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วมีส่วนทำให้ลูกของคุณเข้าข่ายเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่คิดถึงตัวเอง หรือภาษาของคนชาวอเมริกันที่เขาบอกว่าเข้าข่ายหลงตัวเอง จนถึงกับบัญญัติศัพท์ใหม่ว่า “Generation ME” ที่ต้องการสะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่มักมองแต่ตัวเอง จะว่าไปแล้วอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เกิดพฤติกรรมหลงตัวเองก็คือ “สื่อยุคไร้พรมแดน” เพราะสื่อและเทคโนโลยีที่พุ่งเป้ามาที่ตัวเด็กโดยตรง และมองว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สุดแสนจะโอชะ เพราะใช้เงินง่าย ตกเข้าไปในกระแสทุนนิยมก็ง่าย ยิ่งบรรดาสมาร์ทโฟนที่เด็กรุ่นใหม่ใช้กันเกลื่อนเมือง ก็ยิ่งเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้กลุ่มคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มอย่างมากที่ก้าวเข้าสู่การเป็น Generation ME ได้ง่ายขึ้น

แต่ถ้าเด็กเหล่านี้ได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสมและถูกวิธี มีการปลูกฝังทักษะชีวิตที่เหมาะสมกับวัย เมื่อถึงวันที่กระแสบริโภคนิยมเข้ามาปะทะตัวเด็กเต็ม ๆ มีสื่อไฮเทคเข้ามาถึงบ้าน แต่ทักษะชีวิตที่ได้รับการปลูกฝังมาดี เมื่อถึงเวลานั้น ทักษะที่มี มันจะทำหน้าที่ป้องกันตัวเองได้เป็นอย่างดี

Credit : สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน / Quality of Life / Manager.co.th — with ครูพลอย ศิลปะแหลมคม เล็กสุวัฒน์ and 6 others.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่