หลายๆ คนที่มีความตั้งใจในการลงทุนถือหุ้นแบบยาวๆ หรือที่เรียกกันติดปากว่า VI ต่างก็ต้องการถือหุ้นให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยความเชื่อที่ว่าหากบริษัทที่เราเข้าไปถือหุ้นนั้นมีผลการดำเนินงานที่ดี สุดท้ายราคาหุ้นจะต้องขึ้นตามกำไรของบริษัท ทำให้ใครหลายๆ คนเริ่มหันจากการเก็งกำไรมาเป็นการลงทุนอย่างมีแบบแผนเพื่อหวังผลตอบแทนในระยะยาว ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดี เพราะหากเราสามารถลงทุนในหุ้นได้ถูกตัวและถูกเวลา ผลตอบแทนที่ 20% ต่อปีก็ไม่ใช่เรื่องยากและนั่นจะทำให้เรามั่งคั่งในระยะยาวได้
แต่ปัญหามันอยู่ที่ การลงทุนนั้นมันขัดกับสามัญสำนึกของคนโดยธรรมชาติ หากใครเคยอ่านงานวิจัยที่ว่าให้เด็กนั่งในห้องแล้วมีขนมวางอยู่ตรงหน้า โดยมีกฎว่าขนมนี้ใครจะกินเลยก็กินได้ แต่หากรอนานอีกหน่อย (ผมจำไม่ได้ว่ารอนานเท่าไหร่) ก็จะได้ขนมเพิ่มอีกหนึ่งชิ้น ผลลัพธ์ผมคงไม่ต้องบอก ขนมหายไปในพริบตา มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยินดีรอเพื่อจะกินอีกชิ้นหนึ่ง
ในกางทุนก็เช่นกัน เราทุกคนต่างมุ่งมั่นที่จะลงทุนกับหุ้นในระยะยาว แต่เมื่อผ่านไปแค่เดือนเดียวเท่านั้นราคาหุ้นของเรากลับลดลงจนส่งผลให้เราขาดทุน ! ทำไงดีล่ะ และแล้วความกระวนกระวายใจเริ่มจะเข้ามา เงินเก็บที่เราหามาอย่างยากลำบากกำลังจะหายไป ราคาหุ้นอาจลงต่อก็ได้นะ ที่สุดแล้วไม่ว่าเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ มันอาจทำให้ใครหลายๆ คนขายหุ้นทิ้ง
หรือในอีกกรณีหนึ่ง เราซื้อหุ้นไปสักพัก อยู่ดีๆ ราคาหุ้นที่เราซื้อกลับพุ่งทะยานไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น ส่งผลให้เราได้กำไรอย่างมหาศในเวลาอันสั้น และแล้วความกระวนกระวายใจเริ่มกลับมาเล่นงานอีกครั้ง ผลตอบแทนขนาดนี้หายากนะ เดี๋ยวกำไรก็หายหรอก Take Profit ก่อนดีกว่านะ และแล้วก็ขายหุ้นทิ้งไปในที่สุด การที่เรารียฉวยกำไรมาก่อนอาจเป็นสิ่งที่ดีในการเก็งกำไร แต่มันอาจสร้างนิสัยเสียในระยะยาวสำหรับการลงทุนของเราได้ แล้วถ้างั้นเราจะทำอย่างไรดีล่ะ
สำหรับเทคนิคส่วนตัวของผมเอง ด้วยความที่ผมเป็นคนธรรมดาคนนึงที่มีความโลภและความกลัวเหมือนคนทั่วไป ดังนั้นวิธีที่ผมจะขจัดความรู้สึกเหล่านั้นนั่นก็คือการ "คิด" ในมุมมองของเจ้าของ ยกตัวอย่างเช่น ผมมักจะทำการสร้าง "งบการเงิน" แบบย่อๆ ของหุ้นที่ผมถือขึ้นมา สมมติว่าผมซื้อหุ้น ADVANC ไว้สักประมาณ 10,000 หุ้น โดยซื้อมาที่หุ้นละประมาณ 120 บาท นั่นเท่ากับว่าผมใช้เงิน 1,200,000 บาทเพื่อซื้อความเป็นส่วนหนึ่งในกิจการของ ADVANC
จากนั้นผมจะนำสัดส่วนการถือหุ้นของตนเองมาคิดเป็นงบการเงินของตนเองดังรูป โดยการนำจำนวนหุ้นที่เราถือมาหารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด ค่าที่เราได้จะเป็นสัดส่วนในการถือหุ้นในบริษัทของเรา โดยในที่นี้สัดส่วนการถือหุ้นของผมในบริษัท ADVANC จะเท่ากับ 0.00034% (ภูมิใจจัง) จากนั้นก็เอาสัดส่วนนี้มาคูณกับข้อมูลในงบการเงินของบริษัท
ก็อย่างที่เราเห็นจากรูป การที่เราใช้เงิน 1,200,000 บาทเพื่อซื้อหุ้นของ ADVANC มา 10,000 หุ้น เท่ากับว่าเราซื้อ "สินทรัพย์" เป็นจำนวน 376,798.24 บาท โดยในสินทรัพย์จำนวนนี้ประกอบด้วยเงินสดจำนวน 38,589.82 บาท และมีที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์อีก 120,824.38 บาท นอกจากนี้ยังมีหนี้สินอีก 222,438.61 บาทและส่วนของผู้ถือหุ้นอีก 153,873.67 บาท
แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ เงินที่เราลงทุนไปทั้งสิ้น 1,200,000 บาทในการซื้อหุ้น ADVANC 10,000 หุ้น สามารถสร้างรายได้ให้เราเป็นเงิน 483,178.72 บา คิดเป็น 40.26% ของเงินที่เราลงทุนซื้อหุ้นทั้งหมด และเงินที่เราลงทุนไปน้น สามารถสร้างกำไรได้ 122,007.96 บาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิถึง 10.17% ชองเงินที่เราลงทุนซื้อหุ้นไปในตอนแรก โดยกำไรจำนวนนี้บริษัทจะแบ่งเงินจำนวนหนึ่งมาจ่ายปันผล และเก็บอีกส่วนหนึ่งไว้ลงทุนต่อเพื่อเพิ่มผลกำไรในอนาคตให้กับผู้ถือหุ้นอย่างเราๆ นั่นเอง
เห็นหรือยังว่าเราสบายขนาดไหนในการที่เราเอาเงินมาซื้อหุ้นของกิจการนึง โดยที่เราแทบไม่ต้องทำอะไรแต่เงินที่เราลงทุนซื้อความเป็นส่วนนึงของกิจการสามารถสร้างรายได้ให้เรา และทำกำไรให้เรา รวมถึงให้ค่าขนมเป็นเงินปันผลกับเรา นอกจากนั้นยังเก็บกำไรส่วนหนึ่งไว้ลงทุนในอนาคตให้กับเราอัตโนมัติด้วย ! 
เราลองตั้งคำถามกับตัวเองดูว่า หากวันใดวันนึงราคาหุ้นที่เราซื้อตกลงไปสักประมาณ 50% เราจะขายรึเปล่า ? ทั้งๆ ที่กิจการนั้นสามารถสร้างรายได้และกำไรให้เราขนาดนี้ เหมือนเรามีกิจการย่อมๆ แห่งนึงโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย มันสมเหตุสมผลรึเปล่าที่เราจะขายกิจการเราทิ้งเพียงเพราะมีคลใครบางคนมาบอกว่าราคามันคือเท่าไหร่ แต่กลับไม่รู้มูลค่าที่แท้จริงของมันเลย
แทนที่เราจะนั่งพะวงหน้าพะวงหลังกับราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง มันจะไม่ดีกว่าหรือที่เราจะ "มุ่งเน้น" มาให้ความสนใจกับศักยภาพของกิจการที่จะทำได้ในระยะยาว และค่อยหาทางขายกิจการทิ้งในยามที่มีคนมาประเมินราคาหุ้นของเราจนสูงเกินความจริงอย่างมหาศาล เพราะหากเราซื้อหุ้นอย่างมีเหตุผลจากคนที่ไร้เหตุผล และขายหุ้นอย่างมีเหตุผลให้แก่คนที่ไร้เหตุผล ในระยะยาวเราจะขาดทุนได้อย่างไรกัน
จงอย่าลงทุนในหุ้น แต่จงหากิจการที่ใช่ในราคาที่เหมาะสมแล้วลงทุนใน "กิจการ" ผ่านการถือหุ้นแทน (:																															
 
						
อย่าลงทุนในหุ้น
แต่ปัญหามันอยู่ที่ การลงทุนนั้นมันขัดกับสามัญสำนึกของคนโดยธรรมชาติ หากใครเคยอ่านงานวิจัยที่ว่าให้เด็กนั่งในห้องแล้วมีขนมวางอยู่ตรงหน้า โดยมีกฎว่าขนมนี้ใครจะกินเลยก็กินได้ แต่หากรอนานอีกหน่อย (ผมจำไม่ได้ว่ารอนานเท่าไหร่) ก็จะได้ขนมเพิ่มอีกหนึ่งชิ้น ผลลัพธ์ผมคงไม่ต้องบอก ขนมหายไปในพริบตา มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยินดีรอเพื่อจะกินอีกชิ้นหนึ่ง
ในกางทุนก็เช่นกัน เราทุกคนต่างมุ่งมั่นที่จะลงทุนกับหุ้นในระยะยาว แต่เมื่อผ่านไปแค่เดือนเดียวเท่านั้นราคาหุ้นของเรากลับลดลงจนส่งผลให้เราขาดทุน ! ทำไงดีล่ะ และแล้วความกระวนกระวายใจเริ่มจะเข้ามา เงินเก็บที่เราหามาอย่างยากลำบากกำลังจะหายไป ราคาหุ้นอาจลงต่อก็ได้นะ ที่สุดแล้วไม่ว่าเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ มันอาจทำให้ใครหลายๆ คนขายหุ้นทิ้ง
หรือในอีกกรณีหนึ่ง เราซื้อหุ้นไปสักพัก อยู่ดีๆ ราคาหุ้นที่เราซื้อกลับพุ่งทะยานไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น ส่งผลให้เราได้กำไรอย่างมหาศในเวลาอันสั้น และแล้วความกระวนกระวายใจเริ่มกลับมาเล่นงานอีกครั้ง ผลตอบแทนขนาดนี้หายากนะ เดี๋ยวกำไรก็หายหรอก Take Profit ก่อนดีกว่านะ และแล้วก็ขายหุ้นทิ้งไปในที่สุด การที่เรารียฉวยกำไรมาก่อนอาจเป็นสิ่งที่ดีในการเก็งกำไร แต่มันอาจสร้างนิสัยเสียในระยะยาวสำหรับการลงทุนของเราได้ แล้วถ้างั้นเราจะทำอย่างไรดีล่ะ
สำหรับเทคนิคส่วนตัวของผมเอง ด้วยความที่ผมเป็นคนธรรมดาคนนึงที่มีความโลภและความกลัวเหมือนคนทั่วไป ดังนั้นวิธีที่ผมจะขจัดความรู้สึกเหล่านั้นนั่นก็คือการ "คิด" ในมุมมองของเจ้าของ ยกตัวอย่างเช่น ผมมักจะทำการสร้าง "งบการเงิน" แบบย่อๆ ของหุ้นที่ผมถือขึ้นมา สมมติว่าผมซื้อหุ้น ADVANC ไว้สักประมาณ 10,000 หุ้น โดยซื้อมาที่หุ้นละประมาณ 120 บาท นั่นเท่ากับว่าผมใช้เงิน 1,200,000 บาทเพื่อซื้อความเป็นส่วนหนึ่งในกิจการของ ADVANC
จากนั้นผมจะนำสัดส่วนการถือหุ้นของตนเองมาคิดเป็นงบการเงินของตนเองดังรูป โดยการนำจำนวนหุ้นที่เราถือมาหารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด ค่าที่เราได้จะเป็นสัดส่วนในการถือหุ้นในบริษัทของเรา โดยในที่นี้สัดส่วนการถือหุ้นของผมในบริษัท ADVANC จะเท่ากับ 0.00034% (ภูมิใจจัง) จากนั้นก็เอาสัดส่วนนี้มาคูณกับข้อมูลในงบการเงินของบริษัท
ก็อย่างที่เราเห็นจากรูป การที่เราใช้เงิน 1,200,000 บาทเพื่อซื้อหุ้นของ ADVANC มา 10,000 หุ้น เท่ากับว่าเราซื้อ "สินทรัพย์" เป็นจำนวน 376,798.24 บาท โดยในสินทรัพย์จำนวนนี้ประกอบด้วยเงินสดจำนวน 38,589.82 บาท และมีที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์อีก 120,824.38 บาท นอกจากนี้ยังมีหนี้สินอีก 222,438.61 บาทและส่วนของผู้ถือหุ้นอีก 153,873.67 บาท
แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ เงินที่เราลงทุนไปทั้งสิ้น 1,200,000 บาทในการซื้อหุ้น ADVANC 10,000 หุ้น สามารถสร้างรายได้ให้เราเป็นเงิน 483,178.72 บา คิดเป็น 40.26% ของเงินที่เราลงทุนซื้อหุ้นทั้งหมด และเงินที่เราลงทุนไปน้น สามารถสร้างกำไรได้ 122,007.96 บาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิถึง 10.17% ชองเงินที่เราลงทุนซื้อหุ้นไปในตอนแรก โดยกำไรจำนวนนี้บริษัทจะแบ่งเงินจำนวนหนึ่งมาจ่ายปันผล และเก็บอีกส่วนหนึ่งไว้ลงทุนต่อเพื่อเพิ่มผลกำไรในอนาคตให้กับผู้ถือหุ้นอย่างเราๆ นั่นเอง
เห็นหรือยังว่าเราสบายขนาดไหนในการที่เราเอาเงินมาซื้อหุ้นของกิจการนึง โดยที่เราแทบไม่ต้องทำอะไรแต่เงินที่เราลงทุนซื้อความเป็นส่วนนึงของกิจการสามารถสร้างรายได้ให้เรา และทำกำไรให้เรา รวมถึงให้ค่าขนมเป็นเงินปันผลกับเรา นอกจากนั้นยังเก็บกำไรส่วนหนึ่งไว้ลงทุนในอนาคตให้กับเราอัตโนมัติด้วย !
เราลองตั้งคำถามกับตัวเองดูว่า หากวันใดวันนึงราคาหุ้นที่เราซื้อตกลงไปสักประมาณ 50% เราจะขายรึเปล่า ? ทั้งๆ ที่กิจการนั้นสามารถสร้างรายได้และกำไรให้เราขนาดนี้ เหมือนเรามีกิจการย่อมๆ แห่งนึงโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย มันสมเหตุสมผลรึเปล่าที่เราจะขายกิจการเราทิ้งเพียงเพราะมีคลใครบางคนมาบอกว่าราคามันคือเท่าไหร่ แต่กลับไม่รู้มูลค่าที่แท้จริงของมันเลย
แทนที่เราจะนั่งพะวงหน้าพะวงหลังกับราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง มันจะไม่ดีกว่าหรือที่เราจะ "มุ่งเน้น" มาให้ความสนใจกับศักยภาพของกิจการที่จะทำได้ในระยะยาว และค่อยหาทางขายกิจการทิ้งในยามที่มีคนมาประเมินราคาหุ้นของเราจนสูงเกินความจริงอย่างมหาศาล เพราะหากเราซื้อหุ้นอย่างมีเหตุผลจากคนที่ไร้เหตุผล และขายหุ้นอย่างมีเหตุผลให้แก่คนที่ไร้เหตุผล ในระยะยาวเราจะขาดทุนได้อย่างไรกัน
จงอย่าลงทุนในหุ้น แต่จงหากิจการที่ใช่ในราคาที่เหมาะสมแล้วลงทุนใน "กิจการ" ผ่านการถือหุ้นแทน (: