โดนถามว่า "เรียนจบตั้งปริญญาตรี ทำไมออกมาขายของ" ??

สวัสดีครับ ผมเป็นนักศึกษาจบใหม่ จบเมื่อ วันที่ 8 เมษายน 2557 นี้เองครับ

เรียนจบด้านธุรกิจอัญมณีมา ตอนแรก ผมสมัครงานไปกว่า 50 บริษัท แต่ไม่มีที่ไหนรับผมเลยครับ

ผมเลยว่างงานอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด จนวันหนึ่งผมนั่งคิดได้ว่า ถ้าผมเข้าไปทำงานที่ กทม. แล้วได้เงินเดือนประมาณ 15,000 บาท ต่อเดือน

ก็เลยคิดว่าแล้วมันจะพอหรอวะ ? แค่โดนค่าหอพักกับค่าน้ำค่าไฟก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ไหนจะค่าเดินทาง ค่ากิน-อยู่ ค่าของจิปาถะอีก

ก็เลยลองหันกลับมาดูตัวเองว่าถ้าเราอยู่ที่บ้านละ จะใช้มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณเท่าไหร่ ผมลองคำนวนดูแล้ว ต่อเดือนไม่น่าจะเกิน 5,000 บาท !! เห้ย

งั้นเราก็หาอะไรทำที่มันได้เกิน เดือนละ 5,000 บาทก็ได้นี่หว่า

และบังเอิญว่าพี่สาวที่เป็นญาติเขาว่างงานอยู่เหมือนกัน เขาเลยชวนผมไปขายของด้วยกัน ของที่ขายคือ แคนตาลูบและเมล่อน ซึ่งน้าของผมเป็นคนปลูก

ผมกับพี่สาว ไปรับของมาจากสวนของน้าแล้วนำไปขายตามตลาดใหญ่ๆ ในตัวเมือง กำไรต่อวันเมื่อหักต้นทุนทุกอย่างแล้ว

จะเหลือประมาณ 1,500-3,000 บาทต่อวันแล้วแต่วันไหนขายดี ไม่ดี เมื่อแบ่งกับพี่สาวก็จะได้คนละประมาณ คนละ 750-1,500 บาท ต่อวัน

ผมดีใจมากที่สามารถหาเงินได้ขนาดนี้

!!!!!!! แต่แล้ววันนี้ผมไปกินอาหารเย็นกับพวกแม่ และ ป้าๆ ป้าคนหนึ่งเขาก็ถามผมว่า "ผมเรียนจบตั้งปริญญาตรี จะออกมาขายของทำไม ทำไมไม่หางานดีๆทำ งานที่มันตรงสายงานที่เรียนมา แล้วถ้าอยากขายของจริงๆ จะเสียเวลาไปเรียนปริญญาตรีทำไมตั้ง 4 ปี "

ผมนี้ถึงกับเงิบเลยเจอป้าถามแบบนี้ แต่ผมก็แค่ยิ้ม ละ นั่งกินอาหารต่อไป ผมเลยสงสัยว่ามันแย่มากหรอครับ ที่จบปริญญาตรีแล้วออกมาขายของ


*** ขอบคุณทุกความคิดเห็นมากนะครับ และขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้ตอบคอมเม้นของทุกคน

ผมตั้งใจจะขายของเก็บเงิน แล้วนำเงินเก็บไปลงทุนต่อใน หุ้น และ mini tfex ที่กำลังจะเปิดทำการเร็วๆนี้ครับ เพื่อเป็นการหารายได้เพิ่ม

ส่วนเรื่องความคิดเห็นของคนอื่น ผมคิดว่าจะให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ดีกว่าครับ

ขอบคุณทุกความเห็นมากนะครับ มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย :]
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
ช่วงนี้เห็นกระทู้แนวๆ จบปริญญาออกมาขายของหรือทำงานแล้วออกมาขายของเยอะ
ไม่แปลกหรอกครับที่จบปริญญาแล้วออกมาขายของ ถ้ามองสำหรับเด็กจบใหม่คือ
ทำงานเงินเดือน 15,000 บาท  ทำไปทำไม ค้าขายได้เงินกำไรวันละ 1,000 ดีกว่า รวมแล้ว 30,000
หากเมื่อเทียบกับค้าขาย ได้เงินเยอะกว่าตั้ง 15,000 บาท

จริงๆอยากบอกว่านี่คือ "ระยะสั้น"  ถ้าทำงานเก็บประสบการณ์อาจได้เงินเดือน 50,000 - 100,000 เลยก็ได้
วันหยุดก็ยังมีเงินเข้า แต่ค้าขายต้องดูแลตัวเองหยุดคือขาดรายได้ ไม่มีโบนัส , สวัสดิการ ฯลฯ
ตรงนี้ยอมรับได้ไหมถ้าจะขายของแบบเต็มตัว แล้วขายของแล้วจะยังไงต่อกับชีวิตมันต้องมีหนทางไปต่อนะ
อาจจะมีประโยคปลอบใจสุดคลาสสิคก็คือ "ออกมาเป็นนายตัวเองไม่ได้เป็นลูกน้องใคร" คำถามก็คือ
เป็นลูกน้องแล้วยังไง ถ้าเราได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคมหรือประเทศชาติ เช่น พยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน
ก็ต้องทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย เพื่อแบ่งเบาโรงพยาบาลภาครัฐที่มีจำกัด

ยังไงลองทบทวนดูนะ ไม่ได้บอกว่าออกมาเป็นผู้ประกอบการไม่ดี แต่สำคัญคือประสบการณ์และไหวพริบเราไหวไหม
หลายๆคนก็เปรียบเทียบว่า "ดูอย่างเถ้าแก่น้อย , ดูอย่างบิลเกต ฯลฯ" คือดูอย่างแล้วไงต่อ?
เราเก่งเหมือนบิวเกตไหม ? เราได้ค้าขายตั้งแต่อายุ 10 กว่าขวบไหม ประสบการณ์เราเยอะพอไหม
การเป็นเจ้าของกิจการต้องดูที่ประสบการณ์ตรงนี้ด้วยครับ
เพราะช่วงนี้เห็นกระแส "ลาออกแล้วรวย , อิสระภาพทางการเงิน ฯลฯ" เยอะพอสมควร

สุดท้ายก็อยากฝากไว้คือ สิ่งแรกของการเป็นผู้ประกอบการคือต้องมี"จิตวิญญาณของผู้ประกอบการ"
เดินออกไปป้ายรถเมล์แล้วเห็นโอกาสธุรกิจไหม เล่นพันทิปแล้วเห็นโอกาสทำเงินไหม สิ่งเหล่านี้ต้องฝึกมองครับ
แล้วจะเริ่มมีจิตวิญญาณผู้ประกอบการถึงตอนนั้นออกไปทำกิจการก็ยังน่าลุ้นครับ ซึ่งต่างกันนะครับ
ระหว่าง ค้าขาย กับ ทำกิจการหรือธุรกิจ
เราอาจจะคิดว่าทำไมค้าขายดูน่าอายจัง  ขายกล้วยปิ้ง ขายไข่ ขายปลา ฯลฯ  ซึ่งจริงๆอาชีพเหล่านี้ทำเงินครับ
เราจะเห็นพ่อค้า , แม่ค้า ขายของในรูปแบบเดิมๆเป็นแบบนี้หลายปี แต่ก็ไม่ได้รวยมากขนาดพันล้าน
สิ่งสำคัญที่จะทำให้เราแตกต่างจากพ่อค้าแม่ค้าทั่วไป ที่ผมอยากจะฝากสำหรับเด็กจบใหม่ที่อยากเป็นนายตัวเองก็คือ

"อย่าขายของแบบแม่ค้า  ให้ขายของแบบผู้ที่ได้ศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ"

ยกตัวอย่าง แม่ค้าขายกล้วยปิ้ง ก็ขายดีคิดว่า กำไรวันละ 500 ก็พอและ มีอยู่กินใช้ ขายครึ่งวันก็มีเวลานอน
แต่ถ้าเขาเรียนหนังสือมาเขาก็อาจจะคิดต่อยอดว่า
"เฮ้ย กล้วยปิ้งมันน่าจะเอาไปทำอย่างอื่น เช่นนำไปตากแห้งแล้วแพ็คใส่ถุง ทำ Package ให้ดูน่าซื้อ จากนั้นก็กระจายสินค้า
เช่นแหล่งนักท่องเทียว หรือนำไปฝากขายตามศูนย์ผลิตภัณฑ์  พอได้เงินมาพอสมควรก็ต่อยอดจากกล้วยตากแห้ง ไปเป็นกล้วยเชื่อม
และสร้างแบรนด์ขึ้นมา แต่ไม่มีความรู้การสร้างแบรนด์ก็จะไปขอคำปรึกษาจากบริษัท Consult และหาวิธีเพิ่ม Value Added ของสินค้า
ให้ทำกำไรมากขึ้น และเมื่อสินค้าพอไปได้ก็จะลองเสี่ยงฝากขายที่ Lotus  และถึงเวลานั้นเราจะมีโอกาสขายได้มากขึ้น
และก็จะมีเงินมากขึ้นเพื่อต่อยอดไปทำสิ่งอื่นๆได้มากขึ้นอีกด้วย "  
อาจจะยกตัวอย่างยาวไปหน่อย แต่อยากบอกจริงๆว่า สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่ได้เรียนหนังสือมาอาจจะคิดได้ "แต่ใช้เวลานาน"
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
"แล้วจบตั้งปริญญาตรี ทำไมต้องไปเป็นขี้ข้าคนอื่น"

ย้อนกลับไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่