สาเหตุของการศึกษาไทย ทำไมบัณฑิตไม่มีคุณภาพ
1) การไม่กระจายตัวของหัวกะทิและหางกะทิ
คณะดังๆ ในมหาวิทยาลัยยอดนิยม จะมีนักศึกษาที่เก่งไปกระจุกกันอยู่ อีกทั้งอาจารย์ระดับหัวกะทิก็แข่งขันกันเพื่อเข้าไปสอน จึงไม่ต้องสงสัยว่าคณะเหล่านี้สามารถผลิตบัณทิตที่มีคุณภาพได้อย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งเป็นที่รวมตัวกันของนักศึกษาและอาจารย์ไม่เอาอ่าว ซึ่งมหาวิทยาลัยประเภทนี้มีจำนวนมาก จึงทำให้คุณภาพบัณฑิตในภาพรวมดูแย่
ถ้าเราสามารถทำให้นักศึกษาและอาจารย์เก่งๆ กระจายตัวกันออกไป อยู่ในที่ต่างๆ ให้โอกาสคนที่ไม่เก่ง (หรือคนที่ยังไม่เก่ง) ได้สัมผัสกับคนเก่ง ได้ขยายทัศนะคติ เช่นทัศนะคติที่ว่าการอ่านตำราภาษาอังกฤษเป็นเรื่องแสนธรรมดาใครๆ ก็ทำกัน (อยู่คณะไม่เอาอ่าว ใครอ่าน text จะถูกถือว่าเทพและไม่ปกติ) ส่วนอาจารย์พอเห็นนักศึกษาเก่งๆ และใฝ่เรียนมากขึ้นก็จะไม่กล้าสอนแบบขอไปที (อย่างที่เป็นอยู่ในหลายๆ ที่) เป็นต้น
2) คณะไม่เอาอ่าวเป็นเสือนอนกิน
ไม่แน่ใจว่าใช้ "เสือนอนกิน" ถูกความหมายหรือเปล่า แต่ผมจะหมายถึงว่า คณะไม่เอาอ่าวหลายแห่งไม่ต้องดิ้นรนพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพราะนักศึกษาไม่เอาอ่าวที่ไม่มีทางเลือก (ถูกจองจำด้วยคะแนนสอบ) จะหลังไหลเข้าไปอยู่ทุกๆ ปี จึงไม่มีความกดดันในเกิดการพัฒนา
ถ้าเราสามารถทำให้นักศึกษามีทางเลือก (และสมัครใจที่จะเลือก) หลีกลี้หนีถอยจากมหาลัยหรือคณะไม่เอาอ่าวเหล่านั้น ก็จะสามารถเป็นแรงกดดันให้คณะต่างๆ พัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนมากขึ้น
3) นักศึกษาเลือกเรียน ป. ตรี ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนและไม่รู้ว่ากำลังเรียนอะไร
สมัยนี้การเรียน ป. ตรีแทบไม่ต่างกับการศึกษาภาคบังคับ และนักศึกษาไม่ได้มาเรียนเพราะมีเป้าหมาย แต่มาเรียนเพราะเค้า (สังคม) ให้มาเรียน เปรียบเหมือนการไหลไปบนสายพานในโรงงานผลิตสิ่งของ ไหลมาตั้งแต่อนุบาลยันม. 6 และไหลต่อมายัง ป. ตรี ไม่ได้สนใจว่าปลายทางของสายพานอยู่ตรงไหน
ข้อนี้ผมมีความเห็นว่าเป็นเพราะเด็กไทย "มีความใกล้ชิดกับโลกแห่งความเป็นจริงน้อยเกินไป" เด็กเรียนหนังสือตั้งแต่เล็กจนโต เข้าเรียนตั้งแต่ 7-8 โมงเช้า เลิก 4-5 โมงเย็น โลกของเขามีแต่การเรียน ไม่มีเวลาให้เด็กรู้จักริเริ่มตัดสินใจทำอะไรด้วยตนเอง เรามักกลัวว่าเด็กจะเอาเวลาไปทำสิ่งไร้สาระ แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ที่เด็กมัวแต่ทำสิ่งไรสาระในเวลาว่างของเขาอาจเป็นเพราะเขาไม่มีเวลามากพอจะทำสิ่งที่มีสาระก็เป็นได้ (เขาจึงใช้เวลาที่มีอยู่น้อยนิดไปกับสิ่งไร้สาระ) พอเด็กไม่เข้าใจโลกแห่งความเป็นจริง เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเรียนหนังสือ
สาเหตุของการศึกษาไทย ทำไมบัณฑิตไม่มีคุณภาพ
1) การไม่กระจายตัวของหัวกะทิและหางกะทิ
คณะดังๆ ในมหาวิทยาลัยยอดนิยม จะมีนักศึกษาที่เก่งไปกระจุกกันอยู่ อีกทั้งอาจารย์ระดับหัวกะทิก็แข่งขันกันเพื่อเข้าไปสอน จึงไม่ต้องสงสัยว่าคณะเหล่านี้สามารถผลิตบัณทิตที่มีคุณภาพได้อย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งเป็นที่รวมตัวกันของนักศึกษาและอาจารย์ไม่เอาอ่าว ซึ่งมหาวิทยาลัยประเภทนี้มีจำนวนมาก จึงทำให้คุณภาพบัณฑิตในภาพรวมดูแย่
ถ้าเราสามารถทำให้นักศึกษาและอาจารย์เก่งๆ กระจายตัวกันออกไป อยู่ในที่ต่างๆ ให้โอกาสคนที่ไม่เก่ง (หรือคนที่ยังไม่เก่ง) ได้สัมผัสกับคนเก่ง ได้ขยายทัศนะคติ เช่นทัศนะคติที่ว่าการอ่านตำราภาษาอังกฤษเป็นเรื่องแสนธรรมดาใครๆ ก็ทำกัน (อยู่คณะไม่เอาอ่าว ใครอ่าน text จะถูกถือว่าเทพและไม่ปกติ) ส่วนอาจารย์พอเห็นนักศึกษาเก่งๆ และใฝ่เรียนมากขึ้นก็จะไม่กล้าสอนแบบขอไปที (อย่างที่เป็นอยู่ในหลายๆ ที่) เป็นต้น
2) คณะไม่เอาอ่าวเป็นเสือนอนกิน
ไม่แน่ใจว่าใช้ "เสือนอนกิน" ถูกความหมายหรือเปล่า แต่ผมจะหมายถึงว่า คณะไม่เอาอ่าวหลายแห่งไม่ต้องดิ้นรนพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพราะนักศึกษาไม่เอาอ่าวที่ไม่มีทางเลือก (ถูกจองจำด้วยคะแนนสอบ) จะหลังไหลเข้าไปอยู่ทุกๆ ปี จึงไม่มีความกดดันในเกิดการพัฒนา
ถ้าเราสามารถทำให้นักศึกษามีทางเลือก (และสมัครใจที่จะเลือก) หลีกลี้หนีถอยจากมหาลัยหรือคณะไม่เอาอ่าวเหล่านั้น ก็จะสามารถเป็นแรงกดดันให้คณะต่างๆ พัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนมากขึ้น
3) นักศึกษาเลือกเรียน ป. ตรี ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนและไม่รู้ว่ากำลังเรียนอะไร
สมัยนี้การเรียน ป. ตรีแทบไม่ต่างกับการศึกษาภาคบังคับ และนักศึกษาไม่ได้มาเรียนเพราะมีเป้าหมาย แต่มาเรียนเพราะเค้า (สังคม) ให้มาเรียน เปรียบเหมือนการไหลไปบนสายพานในโรงงานผลิตสิ่งของ ไหลมาตั้งแต่อนุบาลยันม. 6 และไหลต่อมายัง ป. ตรี ไม่ได้สนใจว่าปลายทางของสายพานอยู่ตรงไหน
ข้อนี้ผมมีความเห็นว่าเป็นเพราะเด็กไทย "มีความใกล้ชิดกับโลกแห่งความเป็นจริงน้อยเกินไป" เด็กเรียนหนังสือตั้งแต่เล็กจนโต เข้าเรียนตั้งแต่ 7-8 โมงเช้า เลิก 4-5 โมงเย็น โลกของเขามีแต่การเรียน ไม่มีเวลาให้เด็กรู้จักริเริ่มตัดสินใจทำอะไรด้วยตนเอง เรามักกลัวว่าเด็กจะเอาเวลาไปทำสิ่งไร้สาระ แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ที่เด็กมัวแต่ทำสิ่งไรสาระในเวลาว่างของเขาอาจเป็นเพราะเขาไม่มีเวลามากพอจะทำสิ่งที่มีสาระก็เป็นได้ (เขาจึงใช้เวลาที่มีอยู่น้อยนิดไปกับสิ่งไร้สาระ) พอเด็กไม่เข้าใจโลกแห่งความเป็นจริง เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเรียนหนังสือ