ใครก็ตามที่เคยผ่านตลาดหุ้นมาย่อมรู้ดีว่าการทำเงินจากหุ้นนั้นมันไม่ง่ายอย่างที่คิด บางคนเมื่อได้เริ่มต้นซื้อหุ้นครั้งแรกอาจจะมีกำไรเลยก็ได้แต่ต่อมาไม่นานมักจะขาดทุน หรือที่เลวร้ายกว่านั้นบางคนอาจจะขาดทุนตั้งแต่ซื้อหุ้นตัวแรกเลยก็ได้ ไม่ว่าเหตุผลอันใดก็ตาม ย่อมมีนักลงทุนจำนวนมากที่ขาดทุนแล้วอาจจะทำสองสิ่งต่อไปนี้คือ หนึ่ง ปล่อยให้ขาดทุนไปเรื่อยๆ โดยถือคติว่าไม่ขาย ไม่ขาดทุน ทั้งทีในความเป็นจริงไม่กล้าขาย กับสอง ขาดทุนหนักๆ แล้วค่อยขาย จากนั้นก็ทุ่มหมดตัวเพื่อถอนทุนคืนให้จนได้ ไม่ว่าเหตุผลอันใดก็แล้วแต่ บทสรุปส่วนใหญ่มักจะจบลงที่คำว่า "ขาดทุน" และทำให้นักลงทุนหลายๆ คนเห็นว่า การลงทุนนั้นมีความเสี่ยง แต่.. มันจริงหรือ ?
ถ้าการลงทุนมีความเสี่ยงจริง ทำไมเราถีงเห็นทั้งนักลงทุนและนักเก็งกำไรจำนวนมากที่เอาเงินใส่ไปในหุ้นและร่ำรวยได้ เค้ามีความรู้อย่างนั้นหรือ ? นั่นก็ส่วนนึง ความรู้เป็นสิ่งสำคัญก็จริงแต่มันยังไม่ใช่ที่สุด (เพราะถ้าความรู้คือสิ่งสำคัญที่สุดจริงๆ ผู้ที่จะรวยกว่าบัฟเฟตต์ได้คือนักวิทยาศาสตร์) สำหรับผมเองสิ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญที่สุดในการลงทุนนั้นคือ "วินัย"
การมีวินัยนั้นสำคัญไฉน ปัญหาส่วนใหญ่ของนักลงทุนหน้าใหม่จำนวนมากอาจเกิดจากการที่ตัวเราเองนั้นยังไร้จุดยืนที่ "มั่นคง" พอ บางคนคิดว่าตัวเองเหมาะกับการเล่นหุ้นแบบเทคนิคคอล หรือบางคนอาจจะคิดว่าตนเองคือดร.นิเวศน์คนต่อไป แต่เมื่อถึงเวลาลงสนามจริง นักลงทุนสายเทคนิคอาจจะดันคิดว่าไม่ขายไม่ขาดทุนทั้งๆ ที่วิเคราะห์มาอย่างดีว่าจะเข้าไวออกไว หรือว่าที่นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่คนต่อไปเมื่อเห็นว่าหุ้นที่ตนเองซื้อถูกทุบจนขาดทุนไป 3% ก็รีบร้อนขายหุ้นทิ้งทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงราคาหุ้นไม่ได้บ่งบอกมูลค่าหุ้นอย่างแท้จริงด้วยซ้ำ
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยของคนส่วนใหญ่ที่เจ็บจากตลาดหุ้นเพราะสาเหตุนี้ คราวนี้เราลองมาพิจารณาถึงผู้ที่ประสบความสำเร็จทั้งการลงทุนและการเก็งกำไร เราทุกคนคงรู้จัก "พี่ปุย เวฟไรเดอร์" ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการเล่นหุ้นมาอย่างยาวนาน แน่นอนว่าเขาเป็นคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องการใช้กราฟซื้อขายหุ้นอย่างชนิดหาตัวจับได้ยาก แต่ที่แน่นอนก็คือเราจะไม่เห็นเขาถือหุ้นจนเลยจุดตัดขาดทุน (Cut Loss) ของตนเองและบอกว่า "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน" หรืออีกตัวอย่างนึง เราทุกคนย่อมรู้จักดร.นิเวศน์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักลงทุนเบอร์ 1 ของเมืองไทย เราจะไม่มีทางเห็นแน่นอนอีกเช่นกันที่ว่าเมื่อตลาดหุ้นตกต่ำ จะทำให้ดร.นิเวศน์กินไม่ได้นอนไม่หลับจนถึงขั้นบอกว่า "ตอนนี้กราฟอยู่ในเทรนด์ขาลงจากการที่มีม๊อบมาปิดถนน ผมคงต้องขายหุ้นทิ้งก่อนที่จะเลยจุดตัดขาดทุน"
จากตัวอย่างง่ายๆ ทั้งสองอย่างนี้เราก็รู้ได้แล้วว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนและการเก็งกำไรจริงๆ นั้นจะไม่เอาหลักการหลายๆ อย่างมาผสมปนเปกันจนทำให้เกิดการไขว้เขวได้ พวกเขาจะศึกษาในสิ่งที่ตนเองชอบให้รู้ลึกและรู้จริง จนสามารถสร้างผลตอบแทนที่แสนมหัศจรรย์ได้ติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ถึงบางคนจะบอกเขาว่า "การเล่นหุ้นมันเสี่ยงนะ" หรือ "การลงทุนมันไม่ประสบความสำเร็จเหมือนต่างประเทศหรอก" ผมมั่นใจว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้นจะต้องคิดในใจว่า การที่เราเข้าใจในสิ่งๆ หนึ่งอย่างลึกซึ้งมันจะเสี่ยงได้อย่างไร แม้กระทั่งนักพนันก็ตาม หากเขามีการจำกัดความเสี่ยงที่ดีและเค้าคุมตัวเองอยู่ การพนันสำหรับเขานั้นมันจะเสี่ยงได้อย่างไร
เพราะสุดท้าย ทุกการลงทุนมันไม่มีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงนั้นมันอยู่ที่ตัวเราเองทั้งสิ้น (:
นิยามของความเสี่ยง
ถ้าการลงทุนมีความเสี่ยงจริง ทำไมเราถีงเห็นทั้งนักลงทุนและนักเก็งกำไรจำนวนมากที่เอาเงินใส่ไปในหุ้นและร่ำรวยได้ เค้ามีความรู้อย่างนั้นหรือ ? นั่นก็ส่วนนึง ความรู้เป็นสิ่งสำคัญก็จริงแต่มันยังไม่ใช่ที่สุด (เพราะถ้าความรู้คือสิ่งสำคัญที่สุดจริงๆ ผู้ที่จะรวยกว่าบัฟเฟตต์ได้คือนักวิทยาศาสตร์) สำหรับผมเองสิ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญที่สุดในการลงทุนนั้นคือ "วินัย"
การมีวินัยนั้นสำคัญไฉน ปัญหาส่วนใหญ่ของนักลงทุนหน้าใหม่จำนวนมากอาจเกิดจากการที่ตัวเราเองนั้นยังไร้จุดยืนที่ "มั่นคง" พอ บางคนคิดว่าตัวเองเหมาะกับการเล่นหุ้นแบบเทคนิคคอล หรือบางคนอาจจะคิดว่าตนเองคือดร.นิเวศน์คนต่อไป แต่เมื่อถึงเวลาลงสนามจริง นักลงทุนสายเทคนิคอาจจะดันคิดว่าไม่ขายไม่ขาดทุนทั้งๆ ที่วิเคราะห์มาอย่างดีว่าจะเข้าไวออกไว หรือว่าที่นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่คนต่อไปเมื่อเห็นว่าหุ้นที่ตนเองซื้อถูกทุบจนขาดทุนไป 3% ก็รีบร้อนขายหุ้นทิ้งทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงราคาหุ้นไม่ได้บ่งบอกมูลค่าหุ้นอย่างแท้จริงด้วยซ้ำ
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยของคนส่วนใหญ่ที่เจ็บจากตลาดหุ้นเพราะสาเหตุนี้ คราวนี้เราลองมาพิจารณาถึงผู้ที่ประสบความสำเร็จทั้งการลงทุนและการเก็งกำไร เราทุกคนคงรู้จัก "พี่ปุย เวฟไรเดอร์" ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการเล่นหุ้นมาอย่างยาวนาน แน่นอนว่าเขาเป็นคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องการใช้กราฟซื้อขายหุ้นอย่างชนิดหาตัวจับได้ยาก แต่ที่แน่นอนก็คือเราจะไม่เห็นเขาถือหุ้นจนเลยจุดตัดขาดทุน (Cut Loss) ของตนเองและบอกว่า "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน" หรืออีกตัวอย่างนึง เราทุกคนย่อมรู้จักดร.นิเวศน์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักลงทุนเบอร์ 1 ของเมืองไทย เราจะไม่มีทางเห็นแน่นอนอีกเช่นกันที่ว่าเมื่อตลาดหุ้นตกต่ำ จะทำให้ดร.นิเวศน์กินไม่ได้นอนไม่หลับจนถึงขั้นบอกว่า "ตอนนี้กราฟอยู่ในเทรนด์ขาลงจากการที่มีม๊อบมาปิดถนน ผมคงต้องขายหุ้นทิ้งก่อนที่จะเลยจุดตัดขาดทุน"
จากตัวอย่างง่ายๆ ทั้งสองอย่างนี้เราก็รู้ได้แล้วว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนและการเก็งกำไรจริงๆ นั้นจะไม่เอาหลักการหลายๆ อย่างมาผสมปนเปกันจนทำให้เกิดการไขว้เขวได้ พวกเขาจะศึกษาในสิ่งที่ตนเองชอบให้รู้ลึกและรู้จริง จนสามารถสร้างผลตอบแทนที่แสนมหัศจรรย์ได้ติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ถึงบางคนจะบอกเขาว่า "การเล่นหุ้นมันเสี่ยงนะ" หรือ "การลงทุนมันไม่ประสบความสำเร็จเหมือนต่างประเทศหรอก" ผมมั่นใจว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้นจะต้องคิดในใจว่า การที่เราเข้าใจในสิ่งๆ หนึ่งอย่างลึกซึ้งมันจะเสี่ยงได้อย่างไร แม้กระทั่งนักพนันก็ตาม หากเขามีการจำกัดความเสี่ยงที่ดีและเค้าคุมตัวเองอยู่ การพนันสำหรับเขานั้นมันจะเสี่ยงได้อย่างไร
เพราะสุดท้าย ทุกการลงทุนมันไม่มีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงนั้นมันอยู่ที่ตัวเราเองทั้งสิ้น (: