
เรื่องย่อ
เรื่องราวของสาวไฮสคูลสายศิลป์ อเดล ชีวิตของเธอแวดล้อมไปด้วยค่านิยม ความเชื่อแบบดั้งเดิมไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียน ครอบครัว และอาจารย์ที่มีวิธีการสอนแบบเก่าตามขนบ แต่เธอดูจะเป็นคนที่มีความสนใจในวัฒนธรรมสมัยใหม่ หากแต่เมหือนถูกฉุดรั้งไว้ด้วยสังคมของเธอเอง เธอจึงตกสภาพกลายเป็นคนครึ่งๆกลาง และไม่อาจเลือกดำเนินชีวิต่อไปได้อย่างถูกต้อง ชีวิตเธอลุ่มๆดอนๆ ตามหาสิ่งจะมาเติมเต็มความหายของชีวิตของเธอ ไม่ว่าจะเป็นแฟนผู้ชายที่เคยคบระยะหนึ่ง เพื่อนนักเรียนหญิงร่วมห้องด้วยกันที่เธอเคยจูบกัน หรือ เอ็มม่า นักเรียนวิทยาลัยศิลปะ ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่ทำให้ช่วงชีวิตที่เธอเปลี่ยนถ่ายระหว่างวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่เปลี่ยนแปลงไป และเป็นช่วงวัยที่เธอมีโอกาสเลือกทางเดินของเธอ ซึ่งเธอเลือกได้ถูกต้องหรือไป เราก็คงติดตามได้ในภาพยนตร์ หากแต่โดยตามมุมมองของผู้เขียน หนังเรื่องนี้ไมไ่ด้เป็นการพูดแต่ประเด็นเรื่องเพศที่สามเท่านั้น แต่ยังมีความหมายลงลึกไปถึงทัศนคติของวัยรุ่นในสังคมฝรั่งเศสที่มีต่อสังคมบ้านเมืองของเขา และผลกระทบจากคติความเชื่อแบบดั้งเดิม

สัญญะหรือโมทิฟที่ปรากฎ
แนวคิดแบบดั้งเดิมถูกถ่ายทอดผ่านโมทิฟต่างๆเช่น ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวแบบชาย-หญิง ความนิยมรูปธรรม รังเกียจในความงดงามของศิลปะ การยอมจำนนในความไม่เท่าเทียม หรือการทำอะไรตามขนบความเชื่อแบบเดิม การเรียนการสอนที่มีแต่ในห้องเรียน
แนวคิดสมัยใหม่ถูกถ่ายทอดผ่านโมทิฟต่างๆ เช่น ความสัมพันธ์ในแบบเพศที่สาม การประท้วงเพื่อความยุติธรรมในสังคม (ปรากฎสองครั้งในหนัง ครั้งแรกเป็นการประท้วงเพื่อการศึกษา ครั้งที่สองเป็นการประท้วงของเพศที่สาม) การสนใจในทัศนศิลป์ ดนตรี หรืองานเขียนต่างๆ การเรียนรู้นอกห้องเรียน ปิกัซโซ่ก็ถือว่าเป็นตัวแทนของหัวคิดสมัยใหม่

อเดล Adèle (Adele, or Adelle) ซึ่งในคลับเลสเบียนที่ตัวละครหลักได้บังเอิญผ่านไปและมีบทสนทนาระหว่างเธอกับเอ็มม่า ถึงควาหมายของชื่อเธอ ซึ่งผู้กำกับได้เลือกชื่ออเดลเป็นชื่อตัวละครหลักได้อย่างดี เพราะตามความหมายแล้ว จะแปลว่า อ่อนโยน นุ่มนวล หรือสูงศักดิ์ แต่ถ้าหากชื่อนี้ในภาษาอาราบิก และเป็ชื่อของผู้ชายจะมีความหมายว่า ความเท่าเทียม หรือความยุติธรรม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าหนังเรื่องนี้เน้นการพูดถึงประเด็นเรื่องการค้นหาตัวตนทางเพศของเธอและในขณะเดียวกันก็เป็นการพูดถึงความไม่เท่าเทียมกันของชนชั้นทางสังคมในฝรั่งเศส
เอ็มม่า มาจากภาษาเยอรมันซึ่งแปลว่า ทั้งหมดทั้งมวล นั่นจึงเป็นการแสดงถึงอตลักษณ์ของเธอที่ว่า กร้านโลก ช่ำชอง และเข้าใจในสังคมดี ผิดกับอเดลที่ยังเป็นวัยรุ่นและยังไม่รู้จักโลกดีพอ

สีฟ้าที่ปรากฎในทุกช่วงวัยของอเดล ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ สีของห้องเรียน สีเล็บ เสื้อผ้า สีผม น้ำทะเล ไปจนถึงเสื้อผ้าในฉากสุดท้ายของหนัง มีความคล้ายคลึงกับศิลปะช่วงหนึ่งของปิกัซโซ่ที่ชื่อว่า Blue Period ซึ่งแสดงถึงความแร้นแค้นของสังคมในยุคสมัยนั้น (ซึ่งความจริงในหนังก็มีการอ้างถึงปิกัซโซ่ในตอนหนึ่ง) สำหรับในหนังนี้ จึงกล่าวได้ว่าผู้กำกับคงเป็นการทำเพื่อสดุดีต่อปิกัซโซ่ และในขณะเดียวกันก็เป็นการพูดถึงสภาพสังคมที่ไม่ต่างอะไรนักจากในสมัยนั้นนัก ในแง่ที่ว่าก็ยังคงมีความไม่เท่าเทียนกันในสังคมเกิดขึ้นอยู่
ดังที่ได้กล่าวไปหนังเรื่องนี้เป็นการพูดถึงความไม่เท่าเทียมกันของผู้คนในสังคม ดังที่เราเห็นในหนัง เช่น ภาพครอบครัวและสังคมที่โรงเรียนของอเดลที่ยังไม่ยอมรับและปิดกั้นเพศที่สาม การเรียนที่เน้นสอนในห้องเรียน (อเดลมักจะเบื่อกับบรรยากาศในห้องเรียนซึ่งไม่ได้ยึดที่ตัวผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และมักจะออกไปหาประสบการณ์ที่สดใหม่ที่ดึงดูดความสนใจเธอมากกว่าหลังจากเริ่มคบหากับเอ็มม่า เช่น บทเรียนเรื่องศีลธรรมของกายวิภาค ในห้องเรียนก็มีการพูดถึง น้ำและแรงโน้มถ่วง ซึ่งในวันนั้นเองเธอก็ได้ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กับเอ็มม่า และได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง) สังคมดั้งเดิมจะยึดติดกับสิ่งที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ ระบบทุนนิยม และไม่สนใจในงามศิลปะ ทั้งภาพวาด งานเขียน งามประพันธ์ หรือดนตรี และมองว่าผู้ที่ยึดเหล่านั้นท้ายที่สุดก็จะไม่มีรายได้ ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม ซึ่งความเป็นจริง มันเป็นผลมาจากการที่คนยังมีแนวคิดแบบเก่าอยู่ จึงทำให้คนที่สนใจในแนวคิดแบบใหม่ (นามธรรม ปรัชญา) ดำรงอยู่ไมได้ในสังคม

อาหารทะเล ในตอนที่อเดลคุยกับเอ็มม่าในสวนสาธารณะอเดลบอกว่าเธอไม่ชอบอาหารทะเล ซึ่งความจริงเธอยังไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง เพราะครอบครัว โรงเรียนเธอมีแต่อาหารแบบเดิมๆ ซ้ำซาก จำเจ แต่เมื่อเธอได้ลองรสชาต เธอกลับติดใจ นั่นจึงหมายถึงด้านหัวคิดใหม่ในตัวเธอยังคงมีอยู่ เพียงแต่เธอถูกความคิดแบบเก่ากักขังไว้
ดนตรี ในหนังนี้ดนตรีมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่
อเดลเคยคุยกับแฟนผู้ชายว่า เธอชอบดนตหลากหลายแนว ตั้งแต่คลาสสิคไปจนถึง Dubstep นั่นแสดงถึงความสับสนในจิตใจของเธอระหว่างแนวคิดแบบเก่า (คลาสสิค) กับ Dubstep (แบบใหม่) เราสังเกตว่าดนตรีในผับเกย์หรือเลสเบี่ยนจเป็นแนวสมัยใหม่ เป็นดนตรีสังเคราะห์ หากแต่ดนตรีในร้านที่อเดลแอบไปเป็นชู้กับเพื่อนร่วมงาน กลับมีลักษณะเก่าดั้งเดิม (ยังไม่รวมถึงการเต้นของอเดลที่เราเห็นชินตาในหนังเก่าๆ)

เครื่องดนตรี Hang ซึ่งมีชายข้างเล่นมันอยู่ระหว่างที่เธอเดินไปเรียนในตอนต้นๆของหนัง เสียงของเดครื่องดนตรีนี้ ปรากฎในตอนท้ายของหนังอีกครั้ง หมายถึงถึงว่าสุดท้ายแล้ว สังคมในปัจจุบันก็ยังคงมีคนมีแนวคิดแบบดั้งเดิมอยู่ และจะมีอยู่ต่อไป เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของอเดลและเอ็มม่าที่ไม่อาจปะติดปะต่อได้คืน แม้ว่าอเดลจะพยายามเท่าใด
ในตอนท้ายที่อเดลเลือกที่จะไปมีชู้กับผู้ชาย นั่นแสดงถึงแนวคิดสมัยใหม่ของเธอมีลดน้อยลงไป เธอไม่กล้าที่จะคบกับเอ็มม่าต่อไป เธอเลือกที่จะเดินในเส้นทางของขนบเก่า ถูกเน้นย้ำด้วยการที่เลือกประกอบอาชีพเป็นคุณครู ซึ่งความจริงเธอชอบวรรณกรรม เธอเลือกที่จะเขียนและเก็บไว้อ่านเอง ไม่ยอมเปิดเผยทัศนะคติของเธอให้เป็นสาธารณะ และเธอกลับเลือกที่จะสอนเด็กอนุบาล ซึ่งเธอเองก็มีลักษณะเหมือนกับคุณครูตอนที่เธออยู่ไฮสคูล แปลว่าเธอยอมที่จะมีความคิดแบบเก่า และทิ้งรสนิยมแบบสังคมสมัยใหม่ไป

งานนิทรรศการศิลปะของเอ็มม่าในหนังปรากฎสองครั้ง ซึ่งบรรยากาศต่างกันลิบลับ ครั้งแรก ในช่วงที่อเดลยังเชื่อในคติแบบใหม่ งานเลี้ยงดูชื่นมื่น สนุกสนาน ผู้คนพุดคุยเรื่องศิลปะ อเดลก็สนใจ เธอยังีมโอกาสได้คุยกับชายหนุ่มที่เป็นนักแสดงให้กับผู้กำกับที่อเมริกา (อเมริกาในหนังนี้เป็นสัญญะของเสรีภาพทางความคิด ความเท่าเทียมกัน ซึ่งก่อนหน้านี้อเดลก็บอกว่าตนเองชอบภาษาอังกฤษ บ่งบอกถึงตนเองมีหัวคิดทันสมัย) เขายังชักชวนให้อเดลไปท่องเที่ยวที่นั่น แต่เวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ทั้งคู่ไปคนละทิศละทาง เช่นเดียวกันกับแนวคิดของทั้งสอง เมื่ออเดลไปที่งานแสดงภาพของเอ็มม่า เรารู้สึกถึงว่าอเดลไม่ได้เหมาะกับที่นี่อีกแล้ว ราวกับการชอบงานเขียน งานศิลปะ กล่าวคือ แนวคิดสมัยใหม่ของเธอได้ตายจากไปแล้ว เธอจึงตัดสินใจลาจากไปบนเส้นทางที่เธอเลือกเดินอย่างโดดเดี่ยว

บทสรุป
เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของสังคม แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากแนวคิดแบบเดิม ครอบครัวที่ยึดติดว่าลูกต้องทำอาชีพที่มั่นคง จริงอยู่ที่ถ้าเด็กมีความชอบในแบบนั้น แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเด็กมีความสนใจในด้านของศิลปะซึ่งคนหัวคิดเก่ามองว่าจะต้องไส้แห้ง ไม่มั่นคง เด็กเหล่านี้กลับต้องมาทำอะไรที่มั่นคงแต่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวความสุขจากงานได้เลยเช่นกับอเดล ในขณะที่เอ็มม่าสังสรรค์กับเพื่อนๆ อย่างสนุกสนานแต่อเดลต้องเดินจากไปอย่างเดียวดาย เวลากว่าสามชั่วโมงที่ผ่านสายตาเราไป และด้วยการแสดงที่เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมจึงทำให้เป็นหนังที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ มีรีวิวอีกหลายเรื่อง:
https://www.facebook.com/survival.king
Tempy Movies Review วิจารณ์หนัง: Blue Is the Warmest Colour {Abdellatif Kechiche}, 2013
เรื่องย่อ
เรื่องราวของสาวไฮสคูลสายศิลป์ อเดล ชีวิตของเธอแวดล้อมไปด้วยค่านิยม ความเชื่อแบบดั้งเดิมไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียน ครอบครัว และอาจารย์ที่มีวิธีการสอนแบบเก่าตามขนบ แต่เธอดูจะเป็นคนที่มีความสนใจในวัฒนธรรมสมัยใหม่ หากแต่เมหือนถูกฉุดรั้งไว้ด้วยสังคมของเธอเอง เธอจึงตกสภาพกลายเป็นคนครึ่งๆกลาง และไม่อาจเลือกดำเนินชีวิต่อไปได้อย่างถูกต้อง ชีวิตเธอลุ่มๆดอนๆ ตามหาสิ่งจะมาเติมเต็มความหายของชีวิตของเธอ ไม่ว่าจะเป็นแฟนผู้ชายที่เคยคบระยะหนึ่ง เพื่อนนักเรียนหญิงร่วมห้องด้วยกันที่เธอเคยจูบกัน หรือ เอ็มม่า นักเรียนวิทยาลัยศิลปะ ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่ทำให้ช่วงชีวิตที่เธอเปลี่ยนถ่ายระหว่างวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่เปลี่ยนแปลงไป และเป็นช่วงวัยที่เธอมีโอกาสเลือกทางเดินของเธอ ซึ่งเธอเลือกได้ถูกต้องหรือไป เราก็คงติดตามได้ในภาพยนตร์ หากแต่โดยตามมุมมองของผู้เขียน หนังเรื่องนี้ไมไ่ด้เป็นการพูดแต่ประเด็นเรื่องเพศที่สามเท่านั้น แต่ยังมีความหมายลงลึกไปถึงทัศนคติของวัยรุ่นในสังคมฝรั่งเศสที่มีต่อสังคมบ้านเมืองของเขา และผลกระทบจากคติความเชื่อแบบดั้งเดิม
สัญญะหรือโมทิฟที่ปรากฎ
แนวคิดแบบดั้งเดิมถูกถ่ายทอดผ่านโมทิฟต่างๆเช่น ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวแบบชาย-หญิง ความนิยมรูปธรรม รังเกียจในความงดงามของศิลปะ การยอมจำนนในความไม่เท่าเทียม หรือการทำอะไรตามขนบความเชื่อแบบเดิม การเรียนการสอนที่มีแต่ในห้องเรียน
แนวคิดสมัยใหม่ถูกถ่ายทอดผ่านโมทิฟต่างๆ เช่น ความสัมพันธ์ในแบบเพศที่สาม การประท้วงเพื่อความยุติธรรมในสังคม (ปรากฎสองครั้งในหนัง ครั้งแรกเป็นการประท้วงเพื่อการศึกษา ครั้งที่สองเป็นการประท้วงของเพศที่สาม) การสนใจในทัศนศิลป์ ดนตรี หรืองานเขียนต่างๆ การเรียนรู้นอกห้องเรียน ปิกัซโซ่ก็ถือว่าเป็นตัวแทนของหัวคิดสมัยใหม่
อเดล Adèle (Adele, or Adelle) ซึ่งในคลับเลสเบียนที่ตัวละครหลักได้บังเอิญผ่านไปและมีบทสนทนาระหว่างเธอกับเอ็มม่า ถึงควาหมายของชื่อเธอ ซึ่งผู้กำกับได้เลือกชื่ออเดลเป็นชื่อตัวละครหลักได้อย่างดี เพราะตามความหมายแล้ว จะแปลว่า อ่อนโยน นุ่มนวล หรือสูงศักดิ์ แต่ถ้าหากชื่อนี้ในภาษาอาราบิก และเป็ชื่อของผู้ชายจะมีความหมายว่า ความเท่าเทียม หรือความยุติธรรม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าหนังเรื่องนี้เน้นการพูดถึงประเด็นเรื่องการค้นหาตัวตนทางเพศของเธอและในขณะเดียวกันก็เป็นการพูดถึงความไม่เท่าเทียมกันของชนชั้นทางสังคมในฝรั่งเศส
เอ็มม่า มาจากภาษาเยอรมันซึ่งแปลว่า ทั้งหมดทั้งมวล นั่นจึงเป็นการแสดงถึงอตลักษณ์ของเธอที่ว่า กร้านโลก ช่ำชอง และเข้าใจในสังคมดี ผิดกับอเดลที่ยังเป็นวัยรุ่นและยังไม่รู้จักโลกดีพอ
สีฟ้าที่ปรากฎในทุกช่วงวัยของอเดล ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ สีของห้องเรียน สีเล็บ เสื้อผ้า สีผม น้ำทะเล ไปจนถึงเสื้อผ้าในฉากสุดท้ายของหนัง มีความคล้ายคลึงกับศิลปะช่วงหนึ่งของปิกัซโซ่ที่ชื่อว่า Blue Period ซึ่งแสดงถึงความแร้นแค้นของสังคมในยุคสมัยนั้น (ซึ่งความจริงในหนังก็มีการอ้างถึงปิกัซโซ่ในตอนหนึ่ง) สำหรับในหนังนี้ จึงกล่าวได้ว่าผู้กำกับคงเป็นการทำเพื่อสดุดีต่อปิกัซโซ่ และในขณะเดียวกันก็เป็นการพูดถึงสภาพสังคมที่ไม่ต่างอะไรนักจากในสมัยนั้นนัก ในแง่ที่ว่าก็ยังคงมีความไม่เท่าเทียนกันในสังคมเกิดขึ้นอยู่
ดังที่ได้กล่าวไปหนังเรื่องนี้เป็นการพูดถึงความไม่เท่าเทียมกันของผู้คนในสังคม ดังที่เราเห็นในหนัง เช่น ภาพครอบครัวและสังคมที่โรงเรียนของอเดลที่ยังไม่ยอมรับและปิดกั้นเพศที่สาม การเรียนที่เน้นสอนในห้องเรียน (อเดลมักจะเบื่อกับบรรยากาศในห้องเรียนซึ่งไม่ได้ยึดที่ตัวผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และมักจะออกไปหาประสบการณ์ที่สดใหม่ที่ดึงดูดความสนใจเธอมากกว่าหลังจากเริ่มคบหากับเอ็มม่า เช่น บทเรียนเรื่องศีลธรรมของกายวิภาค ในห้องเรียนก็มีการพูดถึง น้ำและแรงโน้มถ่วง ซึ่งในวันนั้นเองเธอก็ได้ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กับเอ็มม่า และได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง) สังคมดั้งเดิมจะยึดติดกับสิ่งที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ ระบบทุนนิยม และไม่สนใจในงามศิลปะ ทั้งภาพวาด งานเขียน งามประพันธ์ หรือดนตรี และมองว่าผู้ที่ยึดเหล่านั้นท้ายที่สุดก็จะไม่มีรายได้ ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม ซึ่งความเป็นจริง มันเป็นผลมาจากการที่คนยังมีแนวคิดแบบเก่าอยู่ จึงทำให้คนที่สนใจในแนวคิดแบบใหม่ (นามธรรม ปรัชญา) ดำรงอยู่ไมได้ในสังคม
อาหารทะเล ในตอนที่อเดลคุยกับเอ็มม่าในสวนสาธารณะอเดลบอกว่าเธอไม่ชอบอาหารทะเล ซึ่งความจริงเธอยังไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง เพราะครอบครัว โรงเรียนเธอมีแต่อาหารแบบเดิมๆ ซ้ำซาก จำเจ แต่เมื่อเธอได้ลองรสชาต เธอกลับติดใจ นั่นจึงหมายถึงด้านหัวคิดใหม่ในตัวเธอยังคงมีอยู่ เพียงแต่เธอถูกความคิดแบบเก่ากักขังไว้
ดนตรี ในหนังนี้ดนตรีมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่
อเดลเคยคุยกับแฟนผู้ชายว่า เธอชอบดนตหลากหลายแนว ตั้งแต่คลาสสิคไปจนถึง Dubstep นั่นแสดงถึงความสับสนในจิตใจของเธอระหว่างแนวคิดแบบเก่า (คลาสสิค) กับ Dubstep (แบบใหม่) เราสังเกตว่าดนตรีในผับเกย์หรือเลสเบี่ยนจเป็นแนวสมัยใหม่ เป็นดนตรีสังเคราะห์ หากแต่ดนตรีในร้านที่อเดลแอบไปเป็นชู้กับเพื่อนร่วมงาน กลับมีลักษณะเก่าดั้งเดิม (ยังไม่รวมถึงการเต้นของอเดลที่เราเห็นชินตาในหนังเก่าๆ)
เครื่องดนตรี Hang ซึ่งมีชายข้างเล่นมันอยู่ระหว่างที่เธอเดินไปเรียนในตอนต้นๆของหนัง เสียงของเดครื่องดนตรีนี้ ปรากฎในตอนท้ายของหนังอีกครั้ง หมายถึงถึงว่าสุดท้ายแล้ว สังคมในปัจจุบันก็ยังคงมีคนมีแนวคิดแบบดั้งเดิมอยู่ และจะมีอยู่ต่อไป เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของอเดลและเอ็มม่าที่ไม่อาจปะติดปะต่อได้คืน แม้ว่าอเดลจะพยายามเท่าใด
ในตอนท้ายที่อเดลเลือกที่จะไปมีชู้กับผู้ชาย นั่นแสดงถึงแนวคิดสมัยใหม่ของเธอมีลดน้อยลงไป เธอไม่กล้าที่จะคบกับเอ็มม่าต่อไป เธอเลือกที่จะเดินในเส้นทางของขนบเก่า ถูกเน้นย้ำด้วยการที่เลือกประกอบอาชีพเป็นคุณครู ซึ่งความจริงเธอชอบวรรณกรรม เธอเลือกที่จะเขียนและเก็บไว้อ่านเอง ไม่ยอมเปิดเผยทัศนะคติของเธอให้เป็นสาธารณะ และเธอกลับเลือกที่จะสอนเด็กอนุบาล ซึ่งเธอเองก็มีลักษณะเหมือนกับคุณครูตอนที่เธออยู่ไฮสคูล แปลว่าเธอยอมที่จะมีความคิดแบบเก่า และทิ้งรสนิยมแบบสังคมสมัยใหม่ไป
งานนิทรรศการศิลปะของเอ็มม่าในหนังปรากฎสองครั้ง ซึ่งบรรยากาศต่างกันลิบลับ ครั้งแรก ในช่วงที่อเดลยังเชื่อในคติแบบใหม่ งานเลี้ยงดูชื่นมื่น สนุกสนาน ผู้คนพุดคุยเรื่องศิลปะ อเดลก็สนใจ เธอยังีมโอกาสได้คุยกับชายหนุ่มที่เป็นนักแสดงให้กับผู้กำกับที่อเมริกา (อเมริกาในหนังนี้เป็นสัญญะของเสรีภาพทางความคิด ความเท่าเทียมกัน ซึ่งก่อนหน้านี้อเดลก็บอกว่าตนเองชอบภาษาอังกฤษ บ่งบอกถึงตนเองมีหัวคิดทันสมัย) เขายังชักชวนให้อเดลไปท่องเที่ยวที่นั่น แต่เวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ทั้งคู่ไปคนละทิศละทาง เช่นเดียวกันกับแนวคิดของทั้งสอง เมื่ออเดลไปที่งานแสดงภาพของเอ็มม่า เรารู้สึกถึงว่าอเดลไม่ได้เหมาะกับที่นี่อีกแล้ว ราวกับการชอบงานเขียน งานศิลปะ กล่าวคือ แนวคิดสมัยใหม่ของเธอได้ตายจากไปแล้ว เธอจึงตัดสินใจลาจากไปบนเส้นทางที่เธอเลือกเดินอย่างโดดเดี่ยว
บทสรุป
เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของสังคม แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากแนวคิดแบบเดิม ครอบครัวที่ยึดติดว่าลูกต้องทำอาชีพที่มั่นคง จริงอยู่ที่ถ้าเด็กมีความชอบในแบบนั้น แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเด็กมีความสนใจในด้านของศิลปะซึ่งคนหัวคิดเก่ามองว่าจะต้องไส้แห้ง ไม่มั่นคง เด็กเหล่านี้กลับต้องมาทำอะไรที่มั่นคงแต่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวความสุขจากงานได้เลยเช่นกับอเดล ในขณะที่เอ็มม่าสังสรรค์กับเพื่อนๆ อย่างสนุกสนานแต่อเดลต้องเดินจากไปอย่างเดียวดาย เวลากว่าสามชั่วโมงที่ผ่านสายตาเราไป และด้วยการแสดงที่เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมจึงทำให้เป็นหนังที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ มีรีวิวอีกหลายเรื่อง:https://www.facebook.com/survival.king