บทนำ
แสงจันทร์ในคืนเดือนแรม ส่องแสงรำไรลงมาที่ซอยมืดมิดอย่างไม่ถนัดซักเท่าไหร่นักเพราะติดม่านสายฝนที่มีมาอย่างไม่ขาดสาย ในซอยที่กว้างเพียงรถมอเตอร์ไซต์สวนทางกันได้ครั้งละสองคัน กระจัดกระจายมากมายในเมืองหลวงแห่งความเจริญ ย่านชุมชนแออัดที่ใครๆ ต่างเรียกว่าสลัม เสียงดังเอะอะจากแคมป์คนงานก่อสร้าง มักจะดังเป็นเพื่อนเธอทุกครั้งในเวลาที่ต้องเดินกลับบ้านคนเดียวในเวลากลางคืน แต่สำหรับคืนนี้ เสียงนั้นกลับเงียบหายไป เหลือแต่เพียงเสียงฝนที่กระำหน่ำลงมา และเสียงเห่าหอนของหมาจรจัดที่ยึดพื้นที่อยู่ในซอยลึก ถึงแม้จะล่วงเข้าหน้าหนาวแล้ว แต่เม็ดฝนในกรุงเทพ กลับไม่ยอมเปลี่ยนฤดูตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
ทางโค้งข้างหน้า มีเสาไฟส่ิองทางที่กระพริบเสียอยู่ตั้งแต่วันแรก วันที่เธอมาเช่าบ้านอยู่กับพี่ชายของเธอเพียงสองคน วันแรกของการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยชื่อดังวันเริ่มต้นของความฝันอันสดใส
สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านคนและพื้นที่รกร้าง ในเวลาตีหนึ่งเศษๆ อย่างนี้ ทางเดินช่างเงียบสงัด ทุกๆ ชีวิตในซอย ต่างปิดประตูเข้านอนกันเงียบกริบ เพื่อที่จะมีแรงไปใช้ชีวิตในวันใหม่และกลับมานอนพักเพื่อเตรียมพร้อมในวันต่อๆ ไป เช่นทุกวัน
อีกเพียงไม่ถึงร้อยเมตร ก็จะถึงบ้าน ที่มีกับข้าวถุง ที่พี่เธอซื้อไว้ให้ตั้งแต่ตอนเย็น
ปีสุดท้ายของการเรียนปริญญาตรีกำลังจะผ่านพ้นไป อีกไม่นาน ความลำบากของเธอ และพี่ชายก็จะหมดไป เพราะเธอถูกจองตัวให้ไปทำงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ทุกวันนี้พี่ชายเธอต้องรับงานถึงสองกะทุกวัน เพื่อให้เพียงพอต่อค่าครองชีพของทั้งสองชีวิต และยังเหลือพอส่งเงินให้พ่อกับแม่และน้องๆ ที่ต่างจังหวัด ถ้าเธอเริ่มงานเมื่อไหร่ ก็คงจะสามารถช่วยบรรเทาความเหนื่อยของพี่เธอได้บ้าง
ด้วยความบางของชุดนักศึกษา ประกอบกับฝนที่พรำแบบหลงฤดูในหน้าหนาว ความหนาวเสียดแทงเข้าไปถึงแก่นกระดูก สาวน้อยในชุดนักศึกษาที่เกือบเปลือยเพราะโดนฝนกระหน่ำ เดินกึ่งวิ่งเพื่อให้ถึงบ้านให้เร็วที่สุด เพื่อพักผ่อนและเตรียมพร้อมกับเช้าของวันต่อไปเช่นทุกๆ คนในซอย แต่ตอนนั้นเธอไม่รู้ตัวเลยว่า เช้าวันใหม่อันสดใส หรือแม้แต่ชีวิตที่เธอฝันไว้ กำลังจะจางหายไป และจะไม่มีวันมาถึงอีกเลย
…. เสียงกรีดร้องของหญิงสาว ดังขึ้นท่ามกลางฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่นาน เสียงดรีดร้องนั้นก็จางหายไปกับเสียงฝน และเสียงหมาจรจัด ที่เห่าหอนเหมือนคืนปกติในกรุงเทพ เมืองแห่งความศิวิไลที่ใครๆ ใฝ่ฝัน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Chapter 1
“รัตเอ้ย นี่มันกี่โมงแล้ว วันนี้มีสอบไม่ใช่หรอ” เสียงหลวงตาตะโกนลั่นมาจากตีนบันได
“ครับ ครับ ลงไปเดี๋ยวนี้แล้ว” รัต ตะโกนลั่นมาจากประตูห้องที่ปิดอยู่
ปัง! เสียงประตูที่ถูกกระแทกให้เปิดออก ดังสนั่นกุฏิวัดเรือนเล็ก พร้อมร่างของรัตที่วิ่งลงบันไดมากราบหลวงตา ก่อนที่จะวิ่งหน้าตั้งออกจากวัดไป
“ไอ้เด็กคนนี้ สอบกลางภาคครั้งแรกในชีวิตมหาวิทยาลัยแท้ๆ ยังเอื่อยเฉื่อยอยู่อีก” หลวงตาโคลงหัวพลางมองตาม ศิษย์วัดคนโปรดไปจนลับตา
รัต เป็นนักศึกษาปีหนึ่งของ มหาวิทยลัยชื่อดังในกรุงเทพ เด็กหนุ่มอาศัยอยู่วัดนี้กับหลวงตา ตั้งแต่อายุได้เพียง 6 เดือน
เด็กกำพร้ามากมาย ถูกนำมาทิ้งเพียงเพราะ พ่อแม่ไม่มีความรับผิดชอบพอที่จะ เลี้ยงดูชีวิตที่ตัวเองให้กำเนิดขึ้นมา จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ต้องเข้ามาให้ความดูแล รัตถูกทิ้งไว้ที่วัด และก็เป็นหลวงตาที่ยืนยันกับทางตำรวจ และเจ้าหน้าที่เขต ว่าท่านมีความประสงค์ที่จะอุปถัมภ์ด็กคนนี้ไว้เอง
ผิวดำแดงแบบชายไทยแท้ สูงใหญ่รูปร่างนักกีฬา เกิดจากการทำงานในวัดอย่างไม่เคยเกียจคร้าน รัตเป็นเด็กที่ฉลาด ไม่เคยทำให้หลวงตาต้องลำบากใจในเรื่องการเีรียน และเรื่องการใช้ชีวิต ถึงจะดูไม่เอาไหน และไม่ใส่ใจ แต่ก็สามารถผ่านมาได้ด้วยดีในทุกเรื่อง โดยตลอด
“รัต ทำได้มั้ยวะ” แม็กซ์ หรือ ไอ้แม็กซ์ ถามรัตที่นั่งรออยู่ด้านนอกห้องสอบ
“ทำอะไรอยู่วะ ไม่ออกมาซักที ทำไม่ได้ ก็รีบๆ ออกมาอย่างกูนี่” รัต ถามกลับไป
“กูก็รอไอ้บอยดิวะ

ไม่ส่งโพยมาให้ซักที” แม็กซ์ตอบพลางหันไปมองบอย เด็กตี๋ใส่แว่นที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เราก็ทำไม่ได้เหมือนกัน แล้วเราจะส่งให้นายได้ยังไงล่ะ” บอย เด็กที่ผลการเรียนดีทีสุดในกลุ่มตอบมา
ทั้งสามคนเป็นเด็กปีหนึ่งมหาวิทยาลัยเดียวกับ รัต อยู่คณะเดียวกัน
ช่วงปีหนึ่งของ คณะวิศวกรรมศาสตร์ เป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุด จากคำบอกกล่าวของรุ่นพี่ นักศึกษากว่าครึ่งต้องออกจากมหาวิทยลัยไป ในช่วงปีนี้
บอยเป็นลูกครึ่งจีนที่มีพี่น้อง 6คน เขาเป็นลูกคนสุดท้อง บรรดาพี่ๆ ทุกคนของบอยเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ทุกคน ไม่หมอก็เป็นวิศวะ บอยจึงเป็นคนที่ 6 ของบ้านนี้ ที่เข้ามาเรียนที่นี่
บอยผิวขาวซีดและตัวเล็ก ผอมเหมือนเด็กขี้โรค แว่นตากรอบหนาที่วางอยู่บนจมูก เป็นเครื่องหมายแสดงความตั้งใจเรียนได้เป็นอย่างดี
เด็กหนุ่มอีกคนเป็นลูกคนเดียวของร้านอาหารใหญ่ ริมถนนย่านแหล่งท่องเที่ยว
แม็กซ์มีลักษณะของหนุ่มเจ้าสำราญครบถ้วน หุ่นล่ำผิวขาวแบบสุขภาพดี หน้าตาหล่อเหลาจนสาวๆ ต้องเหลียวหลังทุกครั้งที่เดินผ่าน นาฬิกาเรือนหรูคาดอยู่บนข้อมือ ในมือกำโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุด และควงกุญแจรถ bmw พลางเดินคุยอย่างออกรสกับเพื่อนของเขา
“คืนนี้ไปบ้านกูมั้ย บอย” แม็กซ์ถามเพื่อนแว่น
“นายถามเราทุกวันเลย แล้วเราเคยไปมั้ย” บอยตอบ
“ก็จริง ฮ่า ฮ่า” เขาสัพยอก
“ไปๆ รัต ไปสวีตกันสองคนเหมือนเคย”
ทั้งสองขึ้นรถคันงาม โดยมีสาวๆ มองเหลียวหลังตามไป
“ขอบใจมากเพื่อน” รัตปิดประตูรถหลังจากขอบคุณเพื่อนเหมือนเช่นทุกๆ วัน
“กูกลับบ้านก่อนนะ” แม็กซ์ ตะโกนบอกเพื่อนหลังจากมาถึงหน้าร้านของพ่อแม็กซ์ และเหยียบคันเร่งให้รถคันงามเคลื่อนตัวไปข้างหน้า
แม็กซ์ พักอยู่ในคอนโดใกล้ๆ กับร้านอาหารมังกรทอง หรือจะเรียกให้ถูกมันคือ ภัทตาคารของผู้มีอันจะกิน อาหารจานที่ถูกที่สุด รัตต้องใช้เงินทั้งอาทิตย์ถึงจะพอจ่าย ลูกชายคนเดียวของร้านอาหารที่เปิดมาตั้งแต่เขายังไม่เกิด ไม่มีอะไรที่แม็กซ์อยากได้ แล้วไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ทำตัวเหลวไหลให้พ่อแม่ต้องเป็นห่วงมากนัก ส่วนหนึ่งคงต้องยกความดีให้กับ เพื่อนๆ ของเขาด้วยเช่นกัน
รัตมาที่นี่เกือบทุกวัน ตั้งแต่เริ่มเข้าปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย เพราะเขาทำงานพิเศษอยู่ที่นี่ แม่ของแม็กซ์รัก และเอ็นดูรัต เหมือนน้องชายของลูกชายตัวเอง ตอนแรกที่รู้ว่า รัตขอมาทำงาน ก็ปฏิเสธ เพราะเกรงว่าจะเหนื่อยเกินไป สำหรับเด็กในวัยนี้ แต่เจ้าตัวยืนยันว่าเขาอยากที่จะหาิเงินมาใช้จ่ายในเรื่องส่วนตัว และเพื่อลดภาระของหลวงตา
จริงๆ เงินที่หลวงตาให้ในแต่ละวัน ก็เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน และการเรียน แต่รัตคิดว่า ในชีวิตมหาวิทยาลัย คงมีเรื่องให้ต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้น แต่จะให้ไปขอหลวงตา ก็คงไม่ดีนัก
รัตเดินเข้าไปในร้านทางด้านข้างร้าน ทางเข้าของพนักงาน
“วันสอบไม่ต้องมาก็ได้นี่ รัต” แม่ของแม็กซ์ที่มักจะมาดูแลในส่วนของฝ่ายการเงินในช่วงเย็นๆ ก่อนเริ่มงาน ทุกๆวัน ทักทายกับเพื่อนของลูกชาย
“สวัสดีครับน้าวิ” รัตพนมมือไหว้ แม่ของเพื่อนสนิท
“ดีจ๊ะ ลูก” วิภา คุณแม่ยังสวย รับไหว้หลวมๆ
วิภา แสวงทรัพย์ หรือน้าวิ ของรัต เป็นสาวสวยที่เคยเป็นถึงนางแบบมาก่อน แต่มาเจอกับพ่อของแม็กซ์ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น และมีแม็กซ์ตั้งแต่ยังสาว จึงต้องออกจากวงการมาดูแลกิจการของครอบครัวสามี รัตเองไม่เคยถามถึงอายุของแม่เพื่อน แต่คาดว่าน่าจะไม่เกิน 40 สูทสีเข้มขับผิวผ่องของวิภาให้โดดเด่น กางเกงสีเดียวกับตัวสูท ทำให้เธอแลดูเหมือนนักธุรกิจ และเธอก็ทำหน้าที่นี้ได้ดีจริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับน้าวิ ถึงผมจะหยุดไปอ่านหนังสือ ผมก็สอบตกอยู่ดี” รัตตอบยิ้มๆ
“น้าไม่เชื่อหรอก เธอน่ะ ยังไงก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว” วิภาคุยกับรัตอย่างสนิทสนม เพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ “ห่วงก็แต่ ลูกชายตัวดีของน้านี่ล่ะ คงต้องพึ่งเธอหน่อยนะรัต”
“ครับน้าวิ ผมว่าสอบปลายภาคก็ จะไปให้บอยเค้าติวให้เหมือนกัน อ่านเองไม่เข้าใจซักนิด” รัตตอบพลางเก็บของส่วนตัว ในตู้ที่เตรียมไว้ให้พนักงาน “ว่าจะชวนแม็กซ์ไปด้วยเหมือนกัน”
“ดีแล้วลูก น้าเชื่อใจรัตกับบอยนะ เอาลูกน้าให้รอดล่ะ” วิภาที่กำลังตรวจบัญชีอยู่ หยุดมือแล้วเงยหน้าขึ้นมาคุยกับ รัต “อืมใช่ หลังจากสอบมิดเทอมเสร็จแล้ว น้าว่าจะพาแม็กซ์ไปทะเล ไปด้วยกันมั้ย”
“เดี๋ยวคงต้องขอหลวงตาก่อนครับ แต่คงไม่มีปัญหาอะไร” รัตตอบและขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวทำงาน
วิภามักจะพาลูกชายและเพื่อนๆ ไปเที่ยวด้วยกันเสมอ ตัวแม็กซ์เอง ไม่มีเพื่อนสนิทคนอื่น นอกจากสองคนนี้ เพราะเป็นคนใจร้อน และหงุดหงิดง่าย คบกับใครไม่ค่อยได้ ใครที่จะเข้ามาคบหากับแม็กซ์ มักจะเข้ามาเพราะเรื่องเงินทอง ทำให้เขาไม่ไว้ใจใครซักเท่าไหร่นัก แต่กับสองคนนี้ แม็กซ์กลับอ่อนลง และร่าเริงตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน
หลวงตากับ แม่ของแม็กซ์เจอกันบ่อยและ มักจะสนทนาธรรมกันเสมอ วิภามักจะไปทำบุญที่วัดที่พลวงพ่อจำวัดอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่รัตยังเป็นเด็กๆ และเพราะเหตุนั้น ทำให้ รัตและแม็กซ์รู้จักกัน
หน้าที่ของรัตที่ร้านนี้คือ การดูแลบาร์น้ำ คอยช่วยเหลือ พี่เสน่ห์ ที่เป็น บาร์เทนเดอร์ เสน่ห์เป็นผู้ชายหน้าตาดีและมีหุ่นผอมเพรียว สูงยาว ทำให้มีลูกค้าสาวแก่แม่ม้ายหลายคน ที่มักจะมานั่งที่โซนของบาร์น้ำเป็นประจำ เพียงเพื่อให้ได้คุยกับ เสน่ห์
“พี่เหน่ สวัสดีครับ” รัตทักทาย
“เออ มาแล้วรึ” เสน่ห์ ตอบโดยไม่ได้หันมามอง ขณะกำลังวุ่นอยู่กับ การเตรียมส่วนผสมค๊อกเทลที่หน้าบาร์
“วานยกโซดามาให้ซักลัง”
“เอ่อ... ได้ครับ” รัตตอบอย่างอิดออด ก่อนเดินไปที่หลังร้าน
หน้าห้องเก็บของจะมี นายอำนวย ซึ่งมีหน้าที่ในการคุมสต๊อคสินค้าทั้งหมดยืนคุมอยู่หน้าห้อง นายอำนวยเป็นนักเลงเก่า หน้าตาเหมือนเขม่นมองอะไรอยู่ตลอดเวลา ที่แขนขวามีแผลเป็นยาวจากข้อมือไปถึงศอก หากใครถามถึงแผลนี้ แกมักจะเล่าอย่างสนุกปากว่า ได้มาจากมีดดาบของคู่อริสมัยแกเป็นวัยรุ่น
รัตไม่เคยชอบที่จะต้องมาเอาของในห้องนี้ เพราะพอถึงหน้าห้อง และต้องคุยกับลุงอำนวยจะเจอกับสายตาของผู้หญิงที่ยืนอยู่หลังลุงอำนวย และเศษเนื้อ หรือถ้ามองให้ดีๆ จะเห็นเป็นตัวอ่อนของเด็กตัวเล็กๆ แดงๆ คลานเด๊าะแด๊ะอยู่ที่พื้น และร้องไห้ราวกับใจจะขาดตลอดเวลา สายสะดือของเด็กยังลากไปลากมามีแต่รอยเลือดรอบเท้าของนักเลงเก่าคนนี้ ไม่ว่ารัตจะทำอะไรที่เกี่ยวกับ ลุงอำนวย ผู้หญิงคนที่ยืนข้างหลังชิดต้นคอของลุงอำนวย จะจ้องมาที่เขาเสมอ เหมือนกับจะรู้ว่า รัตสามารถมองเห็นเธอได้
บางครั้ง ผู้หญิงคนนี้ ก็จะโอบกอดลุงอำนวยด้วยความรัก มือของเธอลูบไล้ไปทั่วร่างกายและใบหน้าของชายแก่ แต่บางครั้ง ก็จะทำท่าเหมือนอยากบีบคอให้ตายตกไปตามๆ กัน สายตาที่เธอมองลุงอำนวยเหมือนกับแค้นผู้ชายคนนี้มาก แต่ก็รักมากในเวลาเดียวกัน บางครั้งร่างของเธอก็จางหายไป แต่บางครั้งกลับเด่นชัดขึ้นมาในสายตา เหมือนกับมายืนอยู่ตรงหน้าดั่ง คน ที่มีเลือดเนื้อจริงๆ ด้วยเสื้อคลุมที่เหมือนกับชุดคลุมท้อง และสีของเลือดที่เปรอะเปื้อน ท่อนล่างของเธอ ประกอบกับเด็กน้อยที่ดูจากองค์ประกอบของร่างกายแล้ว ไม่น่าจะครบกำหนดคลอด ทำให้รัตเดาได้ไม่ยากนักว่า ทำไมทั้งสามชีวิตนี้ถึงผูกอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
ผี.. บางครั้งก็จะปรากฏในลักษณะอย่างนี้ ไม่สนใจโลกรอบข้าง จะสถิตอยู่กับสิ่งที่ตนยังติดใจก่อนตายเท่านั้น ไม่รู้วัน... ไม่รู้เวลา
ตลอดเดือนเศษๆ ที่รัตมาทำงานที่นี่ เขาต้องมาที่ห้องเก็บของนี่ประมาณสัปดาห์ละครั้ง ทุกๆ ครั้งเขาไม่เคยที่จะกล้าจ้องตาลุงอำนวยให้เต็มตาในขณะที่คุยด้วย ในครั้งแรกที่มาเจอนั้น เขาผงะถอยหลังและแทบจะล้มลงไปกับพื้น
รัตนเนตร ตอนที่1 - ลองแต่งดูครับ ขอความเห็นด้วยนะครับ
แสงจันทร์ในคืนเดือนแรม ส่องแสงรำไรลงมาที่ซอยมืดมิดอย่างไม่ถนัดซักเท่าไหร่นักเพราะติดม่านสายฝนที่มีมาอย่างไม่ขาดสาย ในซอยที่กว้างเพียงรถมอเตอร์ไซต์สวนทางกันได้ครั้งละสองคัน กระจัดกระจายมากมายในเมืองหลวงแห่งความเจริญ ย่านชุมชนแออัดที่ใครๆ ต่างเรียกว่าสลัม เสียงดังเอะอะจากแคมป์คนงานก่อสร้าง มักจะดังเป็นเพื่อนเธอทุกครั้งในเวลาที่ต้องเดินกลับบ้านคนเดียวในเวลากลางคืน แต่สำหรับคืนนี้ เสียงนั้นกลับเงียบหายไป เหลือแต่เพียงเสียงฝนที่กระำหน่ำลงมา และเสียงเห่าหอนของหมาจรจัดที่ยึดพื้นที่อยู่ในซอยลึก ถึงแม้จะล่วงเข้าหน้าหนาวแล้ว แต่เม็ดฝนในกรุงเทพ กลับไม่ยอมเปลี่ยนฤดูตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
ทางโค้งข้างหน้า มีเสาไฟส่ิองทางที่กระพริบเสียอยู่ตั้งแต่วันแรก วันที่เธอมาเช่าบ้านอยู่กับพี่ชายของเธอเพียงสองคน วันแรกของการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยชื่อดังวันเริ่มต้นของความฝันอันสดใส
สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านคนและพื้นที่รกร้าง ในเวลาตีหนึ่งเศษๆ อย่างนี้ ทางเดินช่างเงียบสงัด ทุกๆ ชีวิตในซอย ต่างปิดประตูเข้านอนกันเงียบกริบ เพื่อที่จะมีแรงไปใช้ชีวิตในวันใหม่และกลับมานอนพักเพื่อเตรียมพร้อมในวันต่อๆ ไป เช่นทุกวัน
อีกเพียงไม่ถึงร้อยเมตร ก็จะถึงบ้าน ที่มีกับข้าวถุง ที่พี่เธอซื้อไว้ให้ตั้งแต่ตอนเย็น
ปีสุดท้ายของการเรียนปริญญาตรีกำลังจะผ่านพ้นไป อีกไม่นาน ความลำบากของเธอ และพี่ชายก็จะหมดไป เพราะเธอถูกจองตัวให้ไปทำงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ทุกวันนี้พี่ชายเธอต้องรับงานถึงสองกะทุกวัน เพื่อให้เพียงพอต่อค่าครองชีพของทั้งสองชีวิต และยังเหลือพอส่งเงินให้พ่อกับแม่และน้องๆ ที่ต่างจังหวัด ถ้าเธอเริ่มงานเมื่อไหร่ ก็คงจะสามารถช่วยบรรเทาความเหนื่อยของพี่เธอได้บ้าง
ด้วยความบางของชุดนักศึกษา ประกอบกับฝนที่พรำแบบหลงฤดูในหน้าหนาว ความหนาวเสียดแทงเข้าไปถึงแก่นกระดูก สาวน้อยในชุดนักศึกษาที่เกือบเปลือยเพราะโดนฝนกระหน่ำ เดินกึ่งวิ่งเพื่อให้ถึงบ้านให้เร็วที่สุด เพื่อพักผ่อนและเตรียมพร้อมกับเช้าของวันต่อไปเช่นทุกๆ คนในซอย แต่ตอนนั้นเธอไม่รู้ตัวเลยว่า เช้าวันใหม่อันสดใส หรือแม้แต่ชีวิตที่เธอฝันไว้ กำลังจะจางหายไป และจะไม่มีวันมาถึงอีกเลย
…. เสียงกรีดร้องของหญิงสาว ดังขึ้นท่ามกลางฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่นาน เสียงดรีดร้องนั้นก็จางหายไปกับเสียงฝน และเสียงหมาจรจัด ที่เห่าหอนเหมือนคืนปกติในกรุงเทพ เมืองแห่งความศิวิไลที่ใครๆ ใฝ่ฝัน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Chapter 1
“รัตเอ้ย นี่มันกี่โมงแล้ว วันนี้มีสอบไม่ใช่หรอ” เสียงหลวงตาตะโกนลั่นมาจากตีนบันได
“ครับ ครับ ลงไปเดี๋ยวนี้แล้ว” รัต ตะโกนลั่นมาจากประตูห้องที่ปิดอยู่
ปัง! เสียงประตูที่ถูกกระแทกให้เปิดออก ดังสนั่นกุฏิวัดเรือนเล็ก พร้อมร่างของรัตที่วิ่งลงบันไดมากราบหลวงตา ก่อนที่จะวิ่งหน้าตั้งออกจากวัดไป
“ไอ้เด็กคนนี้ สอบกลางภาคครั้งแรกในชีวิตมหาวิทยาลัยแท้ๆ ยังเอื่อยเฉื่อยอยู่อีก” หลวงตาโคลงหัวพลางมองตาม ศิษย์วัดคนโปรดไปจนลับตา
รัต เป็นนักศึกษาปีหนึ่งของ มหาวิทยลัยชื่อดังในกรุงเทพ เด็กหนุ่มอาศัยอยู่วัดนี้กับหลวงตา ตั้งแต่อายุได้เพียง 6 เดือน
เด็กกำพร้ามากมาย ถูกนำมาทิ้งเพียงเพราะ พ่อแม่ไม่มีความรับผิดชอบพอที่จะ เลี้ยงดูชีวิตที่ตัวเองให้กำเนิดขึ้นมา จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ต้องเข้ามาให้ความดูแล รัตถูกทิ้งไว้ที่วัด และก็เป็นหลวงตาที่ยืนยันกับทางตำรวจ และเจ้าหน้าที่เขต ว่าท่านมีความประสงค์ที่จะอุปถัมภ์ด็กคนนี้ไว้เอง
ผิวดำแดงแบบชายไทยแท้ สูงใหญ่รูปร่างนักกีฬา เกิดจากการทำงานในวัดอย่างไม่เคยเกียจคร้าน รัตเป็นเด็กที่ฉลาด ไม่เคยทำให้หลวงตาต้องลำบากใจในเรื่องการเีรียน และเรื่องการใช้ชีวิต ถึงจะดูไม่เอาไหน และไม่ใส่ใจ แต่ก็สามารถผ่านมาได้ด้วยดีในทุกเรื่อง โดยตลอด
“รัต ทำได้มั้ยวะ” แม็กซ์ หรือ ไอ้แม็กซ์ ถามรัตที่นั่งรออยู่ด้านนอกห้องสอบ
“ทำอะไรอยู่วะ ไม่ออกมาซักที ทำไม่ได้ ก็รีบๆ ออกมาอย่างกูนี่” รัต ถามกลับไป
“กูก็รอไอ้บอยดิวะ
“เราก็ทำไม่ได้เหมือนกัน แล้วเราจะส่งให้นายได้ยังไงล่ะ” บอย เด็กที่ผลการเรียนดีทีสุดในกลุ่มตอบมา
ทั้งสามคนเป็นเด็กปีหนึ่งมหาวิทยาลัยเดียวกับ รัต อยู่คณะเดียวกัน
ช่วงปีหนึ่งของ คณะวิศวกรรมศาสตร์ เป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุด จากคำบอกกล่าวของรุ่นพี่ นักศึกษากว่าครึ่งต้องออกจากมหาวิทยลัยไป ในช่วงปีนี้
บอยเป็นลูกครึ่งจีนที่มีพี่น้อง 6คน เขาเป็นลูกคนสุดท้อง บรรดาพี่ๆ ทุกคนของบอยเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ทุกคน ไม่หมอก็เป็นวิศวะ บอยจึงเป็นคนที่ 6 ของบ้านนี้ ที่เข้ามาเรียนที่นี่
บอยผิวขาวซีดและตัวเล็ก ผอมเหมือนเด็กขี้โรค แว่นตากรอบหนาที่วางอยู่บนจมูก เป็นเครื่องหมายแสดงความตั้งใจเรียนได้เป็นอย่างดี
เด็กหนุ่มอีกคนเป็นลูกคนเดียวของร้านอาหารใหญ่ ริมถนนย่านแหล่งท่องเที่ยว
แม็กซ์มีลักษณะของหนุ่มเจ้าสำราญครบถ้วน หุ่นล่ำผิวขาวแบบสุขภาพดี หน้าตาหล่อเหลาจนสาวๆ ต้องเหลียวหลังทุกครั้งที่เดินผ่าน นาฬิกาเรือนหรูคาดอยู่บนข้อมือ ในมือกำโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุด และควงกุญแจรถ bmw พลางเดินคุยอย่างออกรสกับเพื่อนของเขา
“คืนนี้ไปบ้านกูมั้ย บอย” แม็กซ์ถามเพื่อนแว่น
“นายถามเราทุกวันเลย แล้วเราเคยไปมั้ย” บอยตอบ
“ก็จริง ฮ่า ฮ่า” เขาสัพยอก
“ไปๆ รัต ไปสวีตกันสองคนเหมือนเคย”
ทั้งสองขึ้นรถคันงาม โดยมีสาวๆ มองเหลียวหลังตามไป
“ขอบใจมากเพื่อน” รัตปิดประตูรถหลังจากขอบคุณเพื่อนเหมือนเช่นทุกๆ วัน
“กูกลับบ้านก่อนนะ” แม็กซ์ ตะโกนบอกเพื่อนหลังจากมาถึงหน้าร้านของพ่อแม็กซ์ และเหยียบคันเร่งให้รถคันงามเคลื่อนตัวไปข้างหน้า
แม็กซ์ พักอยู่ในคอนโดใกล้ๆ กับร้านอาหารมังกรทอง หรือจะเรียกให้ถูกมันคือ ภัทตาคารของผู้มีอันจะกิน อาหารจานที่ถูกที่สุด รัตต้องใช้เงินทั้งอาทิตย์ถึงจะพอจ่าย ลูกชายคนเดียวของร้านอาหารที่เปิดมาตั้งแต่เขายังไม่เกิด ไม่มีอะไรที่แม็กซ์อยากได้ แล้วไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ทำตัวเหลวไหลให้พ่อแม่ต้องเป็นห่วงมากนัก ส่วนหนึ่งคงต้องยกความดีให้กับ เพื่อนๆ ของเขาด้วยเช่นกัน
รัตมาที่นี่เกือบทุกวัน ตั้งแต่เริ่มเข้าปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย เพราะเขาทำงานพิเศษอยู่ที่นี่ แม่ของแม็กซ์รัก และเอ็นดูรัต เหมือนน้องชายของลูกชายตัวเอง ตอนแรกที่รู้ว่า รัตขอมาทำงาน ก็ปฏิเสธ เพราะเกรงว่าจะเหนื่อยเกินไป สำหรับเด็กในวัยนี้ แต่เจ้าตัวยืนยันว่าเขาอยากที่จะหาิเงินมาใช้จ่ายในเรื่องส่วนตัว และเพื่อลดภาระของหลวงตา
จริงๆ เงินที่หลวงตาให้ในแต่ละวัน ก็เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน และการเรียน แต่รัตคิดว่า ในชีวิตมหาวิทยาลัย คงมีเรื่องให้ต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้น แต่จะให้ไปขอหลวงตา ก็คงไม่ดีนัก
รัตเดินเข้าไปในร้านทางด้านข้างร้าน ทางเข้าของพนักงาน
“วันสอบไม่ต้องมาก็ได้นี่ รัต” แม่ของแม็กซ์ที่มักจะมาดูแลในส่วนของฝ่ายการเงินในช่วงเย็นๆ ก่อนเริ่มงาน ทุกๆวัน ทักทายกับเพื่อนของลูกชาย
“สวัสดีครับน้าวิ” รัตพนมมือไหว้ แม่ของเพื่อนสนิท
“ดีจ๊ะ ลูก” วิภา คุณแม่ยังสวย รับไหว้หลวมๆ
วิภา แสวงทรัพย์ หรือน้าวิ ของรัต เป็นสาวสวยที่เคยเป็นถึงนางแบบมาก่อน แต่มาเจอกับพ่อของแม็กซ์ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น และมีแม็กซ์ตั้งแต่ยังสาว จึงต้องออกจากวงการมาดูแลกิจการของครอบครัวสามี รัตเองไม่เคยถามถึงอายุของแม่เพื่อน แต่คาดว่าน่าจะไม่เกิน 40 สูทสีเข้มขับผิวผ่องของวิภาให้โดดเด่น กางเกงสีเดียวกับตัวสูท ทำให้เธอแลดูเหมือนนักธุรกิจ และเธอก็ทำหน้าที่นี้ได้ดีจริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับน้าวิ ถึงผมจะหยุดไปอ่านหนังสือ ผมก็สอบตกอยู่ดี” รัตตอบยิ้มๆ
“น้าไม่เชื่อหรอก เธอน่ะ ยังไงก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว” วิภาคุยกับรัตอย่างสนิทสนม เพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ “ห่วงก็แต่ ลูกชายตัวดีของน้านี่ล่ะ คงต้องพึ่งเธอหน่อยนะรัต”
“ครับน้าวิ ผมว่าสอบปลายภาคก็ จะไปให้บอยเค้าติวให้เหมือนกัน อ่านเองไม่เข้าใจซักนิด” รัตตอบพลางเก็บของส่วนตัว ในตู้ที่เตรียมไว้ให้พนักงาน “ว่าจะชวนแม็กซ์ไปด้วยเหมือนกัน”
“ดีแล้วลูก น้าเชื่อใจรัตกับบอยนะ เอาลูกน้าให้รอดล่ะ” วิภาที่กำลังตรวจบัญชีอยู่ หยุดมือแล้วเงยหน้าขึ้นมาคุยกับ รัต “อืมใช่ หลังจากสอบมิดเทอมเสร็จแล้ว น้าว่าจะพาแม็กซ์ไปทะเล ไปด้วยกันมั้ย”
“เดี๋ยวคงต้องขอหลวงตาก่อนครับ แต่คงไม่มีปัญหาอะไร” รัตตอบและขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวทำงาน
วิภามักจะพาลูกชายและเพื่อนๆ ไปเที่ยวด้วยกันเสมอ ตัวแม็กซ์เอง ไม่มีเพื่อนสนิทคนอื่น นอกจากสองคนนี้ เพราะเป็นคนใจร้อน และหงุดหงิดง่าย คบกับใครไม่ค่อยได้ ใครที่จะเข้ามาคบหากับแม็กซ์ มักจะเข้ามาเพราะเรื่องเงินทอง ทำให้เขาไม่ไว้ใจใครซักเท่าไหร่นัก แต่กับสองคนนี้ แม็กซ์กลับอ่อนลง และร่าเริงตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน
หลวงตากับ แม่ของแม็กซ์เจอกันบ่อยและ มักจะสนทนาธรรมกันเสมอ วิภามักจะไปทำบุญที่วัดที่พลวงพ่อจำวัดอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่รัตยังเป็นเด็กๆ และเพราะเหตุนั้น ทำให้ รัตและแม็กซ์รู้จักกัน
หน้าที่ของรัตที่ร้านนี้คือ การดูแลบาร์น้ำ คอยช่วยเหลือ พี่เสน่ห์ ที่เป็น บาร์เทนเดอร์ เสน่ห์เป็นผู้ชายหน้าตาดีและมีหุ่นผอมเพรียว สูงยาว ทำให้มีลูกค้าสาวแก่แม่ม้ายหลายคน ที่มักจะมานั่งที่โซนของบาร์น้ำเป็นประจำ เพียงเพื่อให้ได้คุยกับ เสน่ห์
“พี่เหน่ สวัสดีครับ” รัตทักทาย
“เออ มาแล้วรึ” เสน่ห์ ตอบโดยไม่ได้หันมามอง ขณะกำลังวุ่นอยู่กับ การเตรียมส่วนผสมค๊อกเทลที่หน้าบาร์
“วานยกโซดามาให้ซักลัง”
“เอ่อ... ได้ครับ” รัตตอบอย่างอิดออด ก่อนเดินไปที่หลังร้าน
หน้าห้องเก็บของจะมี นายอำนวย ซึ่งมีหน้าที่ในการคุมสต๊อคสินค้าทั้งหมดยืนคุมอยู่หน้าห้อง นายอำนวยเป็นนักเลงเก่า หน้าตาเหมือนเขม่นมองอะไรอยู่ตลอดเวลา ที่แขนขวามีแผลเป็นยาวจากข้อมือไปถึงศอก หากใครถามถึงแผลนี้ แกมักจะเล่าอย่างสนุกปากว่า ได้มาจากมีดดาบของคู่อริสมัยแกเป็นวัยรุ่น
รัตไม่เคยชอบที่จะต้องมาเอาของในห้องนี้ เพราะพอถึงหน้าห้อง และต้องคุยกับลุงอำนวยจะเจอกับสายตาของผู้หญิงที่ยืนอยู่หลังลุงอำนวย และเศษเนื้อ หรือถ้ามองให้ดีๆ จะเห็นเป็นตัวอ่อนของเด็กตัวเล็กๆ แดงๆ คลานเด๊าะแด๊ะอยู่ที่พื้น และร้องไห้ราวกับใจจะขาดตลอดเวลา สายสะดือของเด็กยังลากไปลากมามีแต่รอยเลือดรอบเท้าของนักเลงเก่าคนนี้ ไม่ว่ารัตจะทำอะไรที่เกี่ยวกับ ลุงอำนวย ผู้หญิงคนที่ยืนข้างหลังชิดต้นคอของลุงอำนวย จะจ้องมาที่เขาเสมอ เหมือนกับจะรู้ว่า รัตสามารถมองเห็นเธอได้
บางครั้ง ผู้หญิงคนนี้ ก็จะโอบกอดลุงอำนวยด้วยความรัก มือของเธอลูบไล้ไปทั่วร่างกายและใบหน้าของชายแก่ แต่บางครั้ง ก็จะทำท่าเหมือนอยากบีบคอให้ตายตกไปตามๆ กัน สายตาที่เธอมองลุงอำนวยเหมือนกับแค้นผู้ชายคนนี้มาก แต่ก็รักมากในเวลาเดียวกัน บางครั้งร่างของเธอก็จางหายไป แต่บางครั้งกลับเด่นชัดขึ้นมาในสายตา เหมือนกับมายืนอยู่ตรงหน้าดั่ง คน ที่มีเลือดเนื้อจริงๆ ด้วยเสื้อคลุมที่เหมือนกับชุดคลุมท้อง และสีของเลือดที่เปรอะเปื้อน ท่อนล่างของเธอ ประกอบกับเด็กน้อยที่ดูจากองค์ประกอบของร่างกายแล้ว ไม่น่าจะครบกำหนดคลอด ทำให้รัตเดาได้ไม่ยากนักว่า ทำไมทั้งสามชีวิตนี้ถึงผูกอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
ผี.. บางครั้งก็จะปรากฏในลักษณะอย่างนี้ ไม่สนใจโลกรอบข้าง จะสถิตอยู่กับสิ่งที่ตนยังติดใจก่อนตายเท่านั้น ไม่รู้วัน... ไม่รู้เวลา
ตลอดเดือนเศษๆ ที่รัตมาทำงานที่นี่ เขาต้องมาที่ห้องเก็บของนี่ประมาณสัปดาห์ละครั้ง ทุกๆ ครั้งเขาไม่เคยที่จะกล้าจ้องตาลุงอำนวยให้เต็มตาในขณะที่คุยด้วย ในครั้งแรกที่มาเจอนั้น เขาผงะถอยหลังและแทบจะล้มลงไปกับพื้น