หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (18)...รักข้ามขอบฟ้า
ทุกคนออกไปหมดแล้ว หนอยยกเก้าอี้มานั่งชิดขอบเตียง ในห้องเหลือเพียงเขากับดวงดาวในดวงใจของหนอยที่นอนหลับสนิท สีหน้าของ
ดวงเนตรดีกว่าเมื่อเช้ามาก
“อ้าว! มีเหล่าเต๊งด้วย” หนอยคิด พร้อมกับก้มตัวลงต่ำจูบบนหน้าผาก มือลูบไล้เส้นผมอย่างแผ่วเบา
หญิงสาวตัวไม่ร้อนแล้ว มันช่วยให้หนอยคลายความเป็นห่วงลง “ตั้งแต่นี้ไปพี่หนอยจะยกใจดวงนี้ให้ดวงเนตรคนเดียว” เสียงกระซิบ
เขาก้มมองนาฬิกา...จวนจะบ่ายสามแล้ว ดวงเนตรพลิกตัว นอนตะแคง แล้วหนอยก็ได้ยินเสียงเธอละเมอ
“พี่หนอย ๆ อยู่ที่ไหนคะ ทำไมทำกับเนตรแบบนี้ เพียงแค่บอกลาสักคำไม่ได้เหรอคะ” ปลายขนตายาวเปียกชื้น
“พี่หนอยอย่าไป” ดวงเนตรละเมอ เสียงเล็กบาดลึกเข้าถึงหัวใจหนอย หนอยเจ็บปวดมากมาย แต่ไม่เคยเลยที่จะได้เห็นเช่นวันนี้ ว่าเธอเองก็
ปวดลึกอย่างร้าวราน เขาน้ำตาคลอ ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน
“เนตร ๆ เป็นอะไรหรือเปล่า” ชั่วครู่เธอจึงรู้สึกตัว น้าวิวกับพี่น้อยถือชามข้าวต้มค้างอยู่หน้าห้อง เธอสองคนได้ยินเสียงละเมอของดวงเนตรด้วย
เช่นกัน ดวงใจดวงนี้ยังคงเฝ้าร่ำร้องอยู่ภายใน แม้หลับก็ยังเจ็บปวด ทั้งคู่มองดูหนอยกอดกระชับดวงเนตรไว้กับอก
“เนตรตื่นเถอะ พี่หนอยอยู่ที่นี่แล้ว” เธอลืมตาตื่นขึ้นมองเห็นดวงหน้าพี่หนอยอยู่ห่างเพียงฝ่ามือ “พี่หนอยคะ” เธอเรียกซ้ำ ๆ เหมือนให้รู้ว่าไม่
ได้ฝันไป สอดมือกอดหนอยใว้แน่นเหมือนเด็กน้อยหลงทาง
“พี่หนอยจะไม่จากดวงเนตรไปไหนไกลอีกแล้ว พี่สัญญา”
“เด็กน้อยเอ๊ย! ” น้าวิวมองดูอยู่ด้วยความเข้าใจในหัวใจของทั้งสองหนุ่มสาว หนอยไม่เห็นว่ามีคนรออยู่ที่ประตู เขากล่าวต่ออีก
“ตอนนี้จะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ใบไม้เปลี่ยนสีสันสวยงาม พี่หนอยจะขับรถพาดวงเนตร ไปที่ทะเลสาบติดกับคณะวิทยาศาสตร์ ที่นั่นสงบและเป็น
จุดที่สวยที่สุดในแคมปัส โดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสี รอเนตรทานข้าวเสร็จพี่หนอยจะไปขออนุญาตน้าวิวเองครับ”
“ดีค่ะ เนตรก็อยากออกไปข้างนอกบ้างคงรู้สึกดีขึ้น”
“จะพากันหนีไปไหนจ๊ะ” เสียงดังขึ้น ทั้งคู่ผละออกจากกันโดยอัตโนมัติ ดวงเนตรหน้าแดง
“น้าวิวครับสักสี่โมงเย็น ผมขออนุญาตพาเนตรขับรถออกไปสูดอากาศข้างนอกนะครับ”
“ดีค่ะ พี่น้อยจะไปเป็นเพื่อนด้วย”
“แง่วววว....” หนอยหน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง เพราะทีแรกเขากะจะไปกันสองคน น้าวิวเสริม
“ดีแล้วพี่น้อยจะได้ไปช่วยดูเนตรอีกคน คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้” หนอยหัวเราะ
“เอาเถอะครับแล้วแต่ท่านจะสั่งมา”
“ดีแล้วล่ะ แกต้องไถ่บาปเยอะ ๆ แกมันคนบาปหนา”
“น้าวิวคะ” เสียงดวงเนตรอ้อน
“เอ้า ๆ ! ไม่ว่าก็ได้ แหมเดือดร้อนแทนแล้วนะจ๊ะ”
“ถึงยังไงพี่หนอยก็ยังมีความดีอีกเยอะนะคะ ยังไม่เข้าข่ายคนบาปหรอก”
“จริงด้วย กล่าวหาร้ายแรงไปรึเปล่า”
“ไม่ต้องทำเก่งเลยไอ้ตี๋ พอมีคนเข้าข้างทำเป็นได้ใจ”
“เอาละ เนตรทานข้าวต้มกับผักดองก่อน อ้อ! มีหมูแผ่นของพี่น้อยด้วย” น้าวิวเอามาสองชามเผื่อหนอยด้วย
“ขอบคุณครับ”
“ทานให้หมดในห้องน้าวิวมีอีก พออิ่มแล้วหนอยไปอยู่รอดวงเนตรกับพี่น้อยที่ห้องน้าวิวเพราะเนตรจะได้ล้างหน้าแปรงฟัน วันนี้ห้ามอาบน้ำ
เพราะเรายังไม่หายดี OK!”
“เสร็จแล้วไปหาน้าวิวจะได้ออกสักสี่โมงกำลังดี” ผู้จัดการส่วนตัวของเนตรพูดคนเดียวเรียบร้อย...จบ
ก่อนจะผละไป เธอหันมาอีกรอบ “ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนเร็วใส่เสื้อหนาหน่อยนะจ๊ะ”
“ค่ะ” เนตรรับคำ
เมื่อหญิงสาวเตรียมตัวเสร็จแล้วมาที่ห้องน้าวิว หนอยมองดูหญิงสาวเพลิน เธอใส่ชุดกระโปรงสีครีม ลายดอกกุหลาบดอกเล็ก ๆ กระจายอย่าง
มีสีสันสวยงาม สวมทับด้วยเสื้อแขนยาวสีขาวนวล ปล่อยผมหวียาวสลวย
“ไอ้ก๊วก น้ำจิ้มหกแล้ว” น้าวิวแซว แต่อดชมไม่ได้ว่าเธอสวยเป็นพิเศษและดูแจ่มใสมาก
“เอ้า! ไปได้แล้ว พี่น้อยดูเวลาด้วยนะคะ
รถขับออกจากหอ พอเริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วงกลางวันจะเริ่มสั้นกว่าฤดูร้อนซึ่งหมายความว่าพอหนึ่งทุ่มก็เริ่มมืดแล้ว หนอยขับรถคันเก่าผ่านตัวตึก
ต่าง ๆ และวนเข้าคณะวิทยาศาสตร์ ตอนที่พากันออกมาจากหอพักแสงตะวันยังเจิดจ้า มองเห็นทิวสนเรียงราย ขนานกับต้นโอ๊คและต้นเมเปิลที่ปลูก
เป็นแนวเช่นกัน พี่หนอยขับไต่ขึ้นไปตามแนวเขา แล้วจอดตรงจุดชมวิว ดวงเนตรสังเกตเห็นรถหลายคันเหมือนกัน
จุดนี้จะเป็นจุดที่สวยที่สุดในคาร์บอนเดล มองต่ำลงมาจะเห็นบริเวณแคมปัสโดยรอบตรงส่วนของคณะฯ มองลงมาเห็นทะเลสาบสีฟ้า สีใสเหมือนท้องฟ้า
ต้นเมเปิล และต้นโอ๊คปลูกเป็นแนวและขึ้นกระจายอยู่ทั่วไป สลับสีของใบอย่างสวยงาม เหลือง น้ำตาล แดง และแดงเข้ม ความงามยิ่งมากขึ้นเมื่อมีแนว
สนเขียวขจีแทรกอยู่ทั่วไป
เปิดท้ายรถเอาผ้าพลาสติกหนาปูลงบนเนินหญ้าเขียวขจี
“พี่น้อยเอาผ้าคลุมไหล่ไหมครับ”
“ไม่ค่ะพี่น้อยอุ่นพอแล้ว” ส่วนเขาคลี่ผ้าคลุมไหล่สีน้ำตาลแดงให้ดวงเนตร พี่น้อยมองแล้วอมยิ้ม...น่ารัก
ทั้งสามคนนั่งลง ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่งดงาม เสียงนกดังแว่ว ๆ มันเริ่มเรียกกันกลับรวงรัง ตะวันเริ่มลดตัวลงระเรื่อยลิ่วลงสู่เหลี่ยมเขา แสงสีส้ม
หม่นโบกมืออำลาจากไป ทิ้งไว้เพียงความสลัวใกล้พลบค่ำ พี่น้อยเป็นคนลุกขึ้นคนแรก
“โอ้! สวยเหลือเกิน น่าจะเอากล้องมานะ”
“ไม่เป็นไรครับ ไว้คราวหน้าเรามา แล้วผมจะเอามาเอง เอามาถ่ายเฉพาะพี่น้อยเลยล่ะ”
“ขอบคุณค่ะ แล้วอย่าลืมนะ” พี่น้อยตอบกลับ ทั้งสองหยอกกันไปมาอยู่ไม่นาน หนอยยื่นมือมาให้ดวงเนตรจับ เธอคว้ามือไว้ หนอยแกล้งออก
แรงดึงจนดวงเนตรผวาเข้าสู่วงแขนเขา
“พี่น้อย ๆ ดูสิ พี่หนอยแกล้งเนตรค่ะ”
“เดี๋ยวก็จูบโชว์พี่น้อยหรอก ช่างฟ้องนัก”
“นี่หนอยปล่อยน้องเดี๋ยวนี้นะ ทะเล้นใหญ่แล้ว” พี่น้อยทำเสียงดุ พี่หนอยปล่อย ดวงเนตรผลักเขาลงไปกลิ้งกับพื้น แต่ไม่ได้ลงไปคนเดียวเขา
ดึงดวงเนตรกลิ้งลงไปด้วย ใบหน้าทั้งคู่ใกล้จนปลายจมูกโด่งแตะกันเบา ๆ กลิ่นหอมอ่อนจากผิวกายดวงเนตร หนอยสูดลมหายใจลึก ๆ กลิ่นนี้เองไม่ว่า
จะห่างหายไปไหนก็ให้คิดครวญหาทุกค่ำคืน ทั้งคู่รีบลุกขึ้น
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า” หนอยถามอย่างเป็นห่วง พลางใช้มือปัดเศษไม้ที่เกาะบนเส้นผมของดวงเนตร
“ถ้าคราวหน้าทำอีกเจอดีแน่” เธอพูดแต่ใบหน้ายังไม่หายแดง
“จริงเหรอ” หนอยถามแบบยั่ว ๆ ดวงเนตรค้อนให้วงใหญ่
“พี่หนอยน่ะแชมป์ยูโดสายดำนะจ๊ะ”
“เนตรก็แชมป์มวยไทย เคยเจอจระเข้ฟาดหางไหม”
“เคยเจอแต่จิ้งจกจ้ะ” ดวงเนตรไม่ต่อคำด้วยเพราะเริ่มเคืองพี่หนอย
ทุกครั้งที่ปิดเทอม เมื่อครั้งอยู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก่อนเปิดเรียนซัมเมอร์ เตี่ยจะส่งเนตรไปเรียนมวยกับลุงประภพ เนตรจะถูกลุง
เรียกให้ลุกไปวิ่งตั้งแต่เช้ากับพี่ ๆ ในค่าย ตารางซ้อมมวยวันละสามสี่ชั่วโมงแล้วแต่ลุงจะว่าง ลุงเป็นคนเดียวที่ได้ศิลปะการป้องกันตัวจากก๋ง ที่ก๋งให้ลุง
เพราะลุงจะสุขุมกว่าพี่ ๆ น้อง ๆ คนอื่น ต่อมาลุงเลยเอาดีทางมวยด้วยแล้วเปิดเป็นค่ายมวย เหตุผลที่ลุงและหลานคาดเดาความคิดของเตี่ย คือเตี่ย
ปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่าอยากให้เนตรเป็นลูกชายคนโต แต่ถึงเป็นผู้หญิง ดวงเนตรเองไม่เคยทำให้เตี่ยผิดหวังเลย ลูกชายคนโตของเตี่ยคือลูกคนที่สาม
และเรียนหมออยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยิ่งใกล้วันที่ดวงเนตรต้องจากไปไกลถึงอเมริกา (นั้นก็เป็นเหตุผลที่สองที่เตี่ยให้มาฝึกมวย) ลุงยิ่งฝึกให้หนัก
พร้อมกลเม็ดต่าง ๆ และจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ ที่หลานสาวจำเป็นต้องใช้เพราะเธอเป็นผู้หญิง ดวงเนตรก้าวหน้าเร็วและจังหวะกับแรงดีด้วย แต่ที่ลุงกลุ้มใจเพราะ ไอ้พวกรุ่นพี่มักชอบมายืนออดู ช่วยไม่ได้เพราะหลานลุงทั้งสวยทั้งน่ารัก สุดท้ายลุงเลยกั้นเป็นห้องแอร์เหมือนโรงยิมเล็ก ๆ ให้หลานสาว
ดวงเนตรคิดถึงลุงประภพ
เผลอแป๊บเดียวพี่หนอยก็ขับรถมาถึงหอพักแล้ว
“นั่งเงียบเลย โกรธพี่หนอยเหรอครับ”
“มั้ง!” เสียงสะบัด
“พี่หนอยขอโทษครับดีกันนะ” ชายหนุ่มเอี้ยวตัวชูนิ้วก้อยมาให้ดวงเนตรเกี่ยว
“ผมส่งตรงนี้นะครับ”
“ไม่ขึ้นไปเหรอจ๊ะ” พี่น้อยชวน
“ไม่ละครับจะรีบไปดูคู่มือลงทะเบียน พรุ่งนี้พี่หนอยจะมาหาเนตรแต่เช้าเลยเตรียมอาหารเช้าเผื่อด้วยนะ หลับฝันดีนะครับ ในฝันต้องมีพี่หนอย
อยู่ใกล้ ๆ ด้วยนะ” จบคำพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง
ก่อนขับรถออกไป
หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (18)...รักข้ามขอบฟ้า
ทุกคนออกไปหมดแล้ว หนอยยกเก้าอี้มานั่งชิดขอบเตียง ในห้องเหลือเพียงเขากับดวงดาวในดวงใจของหนอยที่นอนหลับสนิท สีหน้าของ
ดวงเนตรดีกว่าเมื่อเช้ามาก
“อ้าว! มีเหล่าเต๊งด้วย” หนอยคิด พร้อมกับก้มตัวลงต่ำจูบบนหน้าผาก มือลูบไล้เส้นผมอย่างแผ่วเบา
หญิงสาวตัวไม่ร้อนแล้ว มันช่วยให้หนอยคลายความเป็นห่วงลง “ตั้งแต่นี้ไปพี่หนอยจะยกใจดวงนี้ให้ดวงเนตรคนเดียว” เสียงกระซิบ
เขาก้มมองนาฬิกา...จวนจะบ่ายสามแล้ว ดวงเนตรพลิกตัว นอนตะแคง แล้วหนอยก็ได้ยินเสียงเธอละเมอ
“พี่หนอย ๆ อยู่ที่ไหนคะ ทำไมทำกับเนตรแบบนี้ เพียงแค่บอกลาสักคำไม่ได้เหรอคะ” ปลายขนตายาวเปียกชื้น
“พี่หนอยอย่าไป” ดวงเนตรละเมอ เสียงเล็กบาดลึกเข้าถึงหัวใจหนอย หนอยเจ็บปวดมากมาย แต่ไม่เคยเลยที่จะได้เห็นเช่นวันนี้ ว่าเธอเองก็
ปวดลึกอย่างร้าวราน เขาน้ำตาคลอ ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน
“เนตร ๆ เป็นอะไรหรือเปล่า” ชั่วครู่เธอจึงรู้สึกตัว น้าวิวกับพี่น้อยถือชามข้าวต้มค้างอยู่หน้าห้อง เธอสองคนได้ยินเสียงละเมอของดวงเนตรด้วย
เช่นกัน ดวงใจดวงนี้ยังคงเฝ้าร่ำร้องอยู่ภายใน แม้หลับก็ยังเจ็บปวด ทั้งคู่มองดูหนอยกอดกระชับดวงเนตรไว้กับอก
“เนตรตื่นเถอะ พี่หนอยอยู่ที่นี่แล้ว” เธอลืมตาตื่นขึ้นมองเห็นดวงหน้าพี่หนอยอยู่ห่างเพียงฝ่ามือ “พี่หนอยคะ” เธอเรียกซ้ำ ๆ เหมือนให้รู้ว่าไม่
ได้ฝันไป สอดมือกอดหนอยใว้แน่นเหมือนเด็กน้อยหลงทาง
“พี่หนอยจะไม่จากดวงเนตรไปไหนไกลอีกแล้ว พี่สัญญา”
“เด็กน้อยเอ๊ย! ” น้าวิวมองดูอยู่ด้วยความเข้าใจในหัวใจของทั้งสองหนุ่มสาว หนอยไม่เห็นว่ามีคนรออยู่ที่ประตู เขากล่าวต่ออีก
“ตอนนี้จะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ใบไม้เปลี่ยนสีสันสวยงาม พี่หนอยจะขับรถพาดวงเนตร ไปที่ทะเลสาบติดกับคณะวิทยาศาสตร์ ที่นั่นสงบและเป็น
จุดที่สวยที่สุดในแคมปัส โดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสี รอเนตรทานข้าวเสร็จพี่หนอยจะไปขออนุญาตน้าวิวเองครับ”
“ดีค่ะ เนตรก็อยากออกไปข้างนอกบ้างคงรู้สึกดีขึ้น”
“จะพากันหนีไปไหนจ๊ะ” เสียงดังขึ้น ทั้งคู่ผละออกจากกันโดยอัตโนมัติ ดวงเนตรหน้าแดง
“น้าวิวครับสักสี่โมงเย็น ผมขออนุญาตพาเนตรขับรถออกไปสูดอากาศข้างนอกนะครับ”
“ดีค่ะ พี่น้อยจะไปเป็นเพื่อนด้วย”
“แง่วววว....” หนอยหน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง เพราะทีแรกเขากะจะไปกันสองคน น้าวิวเสริม
“ดีแล้วพี่น้อยจะได้ไปช่วยดูเนตรอีกคน คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้” หนอยหัวเราะ
“เอาเถอะครับแล้วแต่ท่านจะสั่งมา”
“ดีแล้วล่ะ แกต้องไถ่บาปเยอะ ๆ แกมันคนบาปหนา”
“น้าวิวคะ” เสียงดวงเนตรอ้อน
“เอ้า ๆ ! ไม่ว่าก็ได้ แหมเดือดร้อนแทนแล้วนะจ๊ะ”
“ถึงยังไงพี่หนอยก็ยังมีความดีอีกเยอะนะคะ ยังไม่เข้าข่ายคนบาปหรอก”
“จริงด้วย กล่าวหาร้ายแรงไปรึเปล่า”
“ไม่ต้องทำเก่งเลยไอ้ตี๋ พอมีคนเข้าข้างทำเป็นได้ใจ”
“เอาละ เนตรทานข้าวต้มกับผักดองก่อน อ้อ! มีหมูแผ่นของพี่น้อยด้วย” น้าวิวเอามาสองชามเผื่อหนอยด้วย
“ขอบคุณครับ”
“ทานให้หมดในห้องน้าวิวมีอีก พออิ่มแล้วหนอยไปอยู่รอดวงเนตรกับพี่น้อยที่ห้องน้าวิวเพราะเนตรจะได้ล้างหน้าแปรงฟัน วันนี้ห้ามอาบน้ำ
เพราะเรายังไม่หายดี OK!”
“เสร็จแล้วไปหาน้าวิวจะได้ออกสักสี่โมงกำลังดี” ผู้จัดการส่วนตัวของเนตรพูดคนเดียวเรียบร้อย...จบ
ก่อนจะผละไป เธอหันมาอีกรอบ “ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนเร็วใส่เสื้อหนาหน่อยนะจ๊ะ”
“ค่ะ” เนตรรับคำ
เมื่อหญิงสาวเตรียมตัวเสร็จแล้วมาที่ห้องน้าวิว หนอยมองดูหญิงสาวเพลิน เธอใส่ชุดกระโปรงสีครีม ลายดอกกุหลาบดอกเล็ก ๆ กระจายอย่าง
มีสีสันสวยงาม สวมทับด้วยเสื้อแขนยาวสีขาวนวล ปล่อยผมหวียาวสลวย
“ไอ้ก๊วก น้ำจิ้มหกแล้ว” น้าวิวแซว แต่อดชมไม่ได้ว่าเธอสวยเป็นพิเศษและดูแจ่มใสมาก
“เอ้า! ไปได้แล้ว พี่น้อยดูเวลาด้วยนะคะ
รถขับออกจากหอ พอเริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วงกลางวันจะเริ่มสั้นกว่าฤดูร้อนซึ่งหมายความว่าพอหนึ่งทุ่มก็เริ่มมืดแล้ว หนอยขับรถคันเก่าผ่านตัวตึก
ต่าง ๆ และวนเข้าคณะวิทยาศาสตร์ ตอนที่พากันออกมาจากหอพักแสงตะวันยังเจิดจ้า มองเห็นทิวสนเรียงราย ขนานกับต้นโอ๊คและต้นเมเปิลที่ปลูก
เป็นแนวเช่นกัน พี่หนอยขับไต่ขึ้นไปตามแนวเขา แล้วจอดตรงจุดชมวิว ดวงเนตรสังเกตเห็นรถหลายคันเหมือนกัน
จุดนี้จะเป็นจุดที่สวยที่สุดในคาร์บอนเดล มองต่ำลงมาจะเห็นบริเวณแคมปัสโดยรอบตรงส่วนของคณะฯ มองลงมาเห็นทะเลสาบสีฟ้า สีใสเหมือนท้องฟ้า
ต้นเมเปิล และต้นโอ๊คปลูกเป็นแนวและขึ้นกระจายอยู่ทั่วไป สลับสีของใบอย่างสวยงาม เหลือง น้ำตาล แดง และแดงเข้ม ความงามยิ่งมากขึ้นเมื่อมีแนว
สนเขียวขจีแทรกอยู่ทั่วไป
เปิดท้ายรถเอาผ้าพลาสติกหนาปูลงบนเนินหญ้าเขียวขจี
“พี่น้อยเอาผ้าคลุมไหล่ไหมครับ”
“ไม่ค่ะพี่น้อยอุ่นพอแล้ว” ส่วนเขาคลี่ผ้าคลุมไหล่สีน้ำตาลแดงให้ดวงเนตร พี่น้อยมองแล้วอมยิ้ม...น่ารัก
ทั้งสามคนนั่งลง ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่งดงาม เสียงนกดังแว่ว ๆ มันเริ่มเรียกกันกลับรวงรัง ตะวันเริ่มลดตัวลงระเรื่อยลิ่วลงสู่เหลี่ยมเขา แสงสีส้ม
หม่นโบกมืออำลาจากไป ทิ้งไว้เพียงความสลัวใกล้พลบค่ำ พี่น้อยเป็นคนลุกขึ้นคนแรก
“โอ้! สวยเหลือเกิน น่าจะเอากล้องมานะ”
“ไม่เป็นไรครับ ไว้คราวหน้าเรามา แล้วผมจะเอามาเอง เอามาถ่ายเฉพาะพี่น้อยเลยล่ะ”
“ขอบคุณค่ะ แล้วอย่าลืมนะ” พี่น้อยตอบกลับ ทั้งสองหยอกกันไปมาอยู่ไม่นาน หนอยยื่นมือมาให้ดวงเนตรจับ เธอคว้ามือไว้ หนอยแกล้งออก
แรงดึงจนดวงเนตรผวาเข้าสู่วงแขนเขา
“พี่น้อย ๆ ดูสิ พี่หนอยแกล้งเนตรค่ะ”
“เดี๋ยวก็จูบโชว์พี่น้อยหรอก ช่างฟ้องนัก”
“นี่หนอยปล่อยน้องเดี๋ยวนี้นะ ทะเล้นใหญ่แล้ว” พี่น้อยทำเสียงดุ พี่หนอยปล่อย ดวงเนตรผลักเขาลงไปกลิ้งกับพื้น แต่ไม่ได้ลงไปคนเดียวเขา
ดึงดวงเนตรกลิ้งลงไปด้วย ใบหน้าทั้งคู่ใกล้จนปลายจมูกโด่งแตะกันเบา ๆ กลิ่นหอมอ่อนจากผิวกายดวงเนตร หนอยสูดลมหายใจลึก ๆ กลิ่นนี้เองไม่ว่า
จะห่างหายไปไหนก็ให้คิดครวญหาทุกค่ำคืน ทั้งคู่รีบลุกขึ้น
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า” หนอยถามอย่างเป็นห่วง พลางใช้มือปัดเศษไม้ที่เกาะบนเส้นผมของดวงเนตร
“ถ้าคราวหน้าทำอีกเจอดีแน่” เธอพูดแต่ใบหน้ายังไม่หายแดง
“จริงเหรอ” หนอยถามแบบยั่ว ๆ ดวงเนตรค้อนให้วงใหญ่
“พี่หนอยน่ะแชมป์ยูโดสายดำนะจ๊ะ”
“เนตรก็แชมป์มวยไทย เคยเจอจระเข้ฟาดหางไหม”
“เคยเจอแต่จิ้งจกจ้ะ” ดวงเนตรไม่ต่อคำด้วยเพราะเริ่มเคืองพี่หนอย
ทุกครั้งที่ปิดเทอม เมื่อครั้งอยู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก่อนเปิดเรียนซัมเมอร์ เตี่ยจะส่งเนตรไปเรียนมวยกับลุงประภพ เนตรจะถูกลุง
เรียกให้ลุกไปวิ่งตั้งแต่เช้ากับพี่ ๆ ในค่าย ตารางซ้อมมวยวันละสามสี่ชั่วโมงแล้วแต่ลุงจะว่าง ลุงเป็นคนเดียวที่ได้ศิลปะการป้องกันตัวจากก๋ง ที่ก๋งให้ลุง
เพราะลุงจะสุขุมกว่าพี่ ๆ น้อง ๆ คนอื่น ต่อมาลุงเลยเอาดีทางมวยด้วยแล้วเปิดเป็นค่ายมวย เหตุผลที่ลุงและหลานคาดเดาความคิดของเตี่ย คือเตี่ย
ปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่าอยากให้เนตรเป็นลูกชายคนโต แต่ถึงเป็นผู้หญิง ดวงเนตรเองไม่เคยทำให้เตี่ยผิดหวังเลย ลูกชายคนโตของเตี่ยคือลูกคนที่สาม
และเรียนหมออยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยิ่งใกล้วันที่ดวงเนตรต้องจากไปไกลถึงอเมริกา (นั้นก็เป็นเหตุผลที่สองที่เตี่ยให้มาฝึกมวย) ลุงยิ่งฝึกให้หนัก
พร้อมกลเม็ดต่าง ๆ และจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ ที่หลานสาวจำเป็นต้องใช้เพราะเธอเป็นผู้หญิง ดวงเนตรก้าวหน้าเร็วและจังหวะกับแรงดีด้วย แต่ที่ลุงกลุ้มใจเพราะ ไอ้พวกรุ่นพี่มักชอบมายืนออดู ช่วยไม่ได้เพราะหลานลุงทั้งสวยทั้งน่ารัก สุดท้ายลุงเลยกั้นเป็นห้องแอร์เหมือนโรงยิมเล็ก ๆ ให้หลานสาว
ดวงเนตรคิดถึงลุงประภพ
เผลอแป๊บเดียวพี่หนอยก็ขับรถมาถึงหอพักแล้ว
“นั่งเงียบเลย โกรธพี่หนอยเหรอครับ”
“มั้ง!” เสียงสะบัด
“พี่หนอยขอโทษครับดีกันนะ” ชายหนุ่มเอี้ยวตัวชูนิ้วก้อยมาให้ดวงเนตรเกี่ยว
“ผมส่งตรงนี้นะครับ”
“ไม่ขึ้นไปเหรอจ๊ะ” พี่น้อยชวน
“ไม่ละครับจะรีบไปดูคู่มือลงทะเบียน พรุ่งนี้พี่หนอยจะมาหาเนตรแต่เช้าเลยเตรียมอาหารเช้าเผื่อด้วยนะ หลับฝันดีนะครับ ในฝันต้องมีพี่หนอย
อยู่ใกล้ ๆ ด้วยนะ” จบคำพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนขับรถออกไป