วันนี้ผมอยากมาแลกเปลี่ยนวิธีเลือกกองทุนสักกองลงทุน เราควรมีวิธีการเลือกอย่างไร ไหนๆก็อยู่ในห้องสินธรมาสองสามปีแล้ว อยากลองแชร์วิธีการดูครับผมอยู่ในห้องนี้มาสักพักหนึ่งซึ่งพบว่าเวลามีใครแนะนำกองทุนโดยเฉพาะกองทุนปันผล จะมีกองฮิตๆแนะนำในห้องนี้อยู่ 2 กอง คือ HI-DIV กับ KFSDIV งั้นเรามาดูกันว่ามันดีสมกับที่ฮิตๆกันหรือเปล่าหนอ ^_^
เกริ่นก่อนว่าผมเริ่มศึกษาเรื่องการลงทุนตอนเรียนอยู่ประมาณปี 2 สิ่งแรกที่สนใจคือพวกกองทุนที่ลงทุนในหุ้นนี่ล่ะครับก่อนจะย้ายไปศึกษาหุ้นเต็มตัวตอนหลัง แต่ช่วงที่ยังเมามันกับการค้นคว้าหากองทุนไว้ลงทุน ช่วงนั้นอ่านพวกรายงานประจำปีกองทุน หนังสือชี้ชวนส่วนสรุป พอร์ตลงทุนรายเดือนของแต่ละเจ้าเยอะมาก ประกอบกับพออ่านหนังสือลงทุนอื่น ทำให้รู้ว่ากองทุนไม่ว่าประเทศไหนก็จะมีสไตล์บางอย่างไม่ต่างกันอยู่ดี คือ จะแบ่งได้ 3 พวก
1.พวกแรกเป็นกองทุนดัชนีลงทุนเชิงรับ ลงทุนตามดัชนีชี้วัดเลียนแบบ index ถ้าในไทยพวกนี้ก็จะเป็นพวกกองทุน set50 set100
2.พวกสองเป็นกองทุนบริหารมีการเลือกหุ้นแต่น่าแปลกใจที่ว่าพวกนี้ลงทุนในหุ้นไม่ต่างกับ index เท่าไหร่วนเวียนใน set20 ตัวแรกอยู่ดี
3.พวกสุดท้ายที่ผมตามหา คือ พวกที่ลงทุนแบบคัดเลือกหุ้น คัดเลือกจริงๆ ผมเรียกว่าพวกมีสไตล์ล่ะกัน ซึ่งพบได้ไม่กี่เจ้าในไทย
และกองทุนพวกสุดท้ายนี้ ถ้าผมพบผมจะลงลึกตามดูว่าสไตล์ลงทุนเขาเป็นอย่างไร วิธีเลือกหุ้นเหมือนกับวิธีเลือกหุ้นโดยส่วนตัวของผมไหม ถ้าสไตล์ไปด้วยกันได้ ผมจะเก็บลิสต์เก็บไว้ในใจ เวลาเลือกกองทุนให้ตัวเองหรือใครก็จะแนะนำให้เขา (แต่ส่วนมากผมจะแนะนำ index fund มากกว่า เพราะมีข้อดีมากมายก่ายกอง) สไตล์ที่ว่านั้นสำหรับผมคือ หุ้นที่กองทุน(หรือบลจ.)ลงทุนจะต้องเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีโอกาสในการเติบโต ธุรกิจมีโมเดลที่โอเค และหุ้นที่ถือต้องมีการทำการบ้าน คือ อย่างน้อยต้องมีการถือลงทุนระยะยาว (ในเมื่อกองทุนบอกให้เราลงทุนระยะยาว บลจ.ควรจะบริหารกองทุนไปในทางเดียวกัน คือ ลงทุนหุ้นระยะยาวด้วย) อีกทั้งถ้าหุ้นมันดี กองทุนควรจะมั่นใจถือหุ้นบริษัทนั้นแม้ว่ามันจะไม่อยู่ในลิสต์ของกองทุนเจ้าอื่น (เนื่องจากหลุด set30-50 ลงไป) และสุดท้าย ลงทุนในกองทุนก็ต้องดูความสามารถในการบริหาร ไม่ต้องได้ที่ 1-10 ทุกปีหรอก ขอแค่ผลตอบแทนคงที่คงเส้นคงวาอยู่ในระดับเทียบเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งคือเด็กที่ได้เกรดเฉลี่ย 3.3-3.5 ตลอดก็ได้ บางปีจะแพ้ set index ก็ได้ไม่ว่า ไม่ต้องเลือกหุ้นร้อนแรง ไม่ต้องเปลี่ยนสไตล์ ถ้ามั่นใจในการเลือกหุ้นมาดีแล้ว ต้องรอให้กิจการเติบโตได้ ปีนี้ผลตอบแทนยังไม่ดี เพราะหุ้นที่ถือไม่ขึ้นไม่เป็นไรครับ ประเด็นอยู่ตรงนี้ที่ผมอยากจะย้ำ
เมื่อไหร่ที่เราเข้าใจในแนวทางการลงทุนของกองทุนหรือของบลจ.แล้ว เราจะไม่มานั่งวิตกกังวลว่ากองทุนปีนี้ผลตอบแทนถดถอยในช่วงระยะสั้นๆ เราจะได้ไม่ต้องมานั่งกระโดดกองทุนย้ายไปนู้นย้ายไปนี้ ปีนี้เห็นกองไหนปีที่แล้วได้ที่หนึ่งก็ขายกองเดิมทิ้งไปกองใหม่ เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย และเสียพลังงาน เลือกกองทุนดีดีแล้วถือครองระยะยาวดีกว่าเยอะ ผลตอบแทนจากการลงทุนจะมาจากการซื้อแล้วถือยาวครับไม่ใช่ซื้อขายบ่อยๆ
ถ้างั้นพร้อมแล้วเรามาเจาะลึกกองทุนกรุงศรีหุ้นปันผล KFSDIV กันดีกว่า เรื่องควรรู้คือ กองทุนนี้ตั้งปี 2550 ( หรือปี 2007)
หนังสือชี้ชวนของกองทุนบอกว่า กองทุนกรุงศรีหุ้นปันผลนั้นมีนโยบายตามนี้
จุดประสงค์การลงทุน : สร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอจากเงินปันผลของหุ้นที่ลงทุนรวมทั้งผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแก่ผู้ถือหน่วยลงทุน
นโยบายเงินปันผล : ไม่เกินปีละ 12 ครั้งโดยพิจารณาจากผลการดำเนินงานสิ้นสุดตามช่วงเวลาที่บริษัทจัดการเห็นสมควร
นโยบายการลงทุน : ลงทุนในหุ้นทุนอย่างน้อยร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลดีเป็นลำดับแรก และหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดต่ำถึงปานกลาง (Small and Medium Market Capitalization) เป็นลำดับถัดไป โดยจะไม่ตัดสิทธิของกองทุนในการลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูง บริษัทจัดการจะวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับผลการดาเนินงานหรือฐานะการเงินของบริษัทเพื่อพิจารณาความสามารถในการจ่ายเงินปันผลในอนาคต อย่างน้อยปี ละ 1 ครั้ง หากมีการเปลี่ยนแปลงผลการดำเนินงานหรือฐานะทางการเงินของบริษัทผู้ออกตราสารอย่างมีนัยสาคัญ ก็จะพิจารณาปรับเปลี่ยนการลงทุนในหุ้นดังกล่าวให้เหมาะสม
เรามาดูกันว่ากองทุนได้ลงทุนตามนั้นหรือไม่ จากการเจาะกองทุนด้วยรายงานประจำปีย้อนหลัง 6 ปี ช่วงปี 2008-2013 พบว่า โดยเฉลี่ยกองทุนจะลงในหุ้นประมาณ 20-25 ตัว และพบว่า มีหุ้นบางตัว TISCO MAKRO MBK BKI AYUD SE-ED ที่ลงทุนตั้งแต่ตั้งกองทุนมาจนถึงปัจจุบัน แต่หุ้นที่เป็นลูกรักของกองทุนเท่าที่เห็นมีตามนี้ครับ
1. TISCO ธนาคารทิสโก้ อันนี้ลงทุนมาตั้งแต่เปิดกองเลย ถือเฉลี่ยที่สัดส่วน 10% ของมูลค่าเงินลงทุนได้ซื้อหนักๆตอนตลาดตกปี 2008
2. MAKRO ห้างแม็คโครก็ถือมานานครับ ต้นทุนอยู่แถวๆ 60-150 บาท แต่ปัจจุบันขายไปแล้วตอน CPALL ซื้อกิจการ
3. BEC หรือ ช่อง 3 ถือมาตั้งแต่ปี 2009 ในสัดส่วนประมาณ 4% ตลอดมาครับ
4. CPALL หรือเซเว่น ถือมาแต่ปี 2009 พร้อม BEC ลงทุน CPALL หนักครับ 10% ของพอร์ตแต่ล่าสุดเหลือแค่เกือบๆ 4%
5. ADVANC หรือค่ายมือถือเอไอเอสนี่ถือมาแต่แรกๆครับ มาลดลงตอนหลังๆ แถมหายไปช่วยนึงด้วย
6. LH แลนด์แอนด์เฮาส์นี่ก็ถือมา 2-3 ปี ส่วนห้างมาบุญครอง MBK ถือมาแต่ปีแรกๆ
7. SCC ปูนใหญ่ ปั๊มบางจาก BCP ธนาคารธนชาต TCAP พวกนี้ซื้อช่วงปี 2011 ช่วงน้ำท่วม
8. GLOW โรงไฟฟ้านี่ติดพอร์ตตลอดทุกปี ถือที่ 5-7% เข้าใจว่าจ่ายปันผลดีเลยถือนาน
9. LPN ค่ายอสังหาลุมพินีเข้ามาตอนปี 2011 และเป็นหุ้นถือลงทุนในระดับเกิน 7% ในปัจจุบัน
10 สุดท้ายม้ามืดของปีนี้เป็นหุ้นถือลงทุนในสัดส่วนสูงสุด (ณ เมษา 57) คือ INTUCH บริษัทแม่ของ AIS ครับ
ความเห็นโดยส่วนตัว กองทุน KFSDIV มีสไตล์ครับ หุ้นที่ถือแม้จะดุว่ามีเยอะเกือบ 25 ตัว แต่ตัวที่เน้นๆลงทุนเกิน 4-5% ตลอดในช่วงหกปีที่ผ่านมา (เป็นสัดส่วนที่ผมว่ามีนัยนะสำคัญในการลงทุน) ได้แก่ TISCO LPN GLOW CPALL MAKRO BEC ADVANC BCP SCC LH ซึ่งผมว่าธุรกิจของบริษัทเหล่านี้และตัวหุ้นสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนครับ และส่วนใหญ่ 5-6 ตัวแรกของแต่ละปีจะมีสัดส่วนรวมกันประมาณเกือบ 50-60% ของพอร์ตกองทุน
"โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลดีและหุ้นที่มีราคาหลักทรัพย์ตามราคาตลาดต่ำถึงปานกลาง"
สำหรับผมแล้วเขาลงทุนได้ตามที่พูดแล้วก็ลงทุนในแนวที่บอกคงเส้นคงวาตามสไตล์ครับ หุ้นอย่าง TISCO LPN BEC ADVANC INTUCH GLOW BCP เป็นหุ้นที่อัตราการจ่ายเงินปันผลสูงครับ Yield ดี ประมาณ 4% ขึ้นไป CPALL MAKRO SCC LH พวกนี้ก็จ่ายปันผลดีครับ แต่ราคาปัจจุบันสูงจนอัตราปันผล yield เทียบกับราคามันลดลงมาก แต่ต้นทุนที่กองทุนซื้อมาตอนปีก่อนๆถือว่าใช้ได้ครับ แถมบริษัทพวกนี้ปัจจัยพื้นฐานดี และน่าจะเติบโตมีความสามารถในการทำกำไร เติบโตไปได้อีกเรื่อยๆครับ (ยกตัวอย่างในสายตาผมเช่น TISCO LPN CPALL ADVANC) และกองทุน KFSDIV ถือหุ้นยาวครับ แม้จะมีการขายทิ้งบ้างในระหว่างปี แต่ยังอยู่กับหุ้นตัวเก่าๆซะส่วนใหญ่ครับ ผมให้ผ่านครับ สำหรับแนวทางการลงทุนและผลงานที่ผ่านมา
ถ้างั้นเรามาดูเรื่องผลตอบแทนย้อนหลังครับ มีแนวทางการลงทุนที่ดีแล้ว มีผลตอบแทนดีด้วยหรือเปล่า
แล้วเงินปันผลล่ะ
จะเห็นว่าผลตอบแทนกองทุนอยู่ในระดับดีเลยครับ ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (คิดแบบรวมเงินปันผลด้วยนะครับ) อยู่ในระดับ 31.5% ต่อปี เทียบกับกองทุนดัชนี SET50 อย่าง TMB50 ของค่ายทหารไทยเป็นตัวแทนให้ผลตอบแทนย้อนหลังที่ 29% ต่อปี ซึ่งก็ต่างกันนิดเดียวเอง(อ้างอิงจาก morningstar นะครับ)โดยรวมแล้วผมจัดให้กองทุน KFSDIV อยู่ในระดับที่ดีมากในสายตาผมเลย แต่ยังไม่ถึงขั้นดีเยี่ยมนะครับ ถ้าวัดสไตล์การลงทุนมีเจ้าอื่นถูกใจกว่า
สุดท้ายล่ะ วิธีลงทุนของผม กองนี้ผมแนะนำให้แม่ครับ เพราะผมไม่ชอบกองทุนที่มีการจ่ายเงินปันผลเท่าไหร่ ที่ผมอยากจะฝากคือ ถึงแม้มันจะเป็นกองทุนที่มีปันผล
NAV จะขึ้น หรือกองทุนจะจ่ายปันผลได้ขึ้นอยู่กับกำไรที่กองทุนทำได้เท่านั้น ซึ่งกำไรมาจากหุ้นที่กองทุนถือนั้นราคาสูงขึ้นหรือกองทุนขายหุ้นที่ราคาสูงกว่าราคาตอนซื้อมาก็คือมีกำไรตอนขายนั่นล่ะครับหรืออีกกรณีหนึ่งคือกำไรมาจากหุ้นที่กองทุนถือนั้นจ่ายเงินปันผลให้กองทุน ดังนั้นหุ้นที่กองทุนถือ กับฝีมือการลงทุนของบลจ.จึงสำคัญมากครับ แล้วการซื้อกองทุนประเภทจ่ายเงินปันผล ผมจะซื้อเมื่อหุ้นมันตกครับ โดยเฉพาะถ้า 5 อันดับแรกที่กองทุนถือราคาร่วงลงแรงทุกตัวเป็นโอกาสดีที่จะช้อนซื้อครับ และเวลาได้เงินปันผลผมก็จะให้แม่เก็บเอาไว้ ไม่เอาไปซื้อกองทุนอีกรอบทันที เพราะปันผลที่ได้มา มันก็คือ NAV กองทุนที่หักออกมานั่นล่ะ การซื้อหลังปันผลทันที ผมจึงว่ามันไม่เกิดประโยชน์อะไรครับ แล้วส่วนตัวถ้าจะลงทุนเกิน 10 ปีขึ้นไป กองทุนไม่ปันผลดีกว่ามากๆครับ ไม่ต้องเสียภาษีปันผล แถมให้เงินลงทุนทบต้นได้เรื่อยๆด้วย กองทุนจ่ายปันผลจึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดมาใช้ระหว่างปีมากกว่าครับ แต่ก็แล้วแต่สไตล์แต่ละคนลางเนื้อชอบลางยาครับ แต่อย่างหนึ่งสำหรับการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนหุ้นนั้นหลักการลงทุนนั้นเหมือนกันครับ
ต้องลงทุนในระยะยาว ตัดสินใจให้ดี ทำการบ้าน เลือกแล้วถือครองกองทุนที่ผลงานดีสม่ำเสมอเอาไว้จนเกษียณนั่นล่ะ เป็นหลักการลงทุนที่ผมยึดถือเสมอมาและจะทำต่อไปครับ ยิ่งลงทุนผมยิ่งพบครับว่า "อุปสรรคสำคัญในการลงทุนไม่ได้อยู่ที่ไหนอยู่ที่ตัวเราเองซะเป็นส่วนใหญ่ครับ T T" สู้ๆครับนักลงทุนทุกท่าน
เจาะสไตล์กองทุนปันผลยอดฮิตสินธร KFSDIV
เกริ่นก่อนว่าผมเริ่มศึกษาเรื่องการลงทุนตอนเรียนอยู่ประมาณปี 2 สิ่งแรกที่สนใจคือพวกกองทุนที่ลงทุนในหุ้นนี่ล่ะครับก่อนจะย้ายไปศึกษาหุ้นเต็มตัวตอนหลัง แต่ช่วงที่ยังเมามันกับการค้นคว้าหากองทุนไว้ลงทุน ช่วงนั้นอ่านพวกรายงานประจำปีกองทุน หนังสือชี้ชวนส่วนสรุป พอร์ตลงทุนรายเดือนของแต่ละเจ้าเยอะมาก ประกอบกับพออ่านหนังสือลงทุนอื่น ทำให้รู้ว่ากองทุนไม่ว่าประเทศไหนก็จะมีสไตล์บางอย่างไม่ต่างกันอยู่ดี คือ จะแบ่งได้ 3 พวก
1.พวกแรกเป็นกองทุนดัชนีลงทุนเชิงรับ ลงทุนตามดัชนีชี้วัดเลียนแบบ index ถ้าในไทยพวกนี้ก็จะเป็นพวกกองทุน set50 set100
2.พวกสองเป็นกองทุนบริหารมีการเลือกหุ้นแต่น่าแปลกใจที่ว่าพวกนี้ลงทุนในหุ้นไม่ต่างกับ index เท่าไหร่วนเวียนใน set20 ตัวแรกอยู่ดี
3.พวกสุดท้ายที่ผมตามหา คือ พวกที่ลงทุนแบบคัดเลือกหุ้น คัดเลือกจริงๆ ผมเรียกว่าพวกมีสไตล์ล่ะกัน ซึ่งพบได้ไม่กี่เจ้าในไทย
และกองทุนพวกสุดท้ายนี้ ถ้าผมพบผมจะลงลึกตามดูว่าสไตล์ลงทุนเขาเป็นอย่างไร วิธีเลือกหุ้นเหมือนกับวิธีเลือกหุ้นโดยส่วนตัวของผมไหม ถ้าสไตล์ไปด้วยกันได้ ผมจะเก็บลิสต์เก็บไว้ในใจ เวลาเลือกกองทุนให้ตัวเองหรือใครก็จะแนะนำให้เขา (แต่ส่วนมากผมจะแนะนำ index fund มากกว่า เพราะมีข้อดีมากมายก่ายกอง) สไตล์ที่ว่านั้นสำหรับผมคือ หุ้นที่กองทุน(หรือบลจ.)ลงทุนจะต้องเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีโอกาสในการเติบโต ธุรกิจมีโมเดลที่โอเค และหุ้นที่ถือต้องมีการทำการบ้าน คือ อย่างน้อยต้องมีการถือลงทุนระยะยาว (ในเมื่อกองทุนบอกให้เราลงทุนระยะยาว บลจ.ควรจะบริหารกองทุนไปในทางเดียวกัน คือ ลงทุนหุ้นระยะยาวด้วย) อีกทั้งถ้าหุ้นมันดี กองทุนควรจะมั่นใจถือหุ้นบริษัทนั้นแม้ว่ามันจะไม่อยู่ในลิสต์ของกองทุนเจ้าอื่น (เนื่องจากหลุด set30-50 ลงไป) และสุดท้าย ลงทุนในกองทุนก็ต้องดูความสามารถในการบริหาร ไม่ต้องได้ที่ 1-10 ทุกปีหรอก ขอแค่ผลตอบแทนคงที่คงเส้นคงวาอยู่ในระดับเทียบเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งคือเด็กที่ได้เกรดเฉลี่ย 3.3-3.5 ตลอดก็ได้ บางปีจะแพ้ set index ก็ได้ไม่ว่า ไม่ต้องเลือกหุ้นร้อนแรง ไม่ต้องเปลี่ยนสไตล์ ถ้ามั่นใจในการเลือกหุ้นมาดีแล้ว ต้องรอให้กิจการเติบโตได้ ปีนี้ผลตอบแทนยังไม่ดี เพราะหุ้นที่ถือไม่ขึ้นไม่เป็นไรครับ ประเด็นอยู่ตรงนี้ที่ผมอยากจะย้ำ เมื่อไหร่ที่เราเข้าใจในแนวทางการลงทุนของกองทุนหรือของบลจ.แล้ว เราจะไม่มานั่งวิตกกังวลว่ากองทุนปีนี้ผลตอบแทนถดถอยในช่วงระยะสั้นๆ เราจะได้ไม่ต้องมานั่งกระโดดกองทุนย้ายไปนู้นย้ายไปนี้ ปีนี้เห็นกองไหนปีที่แล้วได้ที่หนึ่งก็ขายกองเดิมทิ้งไปกองใหม่ เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย และเสียพลังงาน เลือกกองทุนดีดีแล้วถือครองระยะยาวดีกว่าเยอะ ผลตอบแทนจากการลงทุนจะมาจากการซื้อแล้วถือยาวครับไม่ใช่ซื้อขายบ่อยๆ
ถ้างั้นพร้อมแล้วเรามาเจาะลึกกองทุนกรุงศรีหุ้นปันผล KFSDIV กันดีกว่า เรื่องควรรู้คือ กองทุนนี้ตั้งปี 2550 ( หรือปี 2007)
หนังสือชี้ชวนของกองทุนบอกว่า กองทุนกรุงศรีหุ้นปันผลนั้นมีนโยบายตามนี้
จุดประสงค์การลงทุน : สร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอจากเงินปันผลของหุ้นที่ลงทุนรวมทั้งผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแก่ผู้ถือหน่วยลงทุน
นโยบายเงินปันผล : ไม่เกินปีละ 12 ครั้งโดยพิจารณาจากผลการดำเนินงานสิ้นสุดตามช่วงเวลาที่บริษัทจัดการเห็นสมควร
นโยบายการลงทุน : ลงทุนในหุ้นทุนอย่างน้อยร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลดีเป็นลำดับแรก และหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดต่ำถึงปานกลาง (Small and Medium Market Capitalization) เป็นลำดับถัดไป โดยจะไม่ตัดสิทธิของกองทุนในการลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูง บริษัทจัดการจะวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับผลการดาเนินงานหรือฐานะการเงินของบริษัทเพื่อพิจารณาความสามารถในการจ่ายเงินปันผลในอนาคต อย่างน้อยปี ละ 1 ครั้ง หากมีการเปลี่ยนแปลงผลการดำเนินงานหรือฐานะทางการเงินของบริษัทผู้ออกตราสารอย่างมีนัยสาคัญ ก็จะพิจารณาปรับเปลี่ยนการลงทุนในหุ้นดังกล่าวให้เหมาะสม
เรามาดูกันว่ากองทุนได้ลงทุนตามนั้นหรือไม่ จากการเจาะกองทุนด้วยรายงานประจำปีย้อนหลัง 6 ปี ช่วงปี 2008-2013 พบว่า โดยเฉลี่ยกองทุนจะลงในหุ้นประมาณ 20-25 ตัว และพบว่า มีหุ้นบางตัว TISCO MAKRO MBK BKI AYUD SE-ED ที่ลงทุนตั้งแต่ตั้งกองทุนมาจนถึงปัจจุบัน แต่หุ้นที่เป็นลูกรักของกองทุนเท่าที่เห็นมีตามนี้ครับ
1. TISCO ธนาคารทิสโก้ อันนี้ลงทุนมาตั้งแต่เปิดกองเลย ถือเฉลี่ยที่สัดส่วน 10% ของมูลค่าเงินลงทุนได้ซื้อหนักๆตอนตลาดตกปี 2008
2. MAKRO ห้างแม็คโครก็ถือมานานครับ ต้นทุนอยู่แถวๆ 60-150 บาท แต่ปัจจุบันขายไปแล้วตอน CPALL ซื้อกิจการ
3. BEC หรือ ช่อง 3 ถือมาตั้งแต่ปี 2009 ในสัดส่วนประมาณ 4% ตลอดมาครับ
4. CPALL หรือเซเว่น ถือมาแต่ปี 2009 พร้อม BEC ลงทุน CPALL หนักครับ 10% ของพอร์ตแต่ล่าสุดเหลือแค่เกือบๆ 4%
5. ADVANC หรือค่ายมือถือเอไอเอสนี่ถือมาแต่แรกๆครับ มาลดลงตอนหลังๆ แถมหายไปช่วยนึงด้วย
6. LH แลนด์แอนด์เฮาส์นี่ก็ถือมา 2-3 ปี ส่วนห้างมาบุญครอง MBK ถือมาแต่ปีแรกๆ
7. SCC ปูนใหญ่ ปั๊มบางจาก BCP ธนาคารธนชาต TCAP พวกนี้ซื้อช่วงปี 2011 ช่วงน้ำท่วม
8. GLOW โรงไฟฟ้านี่ติดพอร์ตตลอดทุกปี ถือที่ 5-7% เข้าใจว่าจ่ายปันผลดีเลยถือนาน
9. LPN ค่ายอสังหาลุมพินีเข้ามาตอนปี 2011 และเป็นหุ้นถือลงทุนในระดับเกิน 7% ในปัจจุบัน
10 สุดท้ายม้ามืดของปีนี้เป็นหุ้นถือลงทุนในสัดส่วนสูงสุด (ณ เมษา 57) คือ INTUCH บริษัทแม่ของ AIS ครับ
ความเห็นโดยส่วนตัว กองทุน KFSDIV มีสไตล์ครับ หุ้นที่ถือแม้จะดุว่ามีเยอะเกือบ 25 ตัว แต่ตัวที่เน้นๆลงทุนเกิน 4-5% ตลอดในช่วงหกปีที่ผ่านมา (เป็นสัดส่วนที่ผมว่ามีนัยนะสำคัญในการลงทุน) ได้แก่ TISCO LPN GLOW CPALL MAKRO BEC ADVANC BCP SCC LH ซึ่งผมว่าธุรกิจของบริษัทเหล่านี้และตัวหุ้นสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนครับ และส่วนใหญ่ 5-6 ตัวแรกของแต่ละปีจะมีสัดส่วนรวมกันประมาณเกือบ 50-60% ของพอร์ตกองทุน
"โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลดีและหุ้นที่มีราคาหลักทรัพย์ตามราคาตลาดต่ำถึงปานกลาง"
สำหรับผมแล้วเขาลงทุนได้ตามที่พูดแล้วก็ลงทุนในแนวที่บอกคงเส้นคงวาตามสไตล์ครับ หุ้นอย่าง TISCO LPN BEC ADVANC INTUCH GLOW BCP เป็นหุ้นที่อัตราการจ่ายเงินปันผลสูงครับ Yield ดี ประมาณ 4% ขึ้นไป CPALL MAKRO SCC LH พวกนี้ก็จ่ายปันผลดีครับ แต่ราคาปัจจุบันสูงจนอัตราปันผล yield เทียบกับราคามันลดลงมาก แต่ต้นทุนที่กองทุนซื้อมาตอนปีก่อนๆถือว่าใช้ได้ครับ แถมบริษัทพวกนี้ปัจจัยพื้นฐานดี และน่าจะเติบโตมีความสามารถในการทำกำไร เติบโตไปได้อีกเรื่อยๆครับ (ยกตัวอย่างในสายตาผมเช่น TISCO LPN CPALL ADVANC) และกองทุน KFSDIV ถือหุ้นยาวครับ แม้จะมีการขายทิ้งบ้างในระหว่างปี แต่ยังอยู่กับหุ้นตัวเก่าๆซะส่วนใหญ่ครับ ผมให้ผ่านครับ สำหรับแนวทางการลงทุนและผลงานที่ผ่านมา
ถ้างั้นเรามาดูเรื่องผลตอบแทนย้อนหลังครับ มีแนวทางการลงทุนที่ดีแล้ว มีผลตอบแทนดีด้วยหรือเปล่า
แล้วเงินปันผลล่ะ
จะเห็นว่าผลตอบแทนกองทุนอยู่ในระดับดีเลยครับ ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (คิดแบบรวมเงินปันผลด้วยนะครับ) อยู่ในระดับ 31.5% ต่อปี เทียบกับกองทุนดัชนี SET50 อย่าง TMB50 ของค่ายทหารไทยเป็นตัวแทนให้ผลตอบแทนย้อนหลังที่ 29% ต่อปี ซึ่งก็ต่างกันนิดเดียวเอง(อ้างอิงจาก morningstar นะครับ)โดยรวมแล้วผมจัดให้กองทุน KFSDIV อยู่ในระดับที่ดีมากในสายตาผมเลย แต่ยังไม่ถึงขั้นดีเยี่ยมนะครับ ถ้าวัดสไตล์การลงทุนมีเจ้าอื่นถูกใจกว่า
สุดท้ายล่ะ วิธีลงทุนของผม กองนี้ผมแนะนำให้แม่ครับ เพราะผมไม่ชอบกองทุนที่มีการจ่ายเงินปันผลเท่าไหร่ ที่ผมอยากจะฝากคือ ถึงแม้มันจะเป็นกองทุนที่มีปันผล NAV จะขึ้น หรือกองทุนจะจ่ายปันผลได้ขึ้นอยู่กับกำไรที่กองทุนทำได้เท่านั้น ซึ่งกำไรมาจากหุ้นที่กองทุนถือนั้นราคาสูงขึ้นหรือกองทุนขายหุ้นที่ราคาสูงกว่าราคาตอนซื้อมาก็คือมีกำไรตอนขายนั่นล่ะครับหรืออีกกรณีหนึ่งคือกำไรมาจากหุ้นที่กองทุนถือนั้นจ่ายเงินปันผลให้กองทุน ดังนั้นหุ้นที่กองทุนถือ กับฝีมือการลงทุนของบลจ.จึงสำคัญมากครับ แล้วการซื้อกองทุนประเภทจ่ายเงินปันผล ผมจะซื้อเมื่อหุ้นมันตกครับ โดยเฉพาะถ้า 5 อันดับแรกที่กองทุนถือราคาร่วงลงแรงทุกตัวเป็นโอกาสดีที่จะช้อนซื้อครับ และเวลาได้เงินปันผลผมก็จะให้แม่เก็บเอาไว้ ไม่เอาไปซื้อกองทุนอีกรอบทันที เพราะปันผลที่ได้มา มันก็คือ NAV กองทุนที่หักออกมานั่นล่ะ การซื้อหลังปันผลทันที ผมจึงว่ามันไม่เกิดประโยชน์อะไรครับ แล้วส่วนตัวถ้าจะลงทุนเกิน 10 ปีขึ้นไป กองทุนไม่ปันผลดีกว่ามากๆครับ ไม่ต้องเสียภาษีปันผล แถมให้เงินลงทุนทบต้นได้เรื่อยๆด้วย กองทุนจ่ายปันผลจึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดมาใช้ระหว่างปีมากกว่าครับ แต่ก็แล้วแต่สไตล์แต่ละคนลางเนื้อชอบลางยาครับ แต่อย่างหนึ่งสำหรับการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนหุ้นนั้นหลักการลงทุนนั้นเหมือนกันครับ ต้องลงทุนในระยะยาว ตัดสินใจให้ดี ทำการบ้าน เลือกแล้วถือครองกองทุนที่ผลงานดีสม่ำเสมอเอาไว้จนเกษียณนั่นล่ะ เป็นหลักการลงทุนที่ผมยึดถือเสมอมาและจะทำต่อไปครับ ยิ่งลงทุนผมยิ่งพบครับว่า "อุปสรรคสำคัญในการลงทุนไม่ได้อยู่ที่ไหนอยู่ที่ตัวเราเองซะเป็นส่วนใหญ่ครับ T T" สู้ๆครับนักลงทุนทุกท่าน