"ราชบัณฑิต" แฉแผนสร้างสุญญากาศ หวังใช้รธน.มาตรา 7 จวก"คิดไม่เข้าท่า"
ชี้ถ้าไม่ยอมกันเสี่ยงนองเลือด
ดร. ลิขิต ธีรเวคิน ราชบัณฑิต และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดร. ลิขิต ธีรเวคิน ราชบัณฑิต และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์
กรณีข้อเสนอนายชัยเกษม นิติสิริ ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ใช้รัฐธรรมนูญ
มาตรา 7 ว่า หลักการแล้ว การใช้มาตรา 7 จะต้องไม่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้นต้องเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่สถานการณ์ขณะนี้เป็นเพราะมีฝ่ายการเมืองบางกลุ่มต้องการ
ทำให้เกิดสุญญากาศ มีการกระทำในลักษณะเป็นลูกระนาด เป็นการวางแผนให้เกิดรัฐธรรมนูญ
มาตรา 7 เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล คณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) หรือฝ่ายใดก็ตามที่จะเสนอ
ให้ใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 7 เป็นความคิดที่ไม่เข้าท่า และไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม ไม่มีสิทธิเสนอรัฐธรรมนูญ
มาตรา 7 ทั้งสิ้น
"ส่วนทางออกจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าทั้งสองฝ่ายจะยอมหรือไม่ เพราะถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอม
ก็ต้องพัง เช่น การเจรจา ซึ่งการเจรจานั้น ผู้เจรจาจะต้องเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง ไม่ใช่นอมินี หาก
ไม่ยอมกันก็ไม่มีทางเลี่ยงที่จะเกิดการนองเลือด ทั้งนี้ คิดว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะตัดสินอย่างไรนั้น
ต้องถามว่าศาลตัดสินหรือมีคำสั่งให้ตัดสิน ซึ่งมันคนละเรื่องกัน" นายลิขิตกล่าว
สำหรับมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 บัญญัติไว้ดังนี้
“มาตรา 7 ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตาม
ประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1397446648&grpid=00&catid=&subcatid=
ไชยันต์ ชี้ ชัยเกษม ใช้มาตรา 7 เท่ากับฝ่ายรัฐบาล ลดตัวลงมาเท่ากับกลุ่ม กปปส. เรียบร้อยแล้ว
ดร. ไชยันต์ ไชยพร คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึง กรณีนายชัยเกษม นิติสิริ
ปฏิบัติหน้าที่รมว.ยุติธรรม จะเสนอให้รัฐบาลใช้วิธีการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ว่า คิดว่าการที่
นายชัยเกษมและพรรคเพื่อไทยมีปฏิกิริยาก่อนหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินนั้นก็เพื่อต้องการที่
จะสร้างเงื่อนไขในเชิงข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาสู่เกมการเมือง
ถ้าพูดแบบนี้ทางรัฐบาลก็ไม่ต่างอะไรกับแกนนำ กปปส. ที่เวลานายสุเทพพูดถึงรัฏฐาธิปัตย์ก็จะ
บอกว่า ถ้าเกิดสุญญากาศแล้ว ตัวเองจะเป็นผู้ทูลเกล้าฯถวายสนองพระบรมราชโองการ การกระทำ
เช่นนั้นเท่ากับว่าฝ่ายรัฐบาลได้ลดตัวลงมาเท่ากับกลุ่ม กปปส. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ยิ่งสมมุติหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินแล้วให้ทั้งนายกรัฐมนตรีและ ครม.พ้นสภาพจริง แล้วทางรัฐบาล
ไม่ยอมรับ คำถามคือคุณจะขึ้นทูลเกล้าฯในฐานะใด เพราะเมื่อศาลตัดสิน คุณจะเป็นประชาชนทั่วไป
ไม่ได้เป็นนายกฯ หรือรัฐมนตรีแล้ว จะมีสถานะเท่ากับนายสุเทพ ทางรัฐบาลจะไม่ต่างอะไรกับคนที่
โดนตัดสินโทษแล้วขอความเมตตา เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งไม่ควร ทำให้เสียภาพลักษณ์ เป็นถึงคณะ
รัฐบาลไม่ใช่ผู้นำม็อบ
ทั้งรัฐบาลหรือกลุ่ม กปปส.ทำนั้นต่างไม่เหมาะสมทั้งสิ้น อย่างนายสุเทพที่จะยื่นเสนอนายกฯคนกลาง
คำถามคือ คุณมีอำนาจใด เอาความชอบธรรมมาจากใคร ฝ่ายต่อต้านกระทำ ไม่มีตำแหน่ง เขาลาออก
จากพรรคการเมืองอะไรกัน แต่ทางฝั่งรัฐบาลซึ่งอยู่ภายใต้พระปรมาภิไธย ทำหน้าที่รักษาการไม่ควรจะ
ลดตัวไปทำสิ่งเดียวกัน ยิ่งหากพูดแล้วสุดท้ายรัฐบาลไม่ทำจริงนี่ ยิ่งทำให้เหมือนกับว่ารัฐบาลเล่นขาย
ของ ทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลและตัวรัฐมนตรีเสียเอง ต่างจากผู้นำม็อบที่อยากพูดอะไรก็พูด
ทั้งนี้ การที่คนมองว่าที่รัฐบาลจะใช้กลยุทธ์มาตรา 7 เช่นเดียวกันนี้จะป้องกันการเกิดสุญญากาศ
การเมืองได้ ผมกลับมองว่า การกระทำเช่นนี้ไม่ได้ช่วยอะไร แต่ทำให้ทางรัฐบาลและ กปปส.จะยิ่ง
แข่งกัน เพราะฝั่ง กปปส.ก็จะทูลเกล้าฯ ทางฝั่งรัฐบาลก็จะทูลเกล้าฯ แล้วจะสงบได้อย่างไร เพราะ
ฉะนั้น หัวใจสำคัญของทางพรรคเพื่อไทยและทางกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
(นปช.) ที่ต้องคิดคือ ถ้ารักษาคนไม่ได้ จะรักษาพรรคไว้ ด้วยการให้พรรคกลับมาทำงานด้วยคะแนน
เสียงเลือกตั้ง เพราะฉะนั้น เขายอมเสีย น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ แต่ไม่ยอมเสียการเลือกตั้ง
สำหรับตอนนี้สิ่งที่ทางพรรคเพื่อไทยและทาง นปช.ยอมได้คือ ถ้าถึงเวลาศาลมีคำตัดสินให้ทางนายกฯ
และ ครม.พ้นสภาพ ก็ยังเหลือรัฐมนตรีบางคนที่ไม่ได้อยู่ในชุดคณะที่โยกย้ายตำแหน่งนายถวิล น่าจะเป็น
สิ่งที่พรรคจะนำมายืนยันได้ว่ายังเหลือรัฐมนตรีรักษาการต่อได้ ถึงแม้จะเหลือไม่กี่คนก็ตาม หรืออาจจะ
เป็นปลัดกระทรวงที่จะรักษาการต่อไปได้
แต่ทั้งนี้ที่สำคัญที่สุดคือ ทางพรรคเพื่อไทยต้องรักษาทางที่นำไปสู่การเลือกตั้งมากกว่ายอมให้เกิด
นายกฯคนกลาง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1397445376&grpid=00&catid=&subcatid=
มองให้รอบด้าน เมื่อรัฐบาลคิดอะไร ไม่เข้าท่า ก็ต้องเอามาบอกติ ติง กัน
ชื่นชมอ.จ.ทั้ง 2 ท่าน และสื่อ ที่นำเสนอข่าวนี้ ก็เลยเอามาแปะ ให้เพื่อนๆ อ่านกัน
ดร.ลิขิต ธีรเวคิน .... นายกฯม.7 ใครก็ตามที่เสนอ "คิดไม่เข้าท่า" มติชนออนไลน์
ชี้ถ้าไม่ยอมกันเสี่ยงนองเลือด
ดร. ลิขิต ธีรเวคิน ราชบัณฑิต และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดร. ลิขิต ธีรเวคิน ราชบัณฑิต และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์
กรณีข้อเสนอนายชัยเกษม นิติสิริ ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ใช้รัฐธรรมนูญ
มาตรา 7 ว่า หลักการแล้ว การใช้มาตรา 7 จะต้องไม่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้นต้องเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่สถานการณ์ขณะนี้เป็นเพราะมีฝ่ายการเมืองบางกลุ่มต้องการ
ทำให้เกิดสุญญากาศ มีการกระทำในลักษณะเป็นลูกระนาด เป็นการวางแผนให้เกิดรัฐธรรมนูญ
มาตรา 7 เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล คณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) หรือฝ่ายใดก็ตามที่จะเสนอ
ให้ใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 7 เป็นความคิดที่ไม่เข้าท่า และไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม ไม่มีสิทธิเสนอรัฐธรรมนูญ
มาตรา 7 ทั้งสิ้น
"ส่วนทางออกจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าทั้งสองฝ่ายจะยอมหรือไม่ เพราะถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอม
ก็ต้องพัง เช่น การเจรจา ซึ่งการเจรจานั้น ผู้เจรจาจะต้องเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง ไม่ใช่นอมินี หาก
ไม่ยอมกันก็ไม่มีทางเลี่ยงที่จะเกิดการนองเลือด ทั้งนี้ คิดว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะตัดสินอย่างไรนั้น
ต้องถามว่าศาลตัดสินหรือมีคำสั่งให้ตัดสิน ซึ่งมันคนละเรื่องกัน" นายลิขิตกล่าว
สำหรับมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 บัญญัติไว้ดังนี้
“มาตรา 7 ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตาม
ประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1397446648&grpid=00&catid=&subcatid=
ไชยันต์ ชี้ ชัยเกษม ใช้มาตรา 7 เท่ากับฝ่ายรัฐบาล ลดตัวลงมาเท่ากับกลุ่ม กปปส. เรียบร้อยแล้ว
ดร. ไชยันต์ ไชยพร คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึง กรณีนายชัยเกษม นิติสิริ
ปฏิบัติหน้าที่รมว.ยุติธรรม จะเสนอให้รัฐบาลใช้วิธีการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ว่า คิดว่าการที่
นายชัยเกษมและพรรคเพื่อไทยมีปฏิกิริยาก่อนหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินนั้นก็เพื่อต้องการที่
จะสร้างเงื่อนไขในเชิงข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาสู่เกมการเมือง
ถ้าพูดแบบนี้ทางรัฐบาลก็ไม่ต่างอะไรกับแกนนำ กปปส. ที่เวลานายสุเทพพูดถึงรัฏฐาธิปัตย์ก็จะ
บอกว่า ถ้าเกิดสุญญากาศแล้ว ตัวเองจะเป็นผู้ทูลเกล้าฯถวายสนองพระบรมราชโองการ การกระทำ
เช่นนั้นเท่ากับว่าฝ่ายรัฐบาลได้ลดตัวลงมาเท่ากับกลุ่ม กปปส. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ยิ่งสมมุติหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินแล้วให้ทั้งนายกรัฐมนตรีและ ครม.พ้นสภาพจริง แล้วทางรัฐบาล
ไม่ยอมรับ คำถามคือคุณจะขึ้นทูลเกล้าฯในฐานะใด เพราะเมื่อศาลตัดสิน คุณจะเป็นประชาชนทั่วไป
ไม่ได้เป็นนายกฯ หรือรัฐมนตรีแล้ว จะมีสถานะเท่ากับนายสุเทพ ทางรัฐบาลจะไม่ต่างอะไรกับคนที่
โดนตัดสินโทษแล้วขอความเมตตา เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งไม่ควร ทำให้เสียภาพลักษณ์ เป็นถึงคณะ
รัฐบาลไม่ใช่ผู้นำม็อบ
ทั้งรัฐบาลหรือกลุ่ม กปปส.ทำนั้นต่างไม่เหมาะสมทั้งสิ้น อย่างนายสุเทพที่จะยื่นเสนอนายกฯคนกลาง
คำถามคือ คุณมีอำนาจใด เอาความชอบธรรมมาจากใคร ฝ่ายต่อต้านกระทำ ไม่มีตำแหน่ง เขาลาออก
จากพรรคการเมืองอะไรกัน แต่ทางฝั่งรัฐบาลซึ่งอยู่ภายใต้พระปรมาภิไธย ทำหน้าที่รักษาการไม่ควรจะ
ลดตัวไปทำสิ่งเดียวกัน ยิ่งหากพูดแล้วสุดท้ายรัฐบาลไม่ทำจริงนี่ ยิ่งทำให้เหมือนกับว่ารัฐบาลเล่นขาย
ของ ทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลและตัวรัฐมนตรีเสียเอง ต่างจากผู้นำม็อบที่อยากพูดอะไรก็พูด
ทั้งนี้ การที่คนมองว่าที่รัฐบาลจะใช้กลยุทธ์มาตรา 7 เช่นเดียวกันนี้จะป้องกันการเกิดสุญญากาศ
การเมืองได้ ผมกลับมองว่า การกระทำเช่นนี้ไม่ได้ช่วยอะไร แต่ทำให้ทางรัฐบาลและ กปปส.จะยิ่ง
แข่งกัน เพราะฝั่ง กปปส.ก็จะทูลเกล้าฯ ทางฝั่งรัฐบาลก็จะทูลเกล้าฯ แล้วจะสงบได้อย่างไร เพราะ
ฉะนั้น หัวใจสำคัญของทางพรรคเพื่อไทยและทางกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
(นปช.) ที่ต้องคิดคือ ถ้ารักษาคนไม่ได้ จะรักษาพรรคไว้ ด้วยการให้พรรคกลับมาทำงานด้วยคะแนน
เสียงเลือกตั้ง เพราะฉะนั้น เขายอมเสีย น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ แต่ไม่ยอมเสียการเลือกตั้ง
สำหรับตอนนี้สิ่งที่ทางพรรคเพื่อไทยและทาง นปช.ยอมได้คือ ถ้าถึงเวลาศาลมีคำตัดสินให้ทางนายกฯ
และ ครม.พ้นสภาพ ก็ยังเหลือรัฐมนตรีบางคนที่ไม่ได้อยู่ในชุดคณะที่โยกย้ายตำแหน่งนายถวิล น่าจะเป็น
สิ่งที่พรรคจะนำมายืนยันได้ว่ายังเหลือรัฐมนตรีรักษาการต่อได้ ถึงแม้จะเหลือไม่กี่คนก็ตาม หรืออาจจะ
เป็นปลัดกระทรวงที่จะรักษาการต่อไปได้
แต่ทั้งนี้ที่สำคัญที่สุดคือ ทางพรรคเพื่อไทยต้องรักษาทางที่นำไปสู่การเลือกตั้งมากกว่ายอมให้เกิด
นายกฯคนกลาง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1397445376&grpid=00&catid=&subcatid=
มองให้รอบด้าน เมื่อรัฐบาลคิดอะไร ไม่เข้าท่า ก็ต้องเอามาบอกติ ติง กัน
ชื่นชมอ.จ.ทั้ง 2 ท่าน และสื่อ ที่นำเสนอข่าวนี้ ก็เลยเอามาแปะ ให้เพื่อนๆ อ่านกัน