ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าทุกคนเคยผ่านการวิจารณ์คนอื่น ไม่ว่าจะเรื่องเล็ก เรื่องน้อย หรือแม้กระทั้งเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเราเอง
แต่ก็คงไม่แปลกหรอกนะครับ เพราะสังคมไทยเดี๋ยวนี้มันไม่มีอะไรที่จะช่วยยึดจิตใจผู้คนเอาไว้ได้ จนบางครั้งคนเราก็พูดวิจารณ์
คนอื่นจนลืมดูตัวเองว่า
-ตัวเรานี้ดีพอแล้วหรือยัง
-ลืมคิด ขาดสติ
-อยากที่จะวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเพราะคนนั้นกำลังโดนสังคมแพ่งเล่งอยู่
-อิจฉา อยากได้ อยากเป็น เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ก่อกำเนิดมาจากการที่เรา
ขาดสติ ขาดวิจารณญาณในการไตร่ตรอง
ทั้งที่บางครั้งนั้นมันไม่เป็นความจริงไม่มีมูล แต่เราก็ยังจะพูด และยังไปพูดไปว่าเขาในหลากหลายรูปแบบ
บางครั้งก็พูดแรงจนเกินไป แล้วในคนบางจำพวกก็ไปพูดไปว่าแล้วไม่พอ หนำซ้ำยังไปด่าเขาอีก เช่น"

พ่อแม่ไม่สอน" ยังงี้เป็นต้น
(จะเจอบ่อยหากเราเคยลองอ่านข่าวทางโซเชียล) ซึ่งหากเรามองย้อนไปในตัวผู้วิจารณ์บางท่านบางคนนั้นแล้ว
พวกเขาไม่อยู่ในสถานะที่จะไปวิจารณ์คนอื่นหรือไปด่าคนอื่นได้เลย แต่ทำไมตัวพวกเขาเหล่านี้ยังไปวิจารณ์ไปด่าคนอื่นเขาอยู่อีก หรือตัวพวกเขาเหล่านี้นั้นลืมมองดูตัวเองในกระจกว่าตัวเองเป็นอย่างไรหรือเพียงแค่คิดว่าสนุกปากที่ได้พูดได้ว่าคนอื่นเขา
ซึ่งตัวเราเองนั้นคิดว่าการที่เราไปวิจารณ์คนอื่น เราวิจารณ์ได้แต่ควรที่จะอยู่ใน
มาตราฐานของความพอดี มิใช่ใส่อะไรได้ก็ใส่หมด มันไม่ใช่การผัดกะเพรานะครับเพราะบางครั้งคำพูดมันอาจแรงเกินไปสำหรับตัวผู้ถูกวิจารณ์ แต่ถ้าเป็นไปได้เราควรอยู่ในที่ของเรา
ทำหน้าที่ของเราให้ดีแค่นั้นก็พอ ไม่ต้องไปดิ้นรนหาคำพูดมาเพื่อจะวิจารณ์คนอื่นเขา หรือหากเราทนไม่ได้ละอยากจะพูด
ลองมองในทุกๆแง่มุม ในทุกส่วนที่เขาเป็น ลองคิดสักนิด ลองใช้สมองมากกว่าใช้มือกดแป้นพิมพ์สักหน่อย
แล้วลองถามตัวเองดูว่า ไปพูดไปวิจารณ์คนอื่นแล้วเราได้อะไรกลับมา เรามีความสุขไหม พูดเพื่ออะไร?
เท่านี้แหละ คุณก็จะช่วยเยี่ยวยาสังคมเราได้ถึงจะช่วยไม่ได้เยอะ ก็ยังได้ช่วย ดีกว่าไปโว้ยวายตีโพตีพายเกล่าหาคนอื่นแล้วมานั้งเซ็งจิตภายหลัง
ปล.ภาพรวมที่เรามองเห็น ใครมีอะไรจะเพิ่มเติมก็เชิญได้นะครับ
วิจาณ์คนอื่นจนลืมมองดูตัวเองในกระจก?
แต่ก็คงไม่แปลกหรอกนะครับ เพราะสังคมไทยเดี๋ยวนี้มันไม่มีอะไรที่จะช่วยยึดจิตใจผู้คนเอาไว้ได้ จนบางครั้งคนเราก็พูดวิจารณ์
คนอื่นจนลืมดูตัวเองว่า
-ตัวเรานี้ดีพอแล้วหรือยัง
-ลืมคิด ขาดสติ
-อยากที่จะวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเพราะคนนั้นกำลังโดนสังคมแพ่งเล่งอยู่
-อิจฉา อยากได้ อยากเป็น เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ก่อกำเนิดมาจากการที่เราขาดสติ ขาดวิจารณญาณในการไตร่ตรอง
ทั้งที่บางครั้งนั้นมันไม่เป็นความจริงไม่มีมูล แต่เราก็ยังจะพูด และยังไปพูดไปว่าเขาในหลากหลายรูปแบบ
บางครั้งก็พูดแรงจนเกินไป แล้วในคนบางจำพวกก็ไปพูดไปว่าแล้วไม่พอ หนำซ้ำยังไปด่าเขาอีก เช่น"
(จะเจอบ่อยหากเราเคยลองอ่านข่าวทางโซเชียล) ซึ่งหากเรามองย้อนไปในตัวผู้วิจารณ์บางท่านบางคนนั้นแล้ว พวกเขาไม่อยู่ในสถานะที่จะไปวิจารณ์คนอื่นหรือไปด่าคนอื่นได้เลย แต่ทำไมตัวพวกเขาเหล่านี้ยังไปวิจารณ์ไปด่าคนอื่นเขาอยู่อีก หรือตัวพวกเขาเหล่านี้นั้นลืมมองดูตัวเองในกระจกว่าตัวเองเป็นอย่างไรหรือเพียงแค่คิดว่าสนุกปากที่ได้พูดได้ว่าคนอื่นเขา
ซึ่งตัวเราเองนั้นคิดว่าการที่เราไปวิจารณ์คนอื่น เราวิจารณ์ได้แต่ควรที่จะอยู่ในมาตราฐานของความพอดี มิใช่ใส่อะไรได้ก็ใส่หมด มันไม่ใช่การผัดกะเพรานะครับเพราะบางครั้งคำพูดมันอาจแรงเกินไปสำหรับตัวผู้ถูกวิจารณ์ แต่ถ้าเป็นไปได้เราควรอยู่ในที่ของเรา
ทำหน้าที่ของเราให้ดีแค่นั้นก็พอ ไม่ต้องไปดิ้นรนหาคำพูดมาเพื่อจะวิจารณ์คนอื่นเขา หรือหากเราทนไม่ได้ละอยากจะพูด
ลองมองในทุกๆแง่มุม ในทุกส่วนที่เขาเป็น ลองคิดสักนิด ลองใช้สมองมากกว่าใช้มือกดแป้นพิมพ์สักหน่อย
แล้วลองถามตัวเองดูว่า ไปพูดไปวิจารณ์คนอื่นแล้วเราได้อะไรกลับมา เรามีความสุขไหม พูดเพื่ออะไร?
เท่านี้แหละ คุณก็จะช่วยเยี่ยวยาสังคมเราได้ถึงจะช่วยไม่ได้เยอะ ก็ยังได้ช่วย ดีกว่าไปโว้ยวายตีโพตีพายเกล่าหาคนอื่นแล้วมานั้งเซ็งจิตภายหลัง
ปล.ภาพรวมที่เรามองเห็น ใครมีอะไรจะเพิ่มเติมก็เชิญได้นะครับ