ทำไมคนไทยข้ามถนนบนทางม้าลายถึงถูกรถกดแตรด่า
ทำไมผู้หญิงเดินคนเดียวหลังสองทุ่มจึงถูกคนเมาและวินมอเตอร์ไซค์ลวนลาม
ทำไมรถเข็นขายของจอดบนทางเดินเท้าและเลนจักรยานได้
ทำไมการเข้าคิวจึงเป็นเรื่องของคนโง่, การแซงคิวคือสิ่งที่ต้องทำไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้กิน
ทำไมรถเมล์จอดกลางถนน ไล่คนลงกลางทางและขับแข่งกัน
ทำไมคนที่ อ้างว่า “จน” สามารถทำผิดกฏหมายได้ทุกข้อ
สุดท้าย, ผู้หญิงคนนี้ก็ป่วยจนต้องพบแพทย์
(จิตแพทย์ วินิจฉัยอาการออกมา ระบุว่าเป็น “Reverse Culture Shock“
เส้นประสาทชาครึ่งซีก มีอาการของโรคซึมเศร้า)
และเจ้าตัวก็เพิ่งทราบว่า ตนไม่ใช่คนแรกที่เป็น “Reverse Culture Shock” ในเมืองไทย แต่มีคนอีกจำนวนมากที่มีอาการคล้ายกัน
วันนี้ผมได้มีโอกาสอ่าน blog ของเพื่อนๆท่านหนึ่ง ที่พูดถึงอาการ “Reverse Culture Shock”
โดยเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากผู้ที่ใช้ชีวิตในต่างแดน แล้วกลับมารับไม่ได้กลับบ้านตัวเอง จนล้มป่วย
โดยมีความเห็นประเด็นที่น่าสนใจ เกี่ยวกับความแตกต่างของสภาพสังคม ความย่ำแย่ของสังคมไทย ที่ทำให้เกิดอาการป่วย
ที่คุณสามารถตามอ่านต่อได้ทีนี่
http://goo.gl/X9wZsZ
แต่ที่ผมสนใจไม่ใช่เรื่องสภาพสังคม เป็นหลัก
ผมสนใจเรื่องอาการป่วย ซึ่งเป็นอาการซึมเศร้า ที่ผมเรียกว่า เกิดจากการโกรธแค้นสังคม
ผมสนใจ อาการป่วย จากสิ่งเหล่านี้ และย้อนกลับมามองสังคมไทย
ทุกวันนี้ คนไทยเรา มีหลายคนที่โกรธแค้น และไม่พอใจสังคมที่ตัวเองอยู่ และไม่ยอมให้อภัย คนที่ทำมัน
ใช่ไหม? แล้วคนเหล่านี้ จะต่างอะไรกับเรื่องที่ เล่ามาข้างต้น แบบนี้ห้องราชดำเนินก็มีขาเสี่ยงหลายคนทีเดียว
หรือ ให้ง่ายเข้าว่า กลุ่มที่ที่อินกับการเมืองมากๆ โกรธแค้น สังคมไทย และ ความแตกแยก
หรือแม้แต่คนที่เบื่อหน่ายกับสภาพสังคมในปัจจุบัน
เค้าก็มีอาการเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าไม่แพ้กันอย่างแน่นอน
ตัวผมเองไม่ใช่หมอ และ นักจิต ไม่ใช่ นักสังคมสงเคราะห์ อาศัยศึกษาเอาจากคำสอนศาสนา
และอยู่ในสังคมที่มีญาติพี่น้องเป็นซึมเศร้ากว่าครึ่ง ทำให้ผมเข้าใจเบื้องต้น
จุดที่น่าใจ ของความซึมเศร้าคือ คนที่เป็นซึมเศร้านั้น จะมีปมที่ไม่ยอมปล่อยเหมือนกันทุกคน
มีเรื่องที่ อยากจะเอาคืน แค้น เรื่องที่ปล่อยไม่ได้และ ไม่มีทางออกเหมือนกันทุกคน
ยิ่งผูกปมไว้มากเท่าไหร่ โอกาสที่ปมเหล่านั้นจะสะท้อนกลับตัวเองยิ่งมากเท่านั้น
ในประเด็นเรื่อง การไม่ให้อภัยสังคมนี้ ผมสรุปจากการแลกเปลี่ยนว่า
"จริงๆมันเป็นเรื่องติดในรสชาติหนะครับ คุณเคยกินอาหารแบบหนึ่ง แล้วไปติดใจอาหารอีกแบบหนึ่ง
พอกลับมากินอาหารแบบเดิมคุณกินมันไม่ได้แล้ว ความจริงอาหารก็เป็นแค่อาหารจานเดิมๆ มันเป็ฯเรื่องของโทสะจริตคือ
ยึดว่าควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
จริงอยู่ที่ ต่างประเทศดีกว่าเราและเราต้องปรับปรุง แต่ เราไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น เราพูดถึงทำไมคุณถึงทนสภาพเดิมๆ ที่คุณเคยอยู่ไม่ได้
คำตอบเป็นเรื่องของ การยึดในหลักการล้วนๆ คำว่าทำไม ทำไม ทำไม ควรจะ ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่พอพบว่าทำไมได้ คุณก็ทุกข์
กรณีแบบนี้ คุณต้องจัดการกับโทสะของคุณเองก่อนเป็นอันดับแรก หรือคือเลิกยึดใน หลักการต่างๆ ก่อนครับ ปล่อยจนคิดว่ามันเป็นธรรมดาของมันอย่างนี้ มันเป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ และ ทำมันไม่ได้เพียงคนเดียว หลักการไม่ได้ใช้ได้กับทุกที่ในโลก พอคุณปล่อยได้แล้วคุณไม่ทุกข์แล้ว คุณก็เอา ข้อดีของหลักการที่อื่นๆมาค่อยเติมเต็มสังคม ซึ่งการจะทำอย่านี้ได้นั้น ถ้าคุณยังทุกข์อยู่ คุณไม่มีทางทำได้เลย ถึงแม้จะดูมีพลังมาก แต่มันเป็นพลังของความทุกข์ที่รุนแรง ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวก หรือ การคิดในแง่บวก ซึ่งมันขาดความยั่งยืน
สำหรับอาการป่วยนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นประเทศไทย คนที่อยู่ในประเทศตัวเองแล้วไม่พอใจสังคมที่ตัวเองอยู่ ก็เกิดอาการแบบนี้ได้ทั้งสิ้น ถ้าคุณโกรธแค้นสั่งคมที่คุณอยู่อันมีรากมาจากความไม่เข้าใจสังคม ก็กลับสู่วงจรนี้อีก สุดท้าย คุณต้องให้อภัยสังคม แล้วปล่อยการควบคุมนั้นจากมือคุณไป ถ้าคุณให้อภัยสังคมได้คุณก็จะไม่ป่วย นั่นคือทางออกของอาการซึมเศร้าครับ"
สุดท้ายจากประสบการณ์รับมือกับเรื่องซึมเศร้ามาหลายปี ผมมองว่า
อาการซึมเศร้าเกือบทั้งหมดในโลกนั้น เกิดจากปมในชีวิต และ การไม่ให้อภัย
ถ้าคุณไม่รุ้จักการให้อภัยจนถึงระดับจิตใต้สำนึก คุณก็จะป่วย ยาช่วยได้แค่ประคอง
มันเป็นเรื่องแค่
"ใครไม่ปล่อยคนนั้นป่วย" สั้นๆแค่นั้นเอง
การให้อภัยนั้นไม่ใช่ แค่การให้อภัยคนที่ทำกับคุณ บางคนป่วยจากการโกรธแค้สังคมไม่เข้าใจสังคม
ถ้าคุณปล่อยไม่ได้คุณก็ป่วย
ที่น่าสนใจคือ ในทุกศาสนานั้น ได้ มีหลักการ การให้อภัยอย่างหนาแน่นอยู่แล้ว
ถ้าคุณรุ้สึกมีปมกับชีวิต ก็ควรจะเริ่มกลับไปที่การให้อภัยตามหลักการศาสนา
หรือ การให้อภัยแบบธรรมดาหรือศีลธรรมทางสังคม
ซึ่งสุดท้ายวิ่งไปจุดจบเดียวกันคือ การปล่อยวางหรือ การปล่อยให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า
คุณปล่อยก้อนหินในมือกันได้หรือยัง ผมปล่อยไปหลายก้อนแล้วแต่
ยังมีบ้างก้อนที่ผมหามันไม่เจอ เพราะปมเหล่านั้นอาจเกิดในวัยเด็ก และ ตัวผมจำมันไม่ได้
แต่จิตสำนึกผมกลับจำมันได้ดี
เคล็ดลับของขั้นตอนนี้คือคุณต้องแยกให้ออกระหว่างการปล่อยก้อนหินไปจริงๆ
กับ การหลอกตัวเองว่าไม่มีก้อนหินอยู่ในมือ
ทั้งหมดนี้คุณก็ลองทำมันได้ทันที แค่ค้นหาปมให้เจอ แล้วให้อภัยกับมันโดยเริ่มจากปมที่คุณรุ้อยู่ตรงหน้า
ขอให้สนุกกับการปล่อยวางแล้วทำให้ตัวเบานะครับ
และช่วยกันเปลี่ยนสังคมไทยให้ดีขึ้นแต่ไม่ใช่ด้วยความทุกข์ และจมไปกับมัน
ผมไม่อยากเสียพวกคุณไป ไม่ว่าใครทั้งสิ้น
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการช่วยพัฒนาสังคมไทยให้ดีขึ้นครับผม
ปล อย่างไรก็ดี การให้อภัย กับโรคซึมเศร้าก็ยังเป็เรื่องของการ เชื่อมโยงจากสมมุติฐาน
ยังไงก็เลยขอแท๊กหว้ากอเพื่อขอความเห็ฯเพิ่มเติมด้วยนะครับ
อาการป่วยจากการโกรธแค้นสังคม
ทำไมคนไทยข้ามถนนบนทางม้าลายถึงถูกรถกดแตรด่า
ทำไมผู้หญิงเดินคนเดียวหลังสองทุ่มจึงถูกคนเมาและวินมอเตอร์ไซค์ลวนลาม
ทำไมรถเข็นขายของจอดบนทางเดินเท้าและเลนจักรยานได้
ทำไมการเข้าคิวจึงเป็นเรื่องของคนโง่, การแซงคิวคือสิ่งที่ต้องทำไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้กิน
ทำไมรถเมล์จอดกลางถนน ไล่คนลงกลางทางและขับแข่งกัน
ทำไมคนที่ อ้างว่า “จน” สามารถทำผิดกฏหมายได้ทุกข้อ
สุดท้าย, ผู้หญิงคนนี้ก็ป่วยจนต้องพบแพทย์
(จิตแพทย์ วินิจฉัยอาการออกมา ระบุว่าเป็น “Reverse Culture Shock“
เส้นประสาทชาครึ่งซีก มีอาการของโรคซึมเศร้า)
และเจ้าตัวก็เพิ่งทราบว่า ตนไม่ใช่คนแรกที่เป็น “Reverse Culture Shock” ในเมืองไทย แต่มีคนอีกจำนวนมากที่มีอาการคล้ายกัน
วันนี้ผมได้มีโอกาสอ่าน blog ของเพื่อนๆท่านหนึ่ง ที่พูดถึงอาการ “Reverse Culture Shock”
โดยเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากผู้ที่ใช้ชีวิตในต่างแดน แล้วกลับมารับไม่ได้กลับบ้านตัวเอง จนล้มป่วย
โดยมีความเห็นประเด็นที่น่าสนใจ เกี่ยวกับความแตกต่างของสภาพสังคม ความย่ำแย่ของสังคมไทย ที่ทำให้เกิดอาการป่วย
ที่คุณสามารถตามอ่านต่อได้ทีนี่
http://goo.gl/X9wZsZ
แต่ที่ผมสนใจไม่ใช่เรื่องสภาพสังคม เป็นหลัก
ผมสนใจเรื่องอาการป่วย ซึ่งเป็นอาการซึมเศร้า ที่ผมเรียกว่า เกิดจากการโกรธแค้นสังคม
ผมสนใจ อาการป่วย จากสิ่งเหล่านี้ และย้อนกลับมามองสังคมไทย
ทุกวันนี้ คนไทยเรา มีหลายคนที่โกรธแค้น และไม่พอใจสังคมที่ตัวเองอยู่ และไม่ยอมให้อภัย คนที่ทำมัน
ใช่ไหม? แล้วคนเหล่านี้ จะต่างอะไรกับเรื่องที่ เล่ามาข้างต้น แบบนี้ห้องราชดำเนินก็มีขาเสี่ยงหลายคนทีเดียว
หรือ ให้ง่ายเข้าว่า กลุ่มที่ที่อินกับการเมืองมากๆ โกรธแค้น สังคมไทย และ ความแตกแยก
หรือแม้แต่คนที่เบื่อหน่ายกับสภาพสังคมในปัจจุบัน
เค้าก็มีอาการเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าไม่แพ้กันอย่างแน่นอน
ตัวผมเองไม่ใช่หมอ และ นักจิต ไม่ใช่ นักสังคมสงเคราะห์ อาศัยศึกษาเอาจากคำสอนศาสนา
และอยู่ในสังคมที่มีญาติพี่น้องเป็นซึมเศร้ากว่าครึ่ง ทำให้ผมเข้าใจเบื้องต้น
จุดที่น่าใจ ของความซึมเศร้าคือ คนที่เป็นซึมเศร้านั้น จะมีปมที่ไม่ยอมปล่อยเหมือนกันทุกคน
มีเรื่องที่ อยากจะเอาคืน แค้น เรื่องที่ปล่อยไม่ได้และ ไม่มีทางออกเหมือนกันทุกคน
ยิ่งผูกปมไว้มากเท่าไหร่ โอกาสที่ปมเหล่านั้นจะสะท้อนกลับตัวเองยิ่งมากเท่านั้น
ในประเด็นเรื่อง การไม่ให้อภัยสังคมนี้ ผมสรุปจากการแลกเปลี่ยนว่า
"จริงๆมันเป็นเรื่องติดในรสชาติหนะครับ คุณเคยกินอาหารแบบหนึ่ง แล้วไปติดใจอาหารอีกแบบหนึ่ง
พอกลับมากินอาหารแบบเดิมคุณกินมันไม่ได้แล้ว ความจริงอาหารก็เป็นแค่อาหารจานเดิมๆ มันเป็ฯเรื่องของโทสะจริตคือ
ยึดว่าควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
จริงอยู่ที่ ต่างประเทศดีกว่าเราและเราต้องปรับปรุง แต่ เราไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น เราพูดถึงทำไมคุณถึงทนสภาพเดิมๆ ที่คุณเคยอยู่ไม่ได้
คำตอบเป็นเรื่องของ การยึดในหลักการล้วนๆ คำว่าทำไม ทำไม ทำไม ควรจะ ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่พอพบว่าทำไมได้ คุณก็ทุกข์
กรณีแบบนี้ คุณต้องจัดการกับโทสะของคุณเองก่อนเป็นอันดับแรก หรือคือเลิกยึดใน หลักการต่างๆ ก่อนครับ ปล่อยจนคิดว่ามันเป็นธรรมดาของมันอย่างนี้ มันเป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ และ ทำมันไม่ได้เพียงคนเดียว หลักการไม่ได้ใช้ได้กับทุกที่ในโลก พอคุณปล่อยได้แล้วคุณไม่ทุกข์แล้ว คุณก็เอา ข้อดีของหลักการที่อื่นๆมาค่อยเติมเต็มสังคม ซึ่งการจะทำอย่านี้ได้นั้น ถ้าคุณยังทุกข์อยู่ คุณไม่มีทางทำได้เลย ถึงแม้จะดูมีพลังมาก แต่มันเป็นพลังของความทุกข์ที่รุนแรง ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวก หรือ การคิดในแง่บวก ซึ่งมันขาดความยั่งยืน
สำหรับอาการป่วยนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นประเทศไทย คนที่อยู่ในประเทศตัวเองแล้วไม่พอใจสังคมที่ตัวเองอยู่ ก็เกิดอาการแบบนี้ได้ทั้งสิ้น ถ้าคุณโกรธแค้นสั่งคมที่คุณอยู่อันมีรากมาจากความไม่เข้าใจสังคม ก็กลับสู่วงจรนี้อีก สุดท้าย คุณต้องให้อภัยสังคม แล้วปล่อยการควบคุมนั้นจากมือคุณไป ถ้าคุณให้อภัยสังคมได้คุณก็จะไม่ป่วย นั่นคือทางออกของอาการซึมเศร้าครับ"
สุดท้ายจากประสบการณ์รับมือกับเรื่องซึมเศร้ามาหลายปี ผมมองว่า
อาการซึมเศร้าเกือบทั้งหมดในโลกนั้น เกิดจากปมในชีวิต และ การไม่ให้อภัย
ถ้าคุณไม่รุ้จักการให้อภัยจนถึงระดับจิตใต้สำนึก คุณก็จะป่วย ยาช่วยได้แค่ประคอง
มันเป็นเรื่องแค่ "ใครไม่ปล่อยคนนั้นป่วย" สั้นๆแค่นั้นเอง
การให้อภัยนั้นไม่ใช่ แค่การให้อภัยคนที่ทำกับคุณ บางคนป่วยจากการโกรธแค้สังคมไม่เข้าใจสังคม
ถ้าคุณปล่อยไม่ได้คุณก็ป่วย
ที่น่าสนใจคือ ในทุกศาสนานั้น ได้ มีหลักการ การให้อภัยอย่างหนาแน่นอยู่แล้ว
ถ้าคุณรุ้สึกมีปมกับชีวิต ก็ควรจะเริ่มกลับไปที่การให้อภัยตามหลักการศาสนา
หรือ การให้อภัยแบบธรรมดาหรือศีลธรรมทางสังคม
ซึ่งสุดท้ายวิ่งไปจุดจบเดียวกันคือ การปล่อยวางหรือ การปล่อยให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า
คุณปล่อยก้อนหินในมือกันได้หรือยัง ผมปล่อยไปหลายก้อนแล้วแต่
ยังมีบ้างก้อนที่ผมหามันไม่เจอ เพราะปมเหล่านั้นอาจเกิดในวัยเด็ก และ ตัวผมจำมันไม่ได้
แต่จิตสำนึกผมกลับจำมันได้ดี
เคล็ดลับของขั้นตอนนี้คือคุณต้องแยกให้ออกระหว่างการปล่อยก้อนหินไปจริงๆ
กับ การหลอกตัวเองว่าไม่มีก้อนหินอยู่ในมือ
ทั้งหมดนี้คุณก็ลองทำมันได้ทันที แค่ค้นหาปมให้เจอ แล้วให้อภัยกับมันโดยเริ่มจากปมที่คุณรุ้อยู่ตรงหน้า
ขอให้สนุกกับการปล่อยวางแล้วทำให้ตัวเบานะครับ
และช่วยกันเปลี่ยนสังคมไทยให้ดีขึ้นแต่ไม่ใช่ด้วยความทุกข์ และจมไปกับมัน
ผมไม่อยากเสียพวกคุณไป ไม่ว่าใครทั้งสิ้น
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการช่วยพัฒนาสังคมไทยให้ดีขึ้นครับผม
ปล อย่างไรก็ดี การให้อภัย กับโรคซึมเศร้าก็ยังเป็เรื่องของการ เชื่อมโยงจากสมมุติฐาน
ยังไงก็เลยขอแท๊กหว้ากอเพื่อขอความเห็ฯเพิ่มเติมด้วยนะครับ