ปัจจุบันเราอายุ 23 ปีค่ะ ย้อนไป เดือนตุลาคม 2555 ได้คบกับผู้ชายคนนึง อายุเท่ากัน อยู่คนละมหาวิทยาลัย
แฟนเก่าเป็นประธานรุ่น เรียนนิเทศ เป็นช่างภาพอิสระ เป็นลูกคนโต มีน้อง1คน ฐานะปานกลางไม่ค่อยดีนัก
ส่วนเราเรียนไปทำงานไป ทำธุรกิจที่บ้าน มีรถขับ ฐานะค่อนข้างดี แต่ไม่รวยค่ะ มีกินมีใช้ ไม่ลำบาก (อดีตลำบากมาก่อน)
เรื่องที่จะเล่าเป็นช่วงเวลา 1 ปีที่เราคบกับเขา ปัจจุบันเลิกกันแล้วค่ะ เราเลิกกันเพราะไปกันไม่ได้ ไม่มีเรื่องชู้สาว
บางครั้งรู้สึกเราคิดในมุมของผู้หญิง เลยอยากจะแชร์เผื่อจะได้รู้ความคิดของผู้ชายกับเรื่องเราบ้าง (หรือผู้หญิงคนอื่นๆ)
ยาวสักหน่อย แต่ไม่อยากรวบรัดเรื่องมาก เพราะมันละเอียดอ่อนเรื่องความรู้สึกพอสมควรค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่า...
ตอนแฟนเก่ามาจีบ เริ่มจากคุยทางเฟสบุ๊ค เขาเข้ามาทักว่าคุ้นหน้าเรา และเคยแอบชอบเราตอน ม.ต้น
ตอนนั้นไม่เชื่อค่ะ แต่เช็คข้อมูลจากเพื่อนสนิทรู้จักและบอกว่าเป็นเรื่องจริงอยู่ เพียงแต่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยสนใจ และไม่รู้จักเขาเลย
ทีแรกไม่สนใจนะคะ แต่บอกตามตรงว่าใจอ่อนเพราะเขาบุกเราหนักมาก คุยกัน 1 สัปดาห์เราตกลงคบหากัน
เขาแสดงความเป็นแฟนที่ดีชัดเจนค่ะ ใส่ใจเรา มีเป้าหมายมองอนาคต ช่างพูดเจรจา หนักเอาเบาสู้ มีความเป็นผู้นำระดับหนึ่ง
และแสดงออกว่าต้องการเรามาก ในลักษณะของคำพูดคำจา และการกระทำที่พยายามสื่อว่าเราคือคนสุดท้ายของชีวิตเขา
ณ ความรู้สึกนั้นเราไม่ใช่คนรักเร็ว จากที่ชอบเวลาทำให้เรารักเขามากขึ้น
ส่วนเขาบอกรักเราไวพอสมควร แต่ด้วยการกระทำเราจึงค่อยๆ ซึมซับความดีของเขา
และเขาเป็นคนเทคแคร์ความรู้สึกคนในครอบครัวมาก
เราได้ไปเจอพ่อกับแม่เขาที่บ้าน พ่อกับแม่เขาโอเคกับเรามากค่ะ เราเป็นคนสบายๆ อ่อนน้อม และอัธยาศัยดี
จึงไม่เคยมีปัญหากับการรู้จักพ่อแม่แฟน แต่กับพ่อแม่เราเขาไม่เข้าหา เพราะรู้สึกเข้าไม่ได้ก็ไม่พยายาม แต่เราไม่เคยบังคับ
เขาเป็นคนมีอีโก้สูงค่ะ อะไรที่ไม่ชอบไม่ค่อยปรับ (ถ้าปรับสุดท้ายแล้วคือฝืน)
และอะไรที่ต้องรอจะรอไม่ได้ เพราะเป็นคนอารมณ์ร้อนขี้หงุดหงิด
และจะอารมณ์เสียมากกับการรอ เรารับรู้นิสัยนี้จากการคบเขามาสักพัก แต่เขามักบอกเราว่า "พื้นฐานความรักคือความเข้าใจ"
คบได้ 1-2 เดือนเขาอยากออกมอเตอร์ไซด์ใหม่ มาปรึกษาเรา เรามองว่าจะผ่อนไหวรึเปล่า แต่เขารับปากว่าไหว
อธิบายรายได้เขาจากตรงนั้นตรงนี้ (ซึ่งจริงๆ แค่พอดีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่าย) พ่อแม่เขาแอบห้ามเขาเบาๆ เตือนเราว่าอย่าตามใจมาก
แต่ด้วยความดื้อของเขา และเราเป็นคนตัดสินใจเร็ว เรามองว่าถ้าเหตุผลเขาเพียงพอจะซื้อมาใช้ ด้วยความเป็นผู้ชาย
เราเชื่อว่าเขาจะรับผิดชอบในสิ่งที่เขาพูดกับเรา เราจึงใช้ชื่อเราออกรถให้ ส่วนเขาจะเป็นคนผ่อนเอง
วันนั้นเขาเอารถมีโอเก่าไปเทิร์นดาวน์ได้ 7000 ซื้อ PCX 150 แต่ในสัญญาเรามาดูอีกที ร้านไม่ได้ลงดาวน์ 7000 เลย(มารู้ทีหลัง)
ตลอด 6 เดือนเขาทำหน้าที่ได้ดีค่ะ แต่การเงินติดขัดอยู่บ้าง เราก็ช่วยเขาตลอด ตอนเราช้อตเขามีก็ให้ ตอนเขาช้อตเราก็ช่วย
สรุปเขามีกำลังผ่อนรถได้ไม่ครบ 6 เดือน มีเป็นเงินเราบ้าง และเราขายของออนไลน์+เงินเดือนเรามากกว่าเขา เลยช่วยจ่ายไปบางงวด
ต่อมาโทรศัพท์บีบีเขาพัง เขาอยากได้โทรศัพท์ใหม่ ช่วงมีนา 56 มีงานโมบายเอ็กซ์โป ก็ชวนกันไปดู
ตัวเราเองไม่ได้ซื้ออะไร แต่เขาบอกเขาอยากได้สมาร์ทโฟนเอามาใช้ติดต่องาน บลาๆๆๆๆ ให้เหตุผลกับเราทั้งที่ตอนแรกเราห้าม
และบอกให้คิดดีๆ เพราะมันคือภาระของเขา ส่วนเรามีบัตรเครดิต เรารูดให้เขาได้ แต่เขาจะต้องจ่ายไหว
เขาก็บอกโอเค ตอนแรกจะไปเอา Samsung Note 2 (รึเปล่าไม่แน่ใจ รุ่นที่มาใหม่ช่วงนั้นค่ะ)ไม่ก็ Iphone 5
แต่เขาบอกไอโฟนเกินตัว จะเอาซัมซุงดีมั๊ย เราบอกราคามันเกินไป เอามาใช้งานและกำลังเงินไม่ถึงลดมาใช้เอนดรอยตัวอื่นก่อนมั๊ย
กว่าเขาจะตัดสินใจได้ เราพยายามพูดให้เขาเข้าใจ สรุปคือได้รุ่นอื่นยี่ห้ออื่นมา ราคาต่ำกว่า 20000 ค่ะ แต่สเป็คโอเค
จำได้ว่าช่วงนี้เราทำงานเก็บเงิน และเซอไพรซ์เขาด้วยการหาเงินไปเอากล้องเขาออกมา
ที่ไปจำนำเพราะต้องเอามารักษาตัวสมัยก่อนคบกับเรา เคยรถคว่ำค่ะ และต้องเอากล้องไปจำมาจ่ายค่าเทอม
เรารู้สึกอยากช่วย และมันอาจจะเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ที่จะช่วยเขาได้ ก็เลยช่วยเขา
ต่อมาเขาจุดประกายอยากทำฟาร์มปลาปอมปาดัวร์ เพราะไปเดินสวนจตุจักรด้วยกันแล้วเราอยากเลี้ยงเหมือนกัน
ลงทุนซื้อตู้ ซื้อปลามาเลี้ยงด้วยกัน จำได้ว่าเราจ่ายค่าตู้ค่าปลาเองนะ แต่ไม่ซีเรียสอะไร เพราะตอนนั้นเขาไม่มี แต่เรามีเราก็อยากเลี้ยง
เลี้ยงไปสักพัก เขาอยากทำฟาร์ม เขาชอบเลี้ยงปลามาก อยากหาธุรกิจทำที่บ้าน เพราะอยากอยู่กับครอบครัว
แรกๆ พ่อแม่เขาไม่สนับสนุนหรอกค่ะ ส่วนเราก็ได้เป็นแค่ที่ปรึกษา เพราะสุดท้าย เขาก็ตื๊อจนเรายอมให้ทำ
ช่วงแรกจำได้ว่าไปหาซื้อตู้ อุปกรณ์ และปลามาชุดนึง เราหมดเงินเป็นหมื่น เขาก็จ่ายนะคะ แต่ตามกำลังเขาช่วยเรามานิดหน่อย
แต่โอเค กำไรขายได้ เขาก็ให้เรามานะคะ แต่ฟาร์มปลาไม่ได้ขายได้ตลอด (โดยเฉพาะมือใหม่)
สุดท้ายปลาเป็นโรคตายเกือบยกฟาร์ม เงินเราจมค่ะ เกือบ 2 หมื่นไปกับปลาที่ตาย ถามเสียดายมั๊ยใช่ค่ะ แต่เหตุสุดวิสัย เราไม่ได้โทษใคร
เราไม่เคยทวงเงินกับเขาเป็นจริงเป็นจัง เพราะฐานะการเงินเขาขัดสนค่ะ
แต่จะบอกกันตรงๆ ว่าตอนนี้ไม่มีนะ ยังไงมีก็ช่วยเราด้วยอีกแรงในบางครั้ง
เราค่อนข้างซีเรียสที่จะพูดเรื่องเงินกับเขาค่ะ เพราะเขาชอบตัดพ้อ น้อยเนื้อต่ำใจ บลาๆๆ ซึ่งเราไม่ชอบอารมณ์แบบนั้น จึงเลี่ยงที่จะพูด
พอถึงวันเกิดเขาซึ่งเป็นเดือนเดียวกับเรา เราเคยกระแซะถามเขาว่าเคยมีใครเซอไพรซ์อะไรมั๊ยเมื่อก่อน
ตัวเขาเองเป็นคนชีวิตค่อนข้างไม่ค่อยได้รับอะไรเป็นพิเศษ ตอนนั้นเราแค่คุยกันเฉยๆ
เราเองเลยเซอไพรซ์เขาโดยการนัดเพื่อนเขาลับๆ ว่าวันนี้จะจัดงานวันเกิดที่ร้านประจำของเรา ซึ่งเขาก็ชอบร้านนี้ค่ะ
วันนั้นเราร้องเพลงให้ นัดเพื่อนเขามาเล่นดนตรีให้ และเซอไพรซ์เค้กวันเกิด
ซึ่งมันเป็นแค่สิ่งที่เราอยากทำให้ค่ะ พอวันเกิดเรารู้ว่าเขาไม่มีเงินอยู่แล้ว เลยไม่ได้อยากได้อะไร
แต่เขาเองก็มาพูดกับเรานะ ส่งรูปอวยพรทางเฟส และโทรคุยกับเราบอกว่าเขาเองไม่มีไรให้นะ
เรารู้อยู่แล้ว แต่ตัวเขาเองก็บอกว่ารู้สึกละอายใจ อยากทำไรให้เราบ้าง
หลังจาก 6 เดือน เขาเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดค่ะ มุมดีๆ มีอยู่นะคะ แต่น้อยลง
เริ่มขลุกอยู่กับฟาร์มปลากับโน้ตบุ๊คของเขา เขามีงานเราไม่เคยเกี่ยง
แต่เขามีเงินทีไร มักจะไม่ค่อยเอามาช่วยเรา หรือเราต้องพูดเขาก็ให้นะคะ
เพียงแต่เราแค่รู้สึกว่ามันคือหน้าที่เขาที่ต้องให้โดยไม่ต้องให้เราถาม เลยรู้สึกเฟลบ้าง เสียความรู้สึกบ้าง
เรารู้ว่าเงินที่เขาได้มาไม่มากพอสำหรับค่าใช้จ่าย เขาเครียดมากค่ะ แต่เราก็เครียด เราพยายามพยุง
เราหมุนเงินจ่าย ค่าโทรศัพท์ของเขากับค่ารถมอเตอร์ไซด์เริ่มเป็นภาระของเรา
ไม่ทั้งหมด แต่เขามีเขาให้ แต่เทียบไปแล้วเขาไม่มีกำลังพอจะช่วยได้เลย
เราไม่พูดเรื่องเงินจนถึงที่สุดเปิดใจคุยว่าเราแบกอะไรอยู่
เขาได้แต่บอกเราว่าเขารู้ว่าวันหนึ่งเราต้องพูดกับเขาเรื่องนี้
ก่อนหน้านี้เขาเคยมีบอกไว้ค่ะ ว่าจะให้โอนชื่อรถเป็นชื่อเขามั๊ย เวลาไฟแนนซ์ทวง จะได้เป็นภาระของเขา
เขาบอกกับเราว่าผ่อนไม่ไหว อาจปล่อยรถยึดไป ซึ่งมันจะเป็นประวัติเสียของเรา
ในความคิดเราตอนนั้นบอกตรงๆ ว่าเรามองว่าเขาไม่มีกำลังพอ และรถผ่อนมาเกือบจะครบปี เราเสียดายนะ เงินเราด้วยส่วนหนึ่ง
เรามองถึงประวัติเขาจะเสีย เราก็ช่วย บอกจะผ่อนให้นะ ไม่ต้องโอน อะไรดีขึ้นค่อยว่ากัน
อ่อ รถที่ซื้อเป็นรถที่เขาใช้ขี่ประจำนะคะ เราไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับเขา
เราอยากบอกว่า อารมณ์ที่เราคบกันตอนนี้ ไม่ได้คุยแค่คบหาดูใจนะคะ
สังเกตจากที่ผ่านมามีลงทุนลงแรงทำหลายๆอย่าง เราคุยกันเรื่องจะทำให้ให้มีอนาคต
คบกันแบบจริงจังเรื่องชีวิตคู่ในอนาคตพอสมควร เราเลยรู้สึกว่าถ้าอะไรที่เราจะคุย ต้องช่วย เราต้องอดทน และประคับประคอง
เวลาผ่านมาเรื่อยๆ การเงินเราเริ่มทรุดหนัก ขายจองออนไลน์เราเริ่มน้อยลง รายได้น้อยลงเพราะเรามีภาระที่ต้องเรียน
แต่ฝั่งเขาก็ทรุดหนักพอกันไม่มีงานเข้า เรียนก็ต้องเรียน ภาระค่าใช้จ่ายยังกองรออยู่
เราจัดสรรค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนได้ค่ะ แต่เท่ากับว่าเราก็ทรุดลงเรื่อยๆเช่นกัน จนอยู่สภาวะเงินหมุนไม่ทัน
โชคดีเราเจอเพื่อนให้มาช่วยขายของกินกำไร ได้เงินดีพอสมควรช่วยให้เราฟื้นขึ้นมาได้ระดับนึงในช่วงเดือนสิงหา-กันยา
ตัวเขาเองก็มาปรึกษาเราเรื่องจะซ์้อกล้อง Canon 60D พร้อมเลนส์ของรุ่นพี่ขายต่อ บอกรุ่นพี่ให้ผ่อนได้เดือนละ 1000 ในราคา 20000
เหตุผลคือกล้องเก่าเขาชัดเตอร์มีปัญหา ถ่ายงานและสะดุดบ้าง แต่ยังถ่ายได้พอสมควร แต่เขาบอกว่าจำเป็นต้องใช้กล้องตัวสูงกว่าเดิม
เราไม่ได้ช่วยอะไรเขาค่ะ เพียงแต่บอกให้เขาจัดสรรค่าใช้จ่ายดีๆ เพราะภาระของเขากับเรายังมี ไม่ได้พูดอะไรมาก
สุดท้ายเขาตัดสินใจซื้อมา งานเขาเข้ามาน้อยนะคะ แต่ได้เงินมา เขาจะต้องไปจ่ายในภาระที่บ้านบางส่วน
เช่น น้ำไฟ (เลี้ยงปลา) ค่าเน็ต ค่าโทรศัพท์ (รายเดือน) บลาๆๆๆ หมดไม่พอมาถึงจ่ายค่ารถกะมือถือ
ซึ่งมันเป็นภาระเราฝ่ายเดียวในระยะหลัง
ต่อมาแม่เขาเริ่มมีปัญหาที่ผิวหนัง มือเปื่อย หรืออะไรสักอย่าง
ด้วยงานที่แม่เขารับจ้างซักรีด เราพอมีเงินเลยซื้อเครื่องซักผ้าให้แม่เขา (เพราะเขาต้องซักมือเนื่องจากเครื่องที่บ้านพังมานาน)
คือบอกตรงนี้ก่อนว่า พ่อกับแม่เขาดีกับเรามากๆ ค่ะ เราเคารพทั้งสองเหมือนพ่อแม่เรา
เราทะเลาะกันบ่อยขึ้นค่ะ แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องเรามองว่าเขาใส่ใจเราน้อยลง
เราเป็นฝ่ายไปหาเขา เป็นธุระให้เขาในเรื่องงาน แต่กับเขาซึ่งบ้านเราเป็นทางผ่านกลับบ้าน น้อยมากที่เขาจะแวะมากินข้าวกับเราบ้าง
เราไม่เคยเรียกร้องให้เขามีเวลากับเรามากมาย แต่เราเชื่อว่าเป็นแฟนกัน คบกัน มันควรมีเวลามาดูแลใจกันบ้าง
เพราะลำพังงาน ภาระที่แบกมันมากพออยู่แล้ว แต่เมื่อเราเปิดฉากคุย ก็จะกลายเป็นเราไม่เข้าใจเขา
และเขาบอกเราเสมอว่า ถ้าทุกวันนี้เรายังเรียกร้องแบบนี้ ต่อไปเขาทำงานด้านเบื้องหลัง เวลาไม่มี จะขนาดไหน
ถามความรู้สึกเรา เราว่าที่เป็นอยู่เรารู้และเข้าใจเรื่องงานนะ เพราะที่บ้านก็ทำธุรกิจครอบครัวเอง ผ่านการทำงานมาหลายงาน
แต่เหมือนน้ำท่วมปาก พูดไปเขาไม่เข้าใจ กลายเป็นเราไม่เข้าใจเขาตามที่เขาบอกไป
เราไปหาเขาบ่อยค่ะ แต่ความรู้สึกของเราคือเขามีเราอยู่ใกล้ๆ จนเคยชินที่จะใส่ใจดูแล เทคแคร์เหมือนเมื่อก่อน ทั้งที่เราก็ไปหาเองที่บ้าน
เราไปสักน้ำมันกับเพื่อนที่ขายของด้วยกันเพราะตอนนั้นไม่คิดหน้าคิดหลัง อยากขายของดี
เผื่ออะไรจะดีขึ้น แต่รู้ว่าเขาไม่ปลื้มค่ะ โกรธมาก สุดท้ายเราโดนจับได้ เราก็ยอมรับค่ะ แต่นี่น่าจะเป็นชนวนเล็กๆให้เขาเลิกกับเรา
เราทะเลาะกันอีกครั้งหลังจากวันนั้น สักประมาณอาทิตย์นึง แล้วเรารู้สึกไม่โอเค เราเหนื่อยกับสิ่งที่เผชิญอยู่
เราโทรคุยกับ ถามเขาว่า ทำไมเขาถึงไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่ต้องการเรา ซึ่งในวันนี้เขาอยากให้เราเข้าใจตัวเขา
สิ่งที่เขาตอบ คือ ตอนนี้ที่เป็นอยู่คือตัวตนของเขา ขอให้เรารับเขาได้ไหม เขาไม่ได้เสแสร้ง
บางครั้งเขาก็รู้สึกต้องการเรา แต่บางครั้งก็รู้สึกอยากอยู่คนเดียว อยากได้พื้นที่ส่วนตัว
เราจุกพอสมควร เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเราไปก้าวก่ายชีวิตเขามากขนาดนั้นเลยหรอ ทั้งที่เราแค่เคยรักเขาในสิ่งที่เขาทำให้เรารู้สึกได้
แต่วันนี้สิ่งที่เรารู้สึกได้ อาจไม่ใช่ตัวตนเขา และให้เราเข้าใจ บอกตรงๆ ว่าเราสับสนค่ะ ไม่รู้ใครถูกใครผิด
เรานิ่ง แล้วเราบอกเลิกเขาว่า "งั้นเราก็เดินคนละทางกันดีกว่า" รู้สึกว่าเขาช็อคนะคะ แต่เรายอมรับว่าด้วยอารมณ์กับสิ่งที่เจอ
เราไม่ไหวเหมือนกัน แต่เย็นวันนั้นเรารีบไปเคลียกับเขาที่บ้าน ไปปรับความเข้าใจ (เราไม่เคยพูดเลิกกันพร่ำเพรื่อนะคะ)
เราคิดว่าเราใช้อารมณ์ เราไปคุยแต่เขาไม่คุยกับเรา ยังไงก็จะตัดเราออกจากชีวิต
และบอกว่าเราได้ทำลายชีวิตเขาไปแล้ว .....เราแบบยอมรับผิดนะคะที่พูดเลิกเอง แต่เรากำลังแก้ไข ซึ่งคำว่าขอโทษมันไม่ช่วยให้ใจคนดีขึ้น
แต่สิ่งที่เรารู้สึก คือนี่คือคนที่เราอยากอยู่กับเขา ใช้ชีวิตคู่กับเขาในอนาคตจริงๆ หรือ
มีเราที่ดิ้น ที่พยายาม แต่เราควรทำอย่างไรต่อไป...
ต่อจากนี้จะเป็นเรื่องราวหลังจากที่เลิกกันนะคะ
.
.
.
เรื่องเล่ามุมผู้หญิงในฐานะแฟนเก่าของผู้ชายคนหนึ่งที่อยากถามความเห็นจากผู้ชายด้วยกัน
แฟนเก่าเป็นประธานรุ่น เรียนนิเทศ เป็นช่างภาพอิสระ เป็นลูกคนโต มีน้อง1คน ฐานะปานกลางไม่ค่อยดีนัก
ส่วนเราเรียนไปทำงานไป ทำธุรกิจที่บ้าน มีรถขับ ฐานะค่อนข้างดี แต่ไม่รวยค่ะ มีกินมีใช้ ไม่ลำบาก (อดีตลำบากมาก่อน)
เรื่องที่จะเล่าเป็นช่วงเวลา 1 ปีที่เราคบกับเขา ปัจจุบันเลิกกันแล้วค่ะ เราเลิกกันเพราะไปกันไม่ได้ ไม่มีเรื่องชู้สาว
บางครั้งรู้สึกเราคิดในมุมของผู้หญิง เลยอยากจะแชร์เผื่อจะได้รู้ความคิดของผู้ชายกับเรื่องเราบ้าง (หรือผู้หญิงคนอื่นๆ)
ยาวสักหน่อย แต่ไม่อยากรวบรัดเรื่องมาก เพราะมันละเอียดอ่อนเรื่องความรู้สึกพอสมควรค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่า...
ตอนแฟนเก่ามาจีบ เริ่มจากคุยทางเฟสบุ๊ค เขาเข้ามาทักว่าคุ้นหน้าเรา และเคยแอบชอบเราตอน ม.ต้น
ตอนนั้นไม่เชื่อค่ะ แต่เช็คข้อมูลจากเพื่อนสนิทรู้จักและบอกว่าเป็นเรื่องจริงอยู่ เพียงแต่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยสนใจ และไม่รู้จักเขาเลย
ทีแรกไม่สนใจนะคะ แต่บอกตามตรงว่าใจอ่อนเพราะเขาบุกเราหนักมาก คุยกัน 1 สัปดาห์เราตกลงคบหากัน
เขาแสดงความเป็นแฟนที่ดีชัดเจนค่ะ ใส่ใจเรา มีเป้าหมายมองอนาคต ช่างพูดเจรจา หนักเอาเบาสู้ มีความเป็นผู้นำระดับหนึ่ง
และแสดงออกว่าต้องการเรามาก ในลักษณะของคำพูดคำจา และการกระทำที่พยายามสื่อว่าเราคือคนสุดท้ายของชีวิตเขา
ณ ความรู้สึกนั้นเราไม่ใช่คนรักเร็ว จากที่ชอบเวลาทำให้เรารักเขามากขึ้น
ส่วนเขาบอกรักเราไวพอสมควร แต่ด้วยการกระทำเราจึงค่อยๆ ซึมซับความดีของเขา
และเขาเป็นคนเทคแคร์ความรู้สึกคนในครอบครัวมาก
เราได้ไปเจอพ่อกับแม่เขาที่บ้าน พ่อกับแม่เขาโอเคกับเรามากค่ะ เราเป็นคนสบายๆ อ่อนน้อม และอัธยาศัยดี
จึงไม่เคยมีปัญหากับการรู้จักพ่อแม่แฟน แต่กับพ่อแม่เราเขาไม่เข้าหา เพราะรู้สึกเข้าไม่ได้ก็ไม่พยายาม แต่เราไม่เคยบังคับ
เขาเป็นคนมีอีโก้สูงค่ะ อะไรที่ไม่ชอบไม่ค่อยปรับ (ถ้าปรับสุดท้ายแล้วคือฝืน)
และอะไรที่ต้องรอจะรอไม่ได้ เพราะเป็นคนอารมณ์ร้อนขี้หงุดหงิด
และจะอารมณ์เสียมากกับการรอ เรารับรู้นิสัยนี้จากการคบเขามาสักพัก แต่เขามักบอกเราว่า "พื้นฐานความรักคือความเข้าใจ"
คบได้ 1-2 เดือนเขาอยากออกมอเตอร์ไซด์ใหม่ มาปรึกษาเรา เรามองว่าจะผ่อนไหวรึเปล่า แต่เขารับปากว่าไหว
อธิบายรายได้เขาจากตรงนั้นตรงนี้ (ซึ่งจริงๆ แค่พอดีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่าย) พ่อแม่เขาแอบห้ามเขาเบาๆ เตือนเราว่าอย่าตามใจมาก
แต่ด้วยความดื้อของเขา และเราเป็นคนตัดสินใจเร็ว เรามองว่าถ้าเหตุผลเขาเพียงพอจะซื้อมาใช้ ด้วยความเป็นผู้ชาย
เราเชื่อว่าเขาจะรับผิดชอบในสิ่งที่เขาพูดกับเรา เราจึงใช้ชื่อเราออกรถให้ ส่วนเขาจะเป็นคนผ่อนเอง
วันนั้นเขาเอารถมีโอเก่าไปเทิร์นดาวน์ได้ 7000 ซื้อ PCX 150 แต่ในสัญญาเรามาดูอีกที ร้านไม่ได้ลงดาวน์ 7000 เลย(มารู้ทีหลัง)
ตลอด 6 เดือนเขาทำหน้าที่ได้ดีค่ะ แต่การเงินติดขัดอยู่บ้าง เราก็ช่วยเขาตลอด ตอนเราช้อตเขามีก็ให้ ตอนเขาช้อตเราก็ช่วย
สรุปเขามีกำลังผ่อนรถได้ไม่ครบ 6 เดือน มีเป็นเงินเราบ้าง และเราขายของออนไลน์+เงินเดือนเรามากกว่าเขา เลยช่วยจ่ายไปบางงวด
ต่อมาโทรศัพท์บีบีเขาพัง เขาอยากได้โทรศัพท์ใหม่ ช่วงมีนา 56 มีงานโมบายเอ็กซ์โป ก็ชวนกันไปดู
ตัวเราเองไม่ได้ซื้ออะไร แต่เขาบอกเขาอยากได้สมาร์ทโฟนเอามาใช้ติดต่องาน บลาๆๆๆๆ ให้เหตุผลกับเราทั้งที่ตอนแรกเราห้าม
และบอกให้คิดดีๆ เพราะมันคือภาระของเขา ส่วนเรามีบัตรเครดิต เรารูดให้เขาได้ แต่เขาจะต้องจ่ายไหว
เขาก็บอกโอเค ตอนแรกจะไปเอา Samsung Note 2 (รึเปล่าไม่แน่ใจ รุ่นที่มาใหม่ช่วงนั้นค่ะ)ไม่ก็ Iphone 5
แต่เขาบอกไอโฟนเกินตัว จะเอาซัมซุงดีมั๊ย เราบอกราคามันเกินไป เอามาใช้งานและกำลังเงินไม่ถึงลดมาใช้เอนดรอยตัวอื่นก่อนมั๊ย
กว่าเขาจะตัดสินใจได้ เราพยายามพูดให้เขาเข้าใจ สรุปคือได้รุ่นอื่นยี่ห้ออื่นมา ราคาต่ำกว่า 20000 ค่ะ แต่สเป็คโอเค
จำได้ว่าช่วงนี้เราทำงานเก็บเงิน และเซอไพรซ์เขาด้วยการหาเงินไปเอากล้องเขาออกมา
ที่ไปจำนำเพราะต้องเอามารักษาตัวสมัยก่อนคบกับเรา เคยรถคว่ำค่ะ และต้องเอากล้องไปจำมาจ่ายค่าเทอม
เรารู้สึกอยากช่วย และมันอาจจะเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ที่จะช่วยเขาได้ ก็เลยช่วยเขา
ต่อมาเขาจุดประกายอยากทำฟาร์มปลาปอมปาดัวร์ เพราะไปเดินสวนจตุจักรด้วยกันแล้วเราอยากเลี้ยงเหมือนกัน
ลงทุนซื้อตู้ ซื้อปลามาเลี้ยงด้วยกัน จำได้ว่าเราจ่ายค่าตู้ค่าปลาเองนะ แต่ไม่ซีเรียสอะไร เพราะตอนนั้นเขาไม่มี แต่เรามีเราก็อยากเลี้ยง
เลี้ยงไปสักพัก เขาอยากทำฟาร์ม เขาชอบเลี้ยงปลามาก อยากหาธุรกิจทำที่บ้าน เพราะอยากอยู่กับครอบครัว
แรกๆ พ่อแม่เขาไม่สนับสนุนหรอกค่ะ ส่วนเราก็ได้เป็นแค่ที่ปรึกษา เพราะสุดท้าย เขาก็ตื๊อจนเรายอมให้ทำ
ช่วงแรกจำได้ว่าไปหาซื้อตู้ อุปกรณ์ และปลามาชุดนึง เราหมดเงินเป็นหมื่น เขาก็จ่ายนะคะ แต่ตามกำลังเขาช่วยเรามานิดหน่อย
แต่โอเค กำไรขายได้ เขาก็ให้เรามานะคะ แต่ฟาร์มปลาไม่ได้ขายได้ตลอด (โดยเฉพาะมือใหม่)
สุดท้ายปลาเป็นโรคตายเกือบยกฟาร์ม เงินเราจมค่ะ เกือบ 2 หมื่นไปกับปลาที่ตาย ถามเสียดายมั๊ยใช่ค่ะ แต่เหตุสุดวิสัย เราไม่ได้โทษใคร
เราไม่เคยทวงเงินกับเขาเป็นจริงเป็นจัง เพราะฐานะการเงินเขาขัดสนค่ะ
แต่จะบอกกันตรงๆ ว่าตอนนี้ไม่มีนะ ยังไงมีก็ช่วยเราด้วยอีกแรงในบางครั้ง
เราค่อนข้างซีเรียสที่จะพูดเรื่องเงินกับเขาค่ะ เพราะเขาชอบตัดพ้อ น้อยเนื้อต่ำใจ บลาๆๆ ซึ่งเราไม่ชอบอารมณ์แบบนั้น จึงเลี่ยงที่จะพูด
พอถึงวันเกิดเขาซึ่งเป็นเดือนเดียวกับเรา เราเคยกระแซะถามเขาว่าเคยมีใครเซอไพรซ์อะไรมั๊ยเมื่อก่อน
ตัวเขาเองเป็นคนชีวิตค่อนข้างไม่ค่อยได้รับอะไรเป็นพิเศษ ตอนนั้นเราแค่คุยกันเฉยๆ
เราเองเลยเซอไพรซ์เขาโดยการนัดเพื่อนเขาลับๆ ว่าวันนี้จะจัดงานวันเกิดที่ร้านประจำของเรา ซึ่งเขาก็ชอบร้านนี้ค่ะ
วันนั้นเราร้องเพลงให้ นัดเพื่อนเขามาเล่นดนตรีให้ และเซอไพรซ์เค้กวันเกิด
ซึ่งมันเป็นแค่สิ่งที่เราอยากทำให้ค่ะ พอวันเกิดเรารู้ว่าเขาไม่มีเงินอยู่แล้ว เลยไม่ได้อยากได้อะไร
แต่เขาเองก็มาพูดกับเรานะ ส่งรูปอวยพรทางเฟส และโทรคุยกับเราบอกว่าเขาเองไม่มีไรให้นะ
เรารู้อยู่แล้ว แต่ตัวเขาเองก็บอกว่ารู้สึกละอายใจ อยากทำไรให้เราบ้าง
หลังจาก 6 เดือน เขาเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดค่ะ มุมดีๆ มีอยู่นะคะ แต่น้อยลง
เริ่มขลุกอยู่กับฟาร์มปลากับโน้ตบุ๊คของเขา เขามีงานเราไม่เคยเกี่ยง
แต่เขามีเงินทีไร มักจะไม่ค่อยเอามาช่วยเรา หรือเราต้องพูดเขาก็ให้นะคะ
เพียงแต่เราแค่รู้สึกว่ามันคือหน้าที่เขาที่ต้องให้โดยไม่ต้องให้เราถาม เลยรู้สึกเฟลบ้าง เสียความรู้สึกบ้าง
เรารู้ว่าเงินที่เขาได้มาไม่มากพอสำหรับค่าใช้จ่าย เขาเครียดมากค่ะ แต่เราก็เครียด เราพยายามพยุง
เราหมุนเงินจ่าย ค่าโทรศัพท์ของเขากับค่ารถมอเตอร์ไซด์เริ่มเป็นภาระของเรา
ไม่ทั้งหมด แต่เขามีเขาให้ แต่เทียบไปแล้วเขาไม่มีกำลังพอจะช่วยได้เลย
เราไม่พูดเรื่องเงินจนถึงที่สุดเปิดใจคุยว่าเราแบกอะไรอยู่
เขาได้แต่บอกเราว่าเขารู้ว่าวันหนึ่งเราต้องพูดกับเขาเรื่องนี้
ก่อนหน้านี้เขาเคยมีบอกไว้ค่ะ ว่าจะให้โอนชื่อรถเป็นชื่อเขามั๊ย เวลาไฟแนนซ์ทวง จะได้เป็นภาระของเขา
เขาบอกกับเราว่าผ่อนไม่ไหว อาจปล่อยรถยึดไป ซึ่งมันจะเป็นประวัติเสียของเรา
ในความคิดเราตอนนั้นบอกตรงๆ ว่าเรามองว่าเขาไม่มีกำลังพอ และรถผ่อนมาเกือบจะครบปี เราเสียดายนะ เงินเราด้วยส่วนหนึ่ง
เรามองถึงประวัติเขาจะเสีย เราก็ช่วย บอกจะผ่อนให้นะ ไม่ต้องโอน อะไรดีขึ้นค่อยว่ากัน
อ่อ รถที่ซื้อเป็นรถที่เขาใช้ขี่ประจำนะคะ เราไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับเขา
เราอยากบอกว่า อารมณ์ที่เราคบกันตอนนี้ ไม่ได้คุยแค่คบหาดูใจนะคะ
สังเกตจากที่ผ่านมามีลงทุนลงแรงทำหลายๆอย่าง เราคุยกันเรื่องจะทำให้ให้มีอนาคต
คบกันแบบจริงจังเรื่องชีวิตคู่ในอนาคตพอสมควร เราเลยรู้สึกว่าถ้าอะไรที่เราจะคุย ต้องช่วย เราต้องอดทน และประคับประคอง
เวลาผ่านมาเรื่อยๆ การเงินเราเริ่มทรุดหนัก ขายจองออนไลน์เราเริ่มน้อยลง รายได้น้อยลงเพราะเรามีภาระที่ต้องเรียน
แต่ฝั่งเขาก็ทรุดหนักพอกันไม่มีงานเข้า เรียนก็ต้องเรียน ภาระค่าใช้จ่ายยังกองรออยู่
เราจัดสรรค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนได้ค่ะ แต่เท่ากับว่าเราก็ทรุดลงเรื่อยๆเช่นกัน จนอยู่สภาวะเงินหมุนไม่ทัน
โชคดีเราเจอเพื่อนให้มาช่วยขายของกินกำไร ได้เงินดีพอสมควรช่วยให้เราฟื้นขึ้นมาได้ระดับนึงในช่วงเดือนสิงหา-กันยา
ตัวเขาเองก็มาปรึกษาเราเรื่องจะซ์้อกล้อง Canon 60D พร้อมเลนส์ของรุ่นพี่ขายต่อ บอกรุ่นพี่ให้ผ่อนได้เดือนละ 1000 ในราคา 20000
เหตุผลคือกล้องเก่าเขาชัดเตอร์มีปัญหา ถ่ายงานและสะดุดบ้าง แต่ยังถ่ายได้พอสมควร แต่เขาบอกว่าจำเป็นต้องใช้กล้องตัวสูงกว่าเดิม
เราไม่ได้ช่วยอะไรเขาค่ะ เพียงแต่บอกให้เขาจัดสรรค่าใช้จ่ายดีๆ เพราะภาระของเขากับเรายังมี ไม่ได้พูดอะไรมาก
สุดท้ายเขาตัดสินใจซื้อมา งานเขาเข้ามาน้อยนะคะ แต่ได้เงินมา เขาจะต้องไปจ่ายในภาระที่บ้านบางส่วน
เช่น น้ำไฟ (เลี้ยงปลา) ค่าเน็ต ค่าโทรศัพท์ (รายเดือน) บลาๆๆๆ หมดไม่พอมาถึงจ่ายค่ารถกะมือถือ
ซึ่งมันเป็นภาระเราฝ่ายเดียวในระยะหลัง
ต่อมาแม่เขาเริ่มมีปัญหาที่ผิวหนัง มือเปื่อย หรืออะไรสักอย่าง
ด้วยงานที่แม่เขารับจ้างซักรีด เราพอมีเงินเลยซื้อเครื่องซักผ้าให้แม่เขา (เพราะเขาต้องซักมือเนื่องจากเครื่องที่บ้านพังมานาน)
คือบอกตรงนี้ก่อนว่า พ่อกับแม่เขาดีกับเรามากๆ ค่ะ เราเคารพทั้งสองเหมือนพ่อแม่เรา
เราทะเลาะกันบ่อยขึ้นค่ะ แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องเรามองว่าเขาใส่ใจเราน้อยลง
เราเป็นฝ่ายไปหาเขา เป็นธุระให้เขาในเรื่องงาน แต่กับเขาซึ่งบ้านเราเป็นทางผ่านกลับบ้าน น้อยมากที่เขาจะแวะมากินข้าวกับเราบ้าง
เราไม่เคยเรียกร้องให้เขามีเวลากับเรามากมาย แต่เราเชื่อว่าเป็นแฟนกัน คบกัน มันควรมีเวลามาดูแลใจกันบ้าง
เพราะลำพังงาน ภาระที่แบกมันมากพออยู่แล้ว แต่เมื่อเราเปิดฉากคุย ก็จะกลายเป็นเราไม่เข้าใจเขา
และเขาบอกเราเสมอว่า ถ้าทุกวันนี้เรายังเรียกร้องแบบนี้ ต่อไปเขาทำงานด้านเบื้องหลัง เวลาไม่มี จะขนาดไหน
ถามความรู้สึกเรา เราว่าที่เป็นอยู่เรารู้และเข้าใจเรื่องงานนะ เพราะที่บ้านก็ทำธุรกิจครอบครัวเอง ผ่านการทำงานมาหลายงาน
แต่เหมือนน้ำท่วมปาก พูดไปเขาไม่เข้าใจ กลายเป็นเราไม่เข้าใจเขาตามที่เขาบอกไป
เราไปหาเขาบ่อยค่ะ แต่ความรู้สึกของเราคือเขามีเราอยู่ใกล้ๆ จนเคยชินที่จะใส่ใจดูแล เทคแคร์เหมือนเมื่อก่อน ทั้งที่เราก็ไปหาเองที่บ้าน
เราไปสักน้ำมันกับเพื่อนที่ขายของด้วยกันเพราะตอนนั้นไม่คิดหน้าคิดหลัง อยากขายของดี
เผื่ออะไรจะดีขึ้น แต่รู้ว่าเขาไม่ปลื้มค่ะ โกรธมาก สุดท้ายเราโดนจับได้ เราก็ยอมรับค่ะ แต่นี่น่าจะเป็นชนวนเล็กๆให้เขาเลิกกับเรา
เราทะเลาะกันอีกครั้งหลังจากวันนั้น สักประมาณอาทิตย์นึง แล้วเรารู้สึกไม่โอเค เราเหนื่อยกับสิ่งที่เผชิญอยู่
เราโทรคุยกับ ถามเขาว่า ทำไมเขาถึงไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่ต้องการเรา ซึ่งในวันนี้เขาอยากให้เราเข้าใจตัวเขา
สิ่งที่เขาตอบ คือ ตอนนี้ที่เป็นอยู่คือตัวตนของเขา ขอให้เรารับเขาได้ไหม เขาไม่ได้เสแสร้ง
บางครั้งเขาก็รู้สึกต้องการเรา แต่บางครั้งก็รู้สึกอยากอยู่คนเดียว อยากได้พื้นที่ส่วนตัว
เราจุกพอสมควร เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเราไปก้าวก่ายชีวิตเขามากขนาดนั้นเลยหรอ ทั้งที่เราแค่เคยรักเขาในสิ่งที่เขาทำให้เรารู้สึกได้
แต่วันนี้สิ่งที่เรารู้สึกได้ อาจไม่ใช่ตัวตนเขา และให้เราเข้าใจ บอกตรงๆ ว่าเราสับสนค่ะ ไม่รู้ใครถูกใครผิด
เรานิ่ง แล้วเราบอกเลิกเขาว่า "งั้นเราก็เดินคนละทางกันดีกว่า" รู้สึกว่าเขาช็อคนะคะ แต่เรายอมรับว่าด้วยอารมณ์กับสิ่งที่เจอ
เราไม่ไหวเหมือนกัน แต่เย็นวันนั้นเรารีบไปเคลียกับเขาที่บ้าน ไปปรับความเข้าใจ (เราไม่เคยพูดเลิกกันพร่ำเพรื่อนะคะ)
เราคิดว่าเราใช้อารมณ์ เราไปคุยแต่เขาไม่คุยกับเรา ยังไงก็จะตัดเราออกจากชีวิต
และบอกว่าเราได้ทำลายชีวิตเขาไปแล้ว .....เราแบบยอมรับผิดนะคะที่พูดเลิกเอง แต่เรากำลังแก้ไข ซึ่งคำว่าขอโทษมันไม่ช่วยให้ใจคนดีขึ้น
แต่สิ่งที่เรารู้สึก คือนี่คือคนที่เราอยากอยู่กับเขา ใช้ชีวิตคู่กับเขาในอนาคตจริงๆ หรือ
มีเราที่ดิ้น ที่พยายาม แต่เราควรทำอย่างไรต่อไป...
ต่อจากนี้จะเป็นเรื่องราวหลังจากที่เลิกกันนะคะ
.
.
.