รางวัลสมชายฯ ให้แก่นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน โดยในปีนี้ได้แก่ นายบุญยืน สุขใหม่ ประธานสหภาพพนักงาน ไอทีเอฟ เป็นลูกจ้างของบริษัท ไอทีฟอร์จิ้ง ประเทศไทย จำกัด ภายในนิคมอุตสาหกรรม จ.ระยอง
และ น.ส.เยาวลักษณ์ อนุพันธุ์ ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ที่ทำคดีเกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้หญิง ปัญหาสิทธิชุมชน และชาวบ้านใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายบุญยืนเล่าประสบการณ์การเคลื่อนไหวด้านสิทธิแรงงานมากกว่า 10 ปี ว่าเรียนจบด้านช่างยนต์ นอกจากเป็นแรงงานเต็มเวลาในโรงงานแล้ว การเคลื่อนไหวด้านสิทธิแรงงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ ทำให้ต้องเรียนปริญญาตรี ด้านนิติศาสตร์เพิ่ม
จนกระทั่งกลายเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายแรงงานแก่สหภาพแรงงานหลายแห่ง ทั้งยังต้องช่วยเขียนสำนวนฟ้อง ยื่นคำร้องให้เพื่อนแรงงานด้วยกัน ปีที่ผ่านมาให้คำปรึกษาด้านกฎหมายมากถึงกว่า 400 คดี แถมยังเป็นผู้เขียนข่าวความเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานหลายร้อยข่าวส่งไปตามสื่อทางเลือกต่างๆ เองด้วย
บุญยืนกล่าวถึงปัญหาการต่อสู้ด้านสิทธิแรงงานที่สำคัญ ว่ากระบวนการยุติธรรมไทยมองคนไม่เท่ากัน การตั้งสหภาพแรงงานเป็นเรื่องยากลำบาก เสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้าง การนัดหยุดงานประท้วงถูกสังคมมองว่าทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย บางครั้งถูกดำเนินคดีอาญาในคดีข้อหาบุกรุกสถานที่ คนที่เรียนกฎหมายมาจะพบว่า ในตำราเรียนมีเรื่องที่เกี่ยวกับสหภาพแรงงานเพียง 2 หน้า
"การต่อสู้คดีด้านแรงงาน 80 เปอร์เซ็นต์จะเป็นกระบวนการไกล่เกลี่ย ซึ่งไม่เกิดประโยชน์กับคนงานเลย ลูกจ้างที่สู้คดีจะถูกดูถูกว่าไม่มีความรู้เรื่องสิทธิของตนเอง ที่น่าเจ็บใจ คือ กระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรม ทำให้ปัจจุบันนายจ้างกล้าละเมิดกฎหมายมากขึ้น จึงไม่แปลกใจว่าสังคมไทยไม่เคยเห็นนายจ้างติดคุก มีแต่ลูกจ้างเท่านั้นที่ติดคุก" บุญยืนกล่าว
นอกจากนี้ บุญยืนยังมีมุมมองเกี่ยวกับการชุมนุมขัดขวางการเลือกตั้ง เรียกร้องหานายกฯ คนกลาง ด้วยว่าการเรียกร้องดังกล่าวจะกระทบการต่อสู้เรื่องสิทธิแรงงานด้วย ยืนยันว่าประเทศไทยต้องมีการเลือกตั้ง ไม่ใช่ลากตั้ง การคงไว้ซึ่งกฎและกติกาเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องกระทำเป็นอย่างยิ่งของนักสหภาพแรงงาน
"มีนักสหภาพแรง งานหลายคนบอกว่าอยากมีตัวแทนของตัวเองในรัฐสภา แต่กลับกลัวการเลือกตั้ง ในฐานะนักประชาธิปไตยต้องยืนยันการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งตัวแทนของตนเองที่ต้องการ ไม่ให้ระบอบประชาธิปไตยต้องล้มเหลวเพราะนักลากตั้งอีกต่อไป" นักต่อสู้ด้านแรงงานกล่าว
ขณะที่ทนายเยาวลักษณ์ ร่วมสะท้อนประสบการณ์เป็นทนายความมา 20 ปี ว่าประเด็นสิทธิมนุษยชนจะเชื่อมโยงอยู่กับคนด้อยโอกาส ปัญหาใหญ่คืออคติของเจ้าหน้าที่ในกระบวน การยุติธรรมที่มองคนไม่เท่ากัน ใช้ข้ออ้างเรื่องความมั่นคงแห่งรัฐในการบังคับคดี เช่น ผู้ลี้ภัยที่ถูกละเมิดทางเพศ กลับถูกตั้งแง่ว่าไม่ใช่คนไทย ซึ่งเป็นคนละประเด็นกัน
รวมถึงปัญหาในภาคใต้ก็เช่นกัน เยาวลักษณ์ชี้ว่าจะเห็นได้ในคดีชาวบ้าน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ถูกละเมิดสิทธิเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่รัฐอ้างเรื่องความมั่นคง และประกาศกฎอัยการศึกในการบุกตรวจค้น จับกุมได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน
"ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคดีหมิ่นสถาบันเลย เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และต้องต่อสู้กับความกลัวเป็นอย่างมาก แต่รัฐไม่สามารถจำกัดความคิดคนได้ ความคิดคนไม่ใช่อาชญากรรม" ทนายเยาวลักษณ์กล่าว
เป็นจุดยืน มุมมองของ 2 ผู้ต่อสู้ด้านสิทธิมนุษยชน รางวัลสมชาย นีละไพจิตร ปีนี้
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU5qWTBNamcwTlE9PQ%3D%3D§ionid
http://bit.ly/เพจข่าวดี
๒ ทนายรับรางวัล "ทนายสมชาย ๕๗"
รางวัลสมชายฯ ให้แก่นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน โดยในปีนี้ได้แก่ นายบุญยืน สุขใหม่ ประธานสหภาพพนักงาน ไอทีเอฟ เป็นลูกจ้างของบริษัท ไอทีฟอร์จิ้ง ประเทศไทย จำกัด ภายในนิคมอุตสาหกรรม จ.ระยอง
และ น.ส.เยาวลักษณ์ อนุพันธุ์ ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ที่ทำคดีเกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้หญิง ปัญหาสิทธิชุมชน และชาวบ้านใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายบุญยืนเล่าประสบการณ์การเคลื่อนไหวด้านสิทธิแรงงานมากกว่า 10 ปี ว่าเรียนจบด้านช่างยนต์ นอกจากเป็นแรงงานเต็มเวลาในโรงงานแล้ว การเคลื่อนไหวด้านสิทธิแรงงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ ทำให้ต้องเรียนปริญญาตรี ด้านนิติศาสตร์เพิ่ม
จนกระทั่งกลายเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายแรงงานแก่สหภาพแรงงานหลายแห่ง ทั้งยังต้องช่วยเขียนสำนวนฟ้อง ยื่นคำร้องให้เพื่อนแรงงานด้วยกัน ปีที่ผ่านมาให้คำปรึกษาด้านกฎหมายมากถึงกว่า 400 คดี แถมยังเป็นผู้เขียนข่าวความเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานหลายร้อยข่าวส่งไปตามสื่อทางเลือกต่างๆ เองด้วย
บุญยืนกล่าวถึงปัญหาการต่อสู้ด้านสิทธิแรงงานที่สำคัญ ว่ากระบวนการยุติธรรมไทยมองคนไม่เท่ากัน การตั้งสหภาพแรงงานเป็นเรื่องยากลำบาก เสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้าง การนัดหยุดงานประท้วงถูกสังคมมองว่าทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย บางครั้งถูกดำเนินคดีอาญาในคดีข้อหาบุกรุกสถานที่ คนที่เรียนกฎหมายมาจะพบว่า ในตำราเรียนมีเรื่องที่เกี่ยวกับสหภาพแรงงานเพียง 2 หน้า
"การต่อสู้คดีด้านแรงงาน 80 เปอร์เซ็นต์จะเป็นกระบวนการไกล่เกลี่ย ซึ่งไม่เกิดประโยชน์กับคนงานเลย ลูกจ้างที่สู้คดีจะถูกดูถูกว่าไม่มีความรู้เรื่องสิทธิของตนเอง ที่น่าเจ็บใจ คือ กระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรม ทำให้ปัจจุบันนายจ้างกล้าละเมิดกฎหมายมากขึ้น จึงไม่แปลกใจว่าสังคมไทยไม่เคยเห็นนายจ้างติดคุก มีแต่ลูกจ้างเท่านั้นที่ติดคุก" บุญยืนกล่าว
นอกจากนี้ บุญยืนยังมีมุมมองเกี่ยวกับการชุมนุมขัดขวางการเลือกตั้ง เรียกร้องหานายกฯ คนกลาง ด้วยว่าการเรียกร้องดังกล่าวจะกระทบการต่อสู้เรื่องสิทธิแรงงานด้วย ยืนยันว่าประเทศไทยต้องมีการเลือกตั้ง ไม่ใช่ลากตั้ง การคงไว้ซึ่งกฎและกติกาเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องกระทำเป็นอย่างยิ่งของนักสหภาพแรงงาน
"มีนักสหภาพแรง งานหลายคนบอกว่าอยากมีตัวแทนของตัวเองในรัฐสภา แต่กลับกลัวการเลือกตั้ง ในฐานะนักประชาธิปไตยต้องยืนยันการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งตัวแทนของตนเองที่ต้องการ ไม่ให้ระบอบประชาธิปไตยต้องล้มเหลวเพราะนักลากตั้งอีกต่อไป" นักต่อสู้ด้านแรงงานกล่าว
ขณะที่ทนายเยาวลักษณ์ ร่วมสะท้อนประสบการณ์เป็นทนายความมา 20 ปี ว่าประเด็นสิทธิมนุษยชนจะเชื่อมโยงอยู่กับคนด้อยโอกาส ปัญหาใหญ่คืออคติของเจ้าหน้าที่ในกระบวน การยุติธรรมที่มองคนไม่เท่ากัน ใช้ข้ออ้างเรื่องความมั่นคงแห่งรัฐในการบังคับคดี เช่น ผู้ลี้ภัยที่ถูกละเมิดทางเพศ กลับถูกตั้งแง่ว่าไม่ใช่คนไทย ซึ่งเป็นคนละประเด็นกัน
รวมถึงปัญหาในภาคใต้ก็เช่นกัน เยาวลักษณ์ชี้ว่าจะเห็นได้ในคดีชาวบ้าน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ถูกละเมิดสิทธิเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่รัฐอ้างเรื่องความมั่นคง และประกาศกฎอัยการศึกในการบุกตรวจค้น จับกุมได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน
"ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคดีหมิ่นสถาบันเลย เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และต้องต่อสู้กับความกลัวเป็นอย่างมาก แต่รัฐไม่สามารถจำกัดความคิดคนได้ ความคิดคนไม่ใช่อาชญากรรม" ทนายเยาวลักษณ์กล่าว
เป็นจุดยืน มุมมองของ 2 ผู้ต่อสู้ด้านสิทธิมนุษยชน รางวัลสมชาย นีละไพจิตร ปีนี้
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU5qWTBNamcwTlE9PQ%3D%3D§ionid
http://bit.ly/เพจข่าวดี