ที่มา หนังสือสกัดจุดยุทธจักรมังกรหยก ผู้เขียน ถาวร สิกขโกศล
คำว่า กำลังภายในนี้ จำลอง พิศนาคะ (ผู้แปลมังกรหยกคนแรก) แปลจากคำภาษาจีนว่า เน่ยกง และใช้กันแพร่หลาย แม้คำนี้จะกะทัดรัดดีแต่เมื่อจะอธิบายความหมายให้ชัดเจนไม่ใช่เรื่องง่าย ในที่นี้จึงเปลี่ยนเป็นใช้คำว่า พลังภายในแทน
ตามหลักวิชาเต๋าและวิชาแพทย์จีน มนุษยืดำรงชีวิตอยู่และมีกำลังทำกิจกรรมต่างๆได้เพราะอาศัยพลังลมปราณ พลังลมปราณนี้แบ่งออกเป็น พลังภายใน และพลังภายนอก(กำลังกาย) โดยพลังภายในเป็นเรื่องการฝึกหรือบริหารกายให้เนื้อเยื่อและอวัยวะภายในแกร่งกล้าทนทาน ซึ่งจะทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีสมรรถภาพ การฝึกต้องอาศัยการเดินลมปราณ ได้แก่การหายใจอย่างถูกวิธี มีจิตเป็นสมาธิ เกิดเป็นพลังเสริมสมรรถภาพร่างกายให้สูงขึ้น
การฝึกลมหายใจและสมาธิต้องฝึกในอิริยาบถต่างๆกัน อาจใช้ท่าบริหารร่างกายแบบต่างๆเข้าช่วย เช่นท่าบริหารไท้เก็ก หรือการบริหารร่างกายด้วยมวยจีนชุดต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยสมาธิจิตและการหายใจที่ถูกต้องกำกับไปด้วยเป็นสำคัญ การหายใจถูกวิธีช่วยให้จิตสงบได้ง่าย เมื่อจิตสงบดีแล้วย่อมเกิดพลังเกื้อหนุนสมรรถภาพทางกาย ดังนั้นพลังภายในก็คือพลังจิตที่ผสานเสริมร่างกาย ทำให้พลังกายได้ประสิทธิผลที่ดีและสูงกว่าปกติ เพราะการหายใจอย่างถูกวิธีมีสมาธิจะช่วยให้การเคลื่อนไหวของอวัยวะภายในดีขึ้น เช่นการยืดหดของกล้ามเนื้อกระบังลมที่เพิ่มขึ้นจากการหายใจลึก ทำให้หลอดเลือดขยาย
ปรับระดับการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต อวัยวะภายในช่องท้องก็มีการเคลื่อนไหว ทำให้อวัยวะเหล่านั้นแข็งแรงและทำงานได้ดีขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็เกิดความทรุดโทรมเสื่อมสลายน้อยที่สุด คนจีนจึงนิยมฝึกเพื่อถนอมรักษาร่างกาย ช่วยบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บที่นำไปใช้ต่อสู้เป็นเรื่องรอง มวยจีนจะอาศัยสมาธิจิตกำกับการเคลื่อนไหวของร่างกายช้าๆคามท่าที่กำหนดไว้ ดังหลักการที่กล่าวเป็นภาษาจีนว่า “ย่งอี้ปุ๊ย่งลี่ ใช้จิตไม่ใช้กำลัง”
ส่วนพลังภายนอกคือพลังกายที่ปรากฎออกมาเป็นกำลังงาน เช่น การยกของ วิ่ง กำลังกายนี้ต้องอาศัยพลังภายในเป็นรากฐานและสนับสนุนจึงจะแกร่งกล้าและให้ผลสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น คนป่วย ร่างกายแปรปรวน พลังแห่งชีวิตที่แผงอยู่ในกายลดน้อยลง กำลังกายย่อมถอยลงไปด้วย หรือกรณีที่คนขาดสมาธิ ทำอะไรก็มักผิดพลาด ไม่ได้ผลที่ดี แม้ว่าผู้นั้นจะร่างกายแข็งแรงหรือปราดเปรื่องอย่างไรก็ตาม ตามหลักของลัทธิเต๋ากล่าวว่า การดำรงอยู่ของมนุษย์ต้องอาศัยองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการคือ จิง ชี่ และเสิน
จิง อาจแปลความหมายอย่างง่ายๆว่า ยอดแห่งพลัง มีมาพร้อมกับการกำเนิดของชีวิต มีลักษณะเป็นสารหลั่งภายในร่างกาย เป็นรากฐานส่วนหนึ่งของ ชี่ อันได้แก่พลังของร่างกาย พลังส่วนใหญ่นี้เกิดจากลมปราณและเป็นที่มาของกำลังกาย ส่วน เสิน คือจิต อันประกอบด้วยเจตนาและสติเป็นสำคัญ จิง ชี่ และ เสิน นี้คือมูลรากสำคัญของพลังแห่งชีวิต การฝึกต้องประกอบด้วย 3 ส่วนคือฝึกจิงเป็นชี่โดยมีเสินคือเจตจำนงและสติเป็นตัวกำกับ
สรุปคือพลังภายใน คือพลังแห่งชีวิตอันเกิดจากองค์ประกอบของชีวิตทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายนามคือจิตอันมีเจตนาและสติเป็นสำคัญ โดยต้องอาศัยทั้ง2สิ่งควบคู่กัน ทำให้เกิดเป็นพลังงานภายในกายเมื่อใช้อย่างถูกวิธีมีสติกำกับแล้วจะมีพลานุภาพมากกว่าการใช้อย่างไม่ได้ฝึกควบคุม
การต่อสู้แบบในนิยายต้องอาศัยการต่อสู้หรือวิทยายุทธ์เป็นสำคัญ พลังภายในเป็นเพียงส่วนเสริมให้วิทยายุทธ์นั้นมีอานุภาพยิ่งขึ้นในภาษาจีนมีคำเรียกพลังภายในและวิทยายุทธ์แยกกันคือ เน่ยกง และ อู่ซู่ ซึ่งส่วนหลังนี้ต้องอาศัยความรู้เรื่องจุดเส้นต่างๆในร่างกาย เพื่อจะได้ป้องกันรักษาจุดอันตรายไม่ให้ถูกโจมตีเช่น จุดตรงข้อศอกนั้นถ้าถูกกระแทกแขนท่อนล่างจะชาเปลี้ยไปทันที ตรงคอต่อและทัดดอกไม้ถ้าถูกตีแรงพอก็ทำให้ถึงตายได้ในพริบตา
เมื่อใช้ความรู้เรื่องจุดเส้นในร่างกายประกอบเพลงมวย เพลงอาวุธชนิดต่างๆแล้ว ก็จะทำให้มีอานุภาพร้ายแรงยิ่งขึ้นนี่คือส่วนของวิทยายุทธ์ ซึ่งจะได้ผลเยี่ยมก็ต่อเมื่อผู้ใช้มีพลังภายในคือสมาธิจิตดี คนที่มีสมาธิจิตดีในขณะต่อสู้ความเครียดย่อมน้อยและลมหายใจเป็นปกติ ส่งผลให้ร่างกายมีพละกำลังทนทานไม่อ่อนเพลียง่าย คนที่วิทยายุทธ์ด้อยกว่าก็อาจเอาชนะคนที่วิทยายุทธ์สูงกว่า แต่ขาดความรู้เรื่องพลังภายในได้
ดังที่เบ๊เง็กอธิบายแก่ก๊วยเจ๋งว่า “นักพรตน้อยผู้นั้น (อิ๋มจี่เพ้ง) แม้จะทำให้เจ้าล้มฟาดลงได้ครั้งหนึ่ง ก็เพราะอาศัยพลังพลิกแพลงเอาชนะ ว่าถึงพื้นฐานด้านวิทยายุทธ์แล้วมิได้แข็งกล้ากว่าเจ้า นอกจากนี้ความสามารถด้านวิทยายุทธ์ของอาจารย์ทั้งหกของเจ้าก็มิได้ด้อยกว่าเรา ฉะนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้เจ้า”
แต่กำลังภายในในนิยายเป็นเรื่องเสริมแต่งด้วยจินตนาการ เพื่อให้ตื่นเต้นชวนติดตามจึงพิสดารพันลึกเช่นนั้น
วิชากำลังภายในและประวัติวัดเส้าหลิน
คำว่า กำลังภายในนี้ จำลอง พิศนาคะ (ผู้แปลมังกรหยกคนแรก) แปลจากคำภาษาจีนว่า เน่ยกง และใช้กันแพร่หลาย แม้คำนี้จะกะทัดรัดดีแต่เมื่อจะอธิบายความหมายให้ชัดเจนไม่ใช่เรื่องง่าย ในที่นี้จึงเปลี่ยนเป็นใช้คำว่า พลังภายในแทน
ตามหลักวิชาเต๋าและวิชาแพทย์จีน มนุษยืดำรงชีวิตอยู่และมีกำลังทำกิจกรรมต่างๆได้เพราะอาศัยพลังลมปราณ พลังลมปราณนี้แบ่งออกเป็น พลังภายใน และพลังภายนอก(กำลังกาย) โดยพลังภายในเป็นเรื่องการฝึกหรือบริหารกายให้เนื้อเยื่อและอวัยวะภายในแกร่งกล้าทนทาน ซึ่งจะทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีสมรรถภาพ การฝึกต้องอาศัยการเดินลมปราณ ได้แก่การหายใจอย่างถูกวิธี มีจิตเป็นสมาธิ เกิดเป็นพลังเสริมสมรรถภาพร่างกายให้สูงขึ้น
การฝึกลมหายใจและสมาธิต้องฝึกในอิริยาบถต่างๆกัน อาจใช้ท่าบริหารร่างกายแบบต่างๆเข้าช่วย เช่นท่าบริหารไท้เก็ก หรือการบริหารร่างกายด้วยมวยจีนชุดต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยสมาธิจิตและการหายใจที่ถูกต้องกำกับไปด้วยเป็นสำคัญ การหายใจถูกวิธีช่วยให้จิตสงบได้ง่าย เมื่อจิตสงบดีแล้วย่อมเกิดพลังเกื้อหนุนสมรรถภาพทางกาย ดังนั้นพลังภายในก็คือพลังจิตที่ผสานเสริมร่างกาย ทำให้พลังกายได้ประสิทธิผลที่ดีและสูงกว่าปกติ เพราะการหายใจอย่างถูกวิธีมีสมาธิจะช่วยให้การเคลื่อนไหวของอวัยวะภายในดีขึ้น เช่นการยืดหดของกล้ามเนื้อกระบังลมที่เพิ่มขึ้นจากการหายใจลึก ทำให้หลอดเลือดขยาย
ปรับระดับการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต อวัยวะภายในช่องท้องก็มีการเคลื่อนไหว ทำให้อวัยวะเหล่านั้นแข็งแรงและทำงานได้ดีขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็เกิดความทรุดโทรมเสื่อมสลายน้อยที่สุด คนจีนจึงนิยมฝึกเพื่อถนอมรักษาร่างกาย ช่วยบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บที่นำไปใช้ต่อสู้เป็นเรื่องรอง มวยจีนจะอาศัยสมาธิจิตกำกับการเคลื่อนไหวของร่างกายช้าๆคามท่าที่กำหนดไว้ ดังหลักการที่กล่าวเป็นภาษาจีนว่า “ย่งอี้ปุ๊ย่งลี่ ใช้จิตไม่ใช้กำลัง”
ส่วนพลังภายนอกคือพลังกายที่ปรากฎออกมาเป็นกำลังงาน เช่น การยกของ วิ่ง กำลังกายนี้ต้องอาศัยพลังภายในเป็นรากฐานและสนับสนุนจึงจะแกร่งกล้าและให้ผลสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น คนป่วย ร่างกายแปรปรวน พลังแห่งชีวิตที่แผงอยู่ในกายลดน้อยลง กำลังกายย่อมถอยลงไปด้วย หรือกรณีที่คนขาดสมาธิ ทำอะไรก็มักผิดพลาด ไม่ได้ผลที่ดี แม้ว่าผู้นั้นจะร่างกายแข็งแรงหรือปราดเปรื่องอย่างไรก็ตาม ตามหลักของลัทธิเต๋ากล่าวว่า การดำรงอยู่ของมนุษย์ต้องอาศัยองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการคือ จิง ชี่ และเสิน
จิง อาจแปลความหมายอย่างง่ายๆว่า ยอดแห่งพลัง มีมาพร้อมกับการกำเนิดของชีวิต มีลักษณะเป็นสารหลั่งภายในร่างกาย เป็นรากฐานส่วนหนึ่งของ ชี่ อันได้แก่พลังของร่างกาย พลังส่วนใหญ่นี้เกิดจากลมปราณและเป็นที่มาของกำลังกาย ส่วน เสิน คือจิต อันประกอบด้วยเจตนาและสติเป็นสำคัญ จิง ชี่ และ เสิน นี้คือมูลรากสำคัญของพลังแห่งชีวิต การฝึกต้องประกอบด้วย 3 ส่วนคือฝึกจิงเป็นชี่โดยมีเสินคือเจตจำนงและสติเป็นตัวกำกับ
สรุปคือพลังภายใน คือพลังแห่งชีวิตอันเกิดจากองค์ประกอบของชีวิตทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายนามคือจิตอันมีเจตนาและสติเป็นสำคัญ โดยต้องอาศัยทั้ง2สิ่งควบคู่กัน ทำให้เกิดเป็นพลังงานภายในกายเมื่อใช้อย่างถูกวิธีมีสติกำกับแล้วจะมีพลานุภาพมากกว่าการใช้อย่างไม่ได้ฝึกควบคุม
การต่อสู้แบบในนิยายต้องอาศัยการต่อสู้หรือวิทยายุทธ์เป็นสำคัญ พลังภายในเป็นเพียงส่วนเสริมให้วิทยายุทธ์นั้นมีอานุภาพยิ่งขึ้นในภาษาจีนมีคำเรียกพลังภายในและวิทยายุทธ์แยกกันคือ เน่ยกง และ อู่ซู่ ซึ่งส่วนหลังนี้ต้องอาศัยความรู้เรื่องจุดเส้นต่างๆในร่างกาย เพื่อจะได้ป้องกันรักษาจุดอันตรายไม่ให้ถูกโจมตีเช่น จุดตรงข้อศอกนั้นถ้าถูกกระแทกแขนท่อนล่างจะชาเปลี้ยไปทันที ตรงคอต่อและทัดดอกไม้ถ้าถูกตีแรงพอก็ทำให้ถึงตายได้ในพริบตา
เมื่อใช้ความรู้เรื่องจุดเส้นในร่างกายประกอบเพลงมวย เพลงอาวุธชนิดต่างๆแล้ว ก็จะทำให้มีอานุภาพร้ายแรงยิ่งขึ้นนี่คือส่วนของวิทยายุทธ์ ซึ่งจะได้ผลเยี่ยมก็ต่อเมื่อผู้ใช้มีพลังภายในคือสมาธิจิตดี คนที่มีสมาธิจิตดีในขณะต่อสู้ความเครียดย่อมน้อยและลมหายใจเป็นปกติ ส่งผลให้ร่างกายมีพละกำลังทนทานไม่อ่อนเพลียง่าย คนที่วิทยายุทธ์ด้อยกว่าก็อาจเอาชนะคนที่วิทยายุทธ์สูงกว่า แต่ขาดความรู้เรื่องพลังภายในได้
ดังที่เบ๊เง็กอธิบายแก่ก๊วยเจ๋งว่า “นักพรตน้อยผู้นั้น (อิ๋มจี่เพ้ง) แม้จะทำให้เจ้าล้มฟาดลงได้ครั้งหนึ่ง ก็เพราะอาศัยพลังพลิกแพลงเอาชนะ ว่าถึงพื้นฐานด้านวิทยายุทธ์แล้วมิได้แข็งกล้ากว่าเจ้า นอกจากนี้ความสามารถด้านวิทยายุทธ์ของอาจารย์ทั้งหกของเจ้าก็มิได้ด้อยกว่าเรา ฉะนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้เจ้า”
แต่กำลังภายในในนิยายเป็นเรื่องเสริมแต่งด้วยจินตนาการ เพื่อให้ตื่นเต้นชวนติดตามจึงพิสดารพันลึกเช่นนั้น