อธิบายสั้นๆนะครับ
คนรู้จักทำัสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับธนาคารธนชาต และ ส่งชำระค่างวดต่อไม่ไหว
จึงได้ส่งต่อการชำระให้มาผม โดยที่ผมเองก็ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายลงลายลักษณ์อักษร
ตามรายละเอียดการค่าชำค่างวดของธนาคารตามปกติ โดยไม่ได้บอกเรื่องการกู้เงินอีกบัญชีหนี้สินของ
ของทางธนาคารตั้งแต่ปี 52 จนปัจจุบันผมได้ผ่อนชำระค่างวดหมดแล้วและเตรียมพร้อมที่จะโอนรถยนต์เพื่อ
เป็นกรรมสิทธิของผม แต่ทางธนาคารแจ้งว่าสามารถโอนรถได้แต่จะไม่ได้เล่มไปจนกว่า
จะปิดบัญชีเงินกู้ของธนาคารหมดก่อน ซึ่งสัญญาเช่าซื้อทำครั้งแรก ปี 2549 หลังจากนั้นทำสัญญา เงินกู้ปี 2550
และมารีไฟแนนท์ปี 2552 ซึ่งเ็ป็นสัญญาใหม่และผมเองก็ไม่ทราบรายละเอียดเรื่องเงินกู้เลย
แล้วเขาก็ยังอ้างอีกว่า การกู้เงินในโครงการ สาระพัดนึก ได้วางเล่มรถยนต์เป็นหลักประกัน
จริงแล้วสามารถค้ำประกันโดยการซ้อนภาระการกู้ได้หรือไม่ครับ แล้ว อย่างนี้ผมจะมีสิทธิในการโอนรถไหมครับ
แล้วจะมีแนวทางการแก้ไขอย่างไรบ้าง เพราะว่า คนรู้จักเขาไม่มีความสามารถในการชำระบัญชีเงินกู้เลย
และตอนนี้คดีเงินกู้ก็มีการบังคับคดีไปเรียบร้อยแล้ว เพราะคนรู้จักบอกว่ามีหนังสือแจ้งเรื่องบังคับคดีมาเรียบร้อยแล้ว
ประเด็นที่ผมสงสัยคือ ในเมื่อ
1. บัญชีสามารถชำระได้ตามปกติ แต่อีกหนึ่งบัญชีไม่มีการจ่ายมาเลยตั้งแต่ปี 2552
แล้วทำไมถึงไม่ตามบัยชีรถยนต์ในการมาชำระเงินกู้
2. ในการทวงถามตามปกติ หากมีสัญญาพันธะอยู่ในสถาบันเดียวกัน หากผิดชำระบัญชีหนึ่งจะต้องมีแจ้งเรื่องให้ทราบกับอีกบัญขีหนึ่ง
ในบางเดือนผมก็มีส่งช้าแต่ไม่เคยข้ามเดือนเลย และุทกุครั้งที่เขาโทรมาทวงถามผมก็จะไม่ทราบเรื่องและจ่ายในส่วนภาระของผมเอง
3. ครั้งแรกที่โทรสอบถามทาง Call Center บอกว่าเล่มรถเป็นตัวค้ำ ขอครั้งที่ 2 โทรไปบอกเล่มไม่ได้ค้ำ อีกสัก 10 นาที โทรมาบอกอีกว่า
ติดเล่มที่เป็นตัวค้ำ และที่ผมงงคือ สามารถโอนรถได้ แต่ไม่มิสิทธิได้เล่มรถจนกว่าจะจ่ายเงินกู้ให้หมด ผมแปลกที่ว่าทำไมไม่ยืดรถไปเลย
และมีการบังคับคดีเงินกู้ไปหมดเรียบร้อยแล้ว และ ยังมียอดต้องจ่ายอีก 4 งวด และคิดว่าจะดึงเรื่องไว้ก่อน
ไม่ทราบว่าใครเคยมีประสบการณ์แบบผมหรือผู้รู้พอจะบอกได้ผมได้บ้างไหมครับ เพราะแม่ผมร้อนใจและเครียดเลยก็ว่าได้...
เล่มทะเีบียนเช่าซื้อรถยนต์สามารถค้ำประกันเงินกู้ธนาคารเดียวกันได้ไหม..
คนรู้จักทำัสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับธนาคารธนชาต และ ส่งชำระค่างวดต่อไม่ไหว
จึงได้ส่งต่อการชำระให้มาผม โดยที่ผมเองก็ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายลงลายลักษณ์อักษร
ตามรายละเอียดการค่าชำค่างวดของธนาคารตามปกติ โดยไม่ได้บอกเรื่องการกู้เงินอีกบัญชีหนี้สินของ
ของทางธนาคารตั้งแต่ปี 52 จนปัจจุบันผมได้ผ่อนชำระค่างวดหมดแล้วและเตรียมพร้อมที่จะโอนรถยนต์เพื่อ
เป็นกรรมสิทธิของผม แต่ทางธนาคารแจ้งว่าสามารถโอนรถได้แต่จะไม่ได้เล่มไปจนกว่า
จะปิดบัญชีเงินกู้ของธนาคารหมดก่อน ซึ่งสัญญาเช่าซื้อทำครั้งแรก ปี 2549 หลังจากนั้นทำสัญญา เงินกู้ปี 2550
และมารีไฟแนนท์ปี 2552 ซึ่งเ็ป็นสัญญาใหม่และผมเองก็ไม่ทราบรายละเอียดเรื่องเงินกู้เลย
แล้วเขาก็ยังอ้างอีกว่า การกู้เงินในโครงการ สาระพัดนึก ได้วางเล่มรถยนต์เป็นหลักประกัน
จริงแล้วสามารถค้ำประกันโดยการซ้อนภาระการกู้ได้หรือไม่ครับ แล้ว อย่างนี้ผมจะมีสิทธิในการโอนรถไหมครับ
แล้วจะมีแนวทางการแก้ไขอย่างไรบ้าง เพราะว่า คนรู้จักเขาไม่มีความสามารถในการชำระบัญชีเงินกู้เลย
และตอนนี้คดีเงินกู้ก็มีการบังคับคดีไปเรียบร้อยแล้ว เพราะคนรู้จักบอกว่ามีหนังสือแจ้งเรื่องบังคับคดีมาเรียบร้อยแล้ว
ประเด็นที่ผมสงสัยคือ ในเมื่อ
1. บัญชีสามารถชำระได้ตามปกติ แต่อีกหนึ่งบัญชีไม่มีการจ่ายมาเลยตั้งแต่ปี 2552
แล้วทำไมถึงไม่ตามบัยชีรถยนต์ในการมาชำระเงินกู้
2. ในการทวงถามตามปกติ หากมีสัญญาพันธะอยู่ในสถาบันเดียวกัน หากผิดชำระบัญชีหนึ่งจะต้องมีแจ้งเรื่องให้ทราบกับอีกบัญขีหนึ่ง
ในบางเดือนผมก็มีส่งช้าแต่ไม่เคยข้ามเดือนเลย และุทกุครั้งที่เขาโทรมาทวงถามผมก็จะไม่ทราบเรื่องและจ่ายในส่วนภาระของผมเอง
3. ครั้งแรกที่โทรสอบถามทาง Call Center บอกว่าเล่มรถเป็นตัวค้ำ ขอครั้งที่ 2 โทรไปบอกเล่มไม่ได้ค้ำ อีกสัก 10 นาที โทรมาบอกอีกว่า
ติดเล่มที่เป็นตัวค้ำ และที่ผมงงคือ สามารถโอนรถได้ แต่ไม่มิสิทธิได้เล่มรถจนกว่าจะจ่ายเงินกู้ให้หมด ผมแปลกที่ว่าทำไมไม่ยืดรถไปเลย
และมีการบังคับคดีเงินกู้ไปหมดเรียบร้อยแล้ว และ ยังมียอดต้องจ่ายอีก 4 งวด และคิดว่าจะดึงเรื่องไว้ก่อน
ไม่ทราบว่าใครเคยมีประสบการณ์แบบผมหรือผู้รู้พอจะบอกได้ผมได้บ้างไหมครับ เพราะแม่ผมร้อนใจและเครียดเลยก็ว่าได้...