สิงคโปร์ “ขโมย” สงกรานต์ไทยจริงหรือ? มุมมองของนักกฎหมาย
หลังจากที่สิงคโปร์ประกาศจะจัดงาน “Celebrate 2014 Songkran” ที่ The Padang ระหว่างวันที่ 12-13 เม.ย. โดยประชาสัมพันธ์ว่าเป็น “Largest Water Festival Celebration Party in Singapore” ได้มีกระแสต่อต้านจากคนไทยหลายกลุ่มใน social network โดยส่วนมากเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เป็นการลอกเลียนแบบ แอบอ้างแบรนด์วัฒนธรรมไทยเพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์โดยไม่คำนึงถึงแก่นแท้ของประเพณีสงกรานต์ บางคนก็อ้างว่าไทยมีลิขสิทธิ์เหนื่อคำว่า “สงกรานต์” บ้างก็แนะนำให้ไปจดสิทธิบัตรประเพณีสงกรานต์ ในขณะที่อีกฝ่ายออกมาสนับสนุนงานของสิงคโปร์โดยเห็นว่าเป็นการช่วยโปรโมทและเผยแพร่วัฒนธรรมของไทยและเป็นจุดเริ่มต้นของการผลักดันให้สงกรานต์กลายเป็น “ASEAN festival” สรุปแล้ว นี่เป็นการ "ฉวย" หรือการ "ช่วย" กันแน่?
เนื่องจากคนไทยหลายคนยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในบางประเด็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ผมในฐานะคนไทยและผู้สนใจกฎหมายสาขาวัฒนธรรม จึงขอให้ความเห็นส่วนตัวและชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งผมหวังว่าจะช่วยให้ความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไม่มากก็น้อย ดังนี้ครับ
***ประเด็นกฎหมายไทย***
1. คำว่า “สงกรานต์” ไม่มีลิขลิทธิ์ครับ เพราะลิขสิทธิ์จะมีได้ก็ต่อเมื่อเป็นงานสร้างสรรค์ประเภท วรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรี ภาพยนตร์และงานสร้างสรรค์อื่นๆ ต้องเป็นงานที่ใหม่ไม่ลอกเลียนงานอื่น และโดยมากต้องสามารถระบุผู้ประพันธ์/ศิลปินได้ชัดเจน คำว่า “สงกรานต์” นั้นเป็นเพียง “ชื่อ” เรียกประเพณี จึงไม่ใช่ “งาน” ที่ก่อให้เกิดลิขสิทธิ์ได้ (copyrightable work) ตัวประเพณีการเล่นน้ำเองก็ไม่มีลิขสิทธิ์ เพราะไม่ได้เป็นงานสร้างสรรค์ประเภทใดประเภทหนึ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น และถึงแม้ว่าจะเป็น ก็เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านาน ไม่ใช่สิ่งใหม่ และไม่สามารถระบุตัวผู้ริเริ่มประเพณีได้
แล้วถามว่าเราจะจดสิทธิบัตร (patent) ประเพณีสงกรานต์ได้ไหม? คำตอบคือ *ไม่ได้* ครับ เพราะจะจดสิทธิบัตร (หรืออนุสิทธิบัตร - petty patent) ได้ก็ต่อเมื่อเป็น "การประดิษฐ์" (invention) เท่านั้น เช่น กลไกรถยนต์ กรรมวิธีการผลิตสินค้า และยารักษาโรคเป็นต้น (ภายใต้กฎหมายไทย นิยาม "การประดิษฐ์" ครอบคลุมถึง "การออกแบบผลิตภัณฑ์" (product design) ด้วย เช่น การออกแบบรถยนต์ การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ) และที่สำคัญ การประดิษฐ์ดังกล่าวจะต้องเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ (new) มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น (inventive step) และสามารถประยุกต์ใช้ได้ในทางอุตสาหกรรม (capable of industrial application) สงกรานต์ คือประเพณี ไม่ใช่การประดิษฐ์ตามความหมายข้างต้น ไม่ใช่สิ่งใหม่ และไม่เคยเห็นใครเอา "สงกรานต์" ไปใช้ในโรงงานอุสหกรรม! และด้วยเหตุผลในทำนองเดียวกันนี้ สงกรานต์ก็ไม่ใช่ เครื่องหมายทางการค้า (trademark) ความลับทางการค้า (trade secret) หรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (geographical indications) ที่ใครจะอ้างสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาได้ และที่สำคัญ ผู้ที่จะถือสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านี้ได้ ต้องเป็นบุคคล กลุ่มบุคคล ชุมชนผู้ผลิต (ในกรณีของสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) หรือนิติบุคคล มิใช่รัฐทั้งรัฐ!
แล้วถามว่าไทยมีกฎหมายอื่นที่จะใช้ในการคุ้มครองประเพณีไทย เช่น สงกรานต์ ในกรณีแบบนี้ไหม? คำตอบ คือ ยังครับ ไทยยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองประเพณีเป็นกรณีพิเศษ มีเพียงแต่
(ก) ร่าง พ.ร.บ. มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของกระทรวงวัฒนธรรม ที่ยังไม่ผ่านเป็นกฎหมาย (ร่างมาตรา ๔๐ กำหนดว่า ห้ามมิให้ผู้ใดนำมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ที่ขึ้นทะเบียนแล้วไปเผยแพร่เพื่อวัตถุประสงค์อันทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้) [สามารถเรียกดูร่างได้ที่
http://www.siamese-heritage.org/pdf/Draft_ICH_Law.pdf ครับ] และ
(ข) การขึ้นทะเบียนเทศกาล "สงกรานต์ "และ "ลอยกระทง" (รวมถึงพิธีการทำขวัญข้าวและพิธีไหว้ครู ฯลฯ) ใน "ทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ" เมื่อปี 2554 ซึ่งทะเบียนดังกล่าว จัดทำขึ้นโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมตั้งแต่ปี 2552 มีวัตถุประสงค์เพื่อประกาศความเป็นเจ้าของและสร้างความตระหนักถึงความสำคัญ คุณค่า และอัตลักษณ์มรดกทางวัฒนธรรมของไทย *แต่* การขึ้นทะเบียนดังกล่าว (ยัง) ไม่ได้มีผลทางกฎหมาย หรือก่อให้เกิดสิทธิทางกฎหมายแต่ประการใด ปัจจุบันเป็นเพียงการแสดงท่าทีและการประกาศทางการเมืองเท่านั้น (ที่ใช้คำว่า "ยัง" ก็เพราะว่า หากร่าง พ.ร.บ. มรดกทางวัฒนธรรมฯ ผ่านเป็นกฎหมายแล้ว เทศกาลสงกรานต์ก็จะได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายตาม พ.ร.บ. ดังกล่าว)
*อย่างไรก็ดี* ร่าง พ.ร.บ. ที่ว่านี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ข้อบทของร่างฯ จึงอาจถูกปรับแก้หรือตัดทิ้งไปได้ และ ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงแม้ว่าพ.ร.บ. ดังกล่าวจะผ่านเป็นกฎหมายแล้ว ไทยจะสามารถบังคับใช้ พ.ร.บ.นี้ได้แค่กับการกระทำผิด *ภายใน* เขตราชอาณาจักรไทยเท่านั้น ไม่สามารถบังคับใช้กับการกระทำผิดที่เกิดนอกเขตแดนไทยได้ (ข้อพึงสังเกต - ในทางทฤษฎีแล้ว เมื่อ พ.ร.บ.ฯ มีผลบังคับ ศาลไทยอาจพิจารณาว่า การบิดเบือนวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นนอกประเทศ เป็นการกระทำที่ส่งผลมาเกิดในราชอาณาจักรไทย และอาศัยมาตรา ๕ ประมวลกฎหมายอาญา เพื่อตีความว่า ความผิดดังกล่าวถือเป็นความผิดที่เกิดขึ้นในไทย ซึ่งจะส่งผลให้ศาลไทยมีอำนาจพิจารณาคดี *แต่ในทางปฏิบัติแล้ว* โอกาสที่ศาลไทยจะดำเนินคดีแบบนี้มีน้อย เพราะยังไม่มีความแน่ชัดเรื่องของกระบวนการที่สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายนี้กับการกระทำนอกราชอาณาจักร)
จากการวิเคราะห์ข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การที่สิงคโปร์ปล่อยให้บริษัทเอกชนของตนนำคำว่า “สงกรานต์” ไปใช้เป็นชื่องานและนำการเล่นน้ำไปเป็นจุดขายของงาน (แม้ว่าจะเป็นการใช้แบบไม่เคารพก็ตาม) ไม่น่าจะถือเป็นการ "ขโมย" หรือละเมิดสิทธิทางทรัพย์สินทางปัญญาหรือสิทธิ์อื่นใดทางกฎหมายของคนไทย ภายใต้กฎหมายไทยที่มีอยู่ครับ
***ประเด็นกฎหมายระหว่างประเทศ และนโยบายด้านวัฒนธรรมของไทย***
2. อย่างไรก็ดี ประเทศไทยและกลุ่มประเทศอื่นในเอเชียซึ่งมีประเพณีสงกรานต์คล้ายกับไทย ได้แก่ พม่า ลาว กัมพูชา ศรีลังกา และจีน (ยูนนาน) อาจถือได้ว่ามีสิทธิ์ร่วมกันในฐานะผู้สร้าง รักษา ดูแล สืบทอด และพัฒนาประเพณีสงกรานต์มาเป็นเวลาช้านาน (แม้จะ (ยัง) ไม่ใช่สิทธิ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศก็ตาม – โปรดดูข้อ 6. ด้านล่าง) โดยเฉพาะไทยและลาวซึ่งใช้คำว่า “สงกรานต์” ร่วมกัน (ประเทศอื่นที่มีประเพณีคล้ายกันนี้จะใช้ชื่อเรียกอื่น) ทั้งไทยและลาวมีส่วนในการสร้างแบรนด์ทางวัฒนธรรมของคำว่า “สงกรานต์” ให้มีคุณค่าเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว การที่สิงคโปร์ใช้คำว่า “Songkran” เรียกชื่องานและประชาสัมพันธ์ว่าเป็น “largest water festival outside of Thailand” แสดงให้เห็นว่าสิงคโปร์ตระหนักถึง “brand value” ของคำว่าสงกรานต์นี้ดี และจงใจใช้จุดนี้เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างผลกำไร
3. ประเพณีสงกรานต์ของไทยมีมาควบคู่กับตำนานของท้าวกบิลพรหมและนางสงกรานต์ เพราะเหตุนี้ในงานสงกรานต์แต่ละปีจะมีการประกาศว่านางสงกรานต์ปีนี้เป็นใคร ทรงอะไร และมีพาหนะอะไร รวมถึงมีการทำนายเรื่องนาคให้น้ำกี่ตัว ฯลฯ ตำนานและความเชื่อดังกล่าวประกอบกับประเพณีการสรงน้ำพระ รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ และการทำบังสุกุลให้แก่บรรพบุรุษ ถือเป็นหัวใจหลักของประเพณีสงกรานต์ (หาใช่การเล่นน้ำไม่) กล่าวคือ หัวใจหลักของประเพณีสงกรานต์และคำว่า "สงกรานต์" อยู่ที่ความเชื่อและวิถีชีวิตของคนไทย การเล่นน้ำเป็นเพียงเปลือกเท่านั้น หากพูดตามภาษากฎหมายระหว่างประเทศสาขามรดกทางวัฒนธรรม (international cultural heritage law) แล้ว สงกรานต์ถือเป็น "มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้อง (สัมผัสด้วยมือ) ไม่ได้" (intangible cultural heritage) ของไทยอันเป็นอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม (cultural identity) ที่ชาวไทยหลายคน (แต่อาจไม่ทุกคน) ต้องการรักษาและอนุรักษ์ไว้ไม่ให้ถูกบิดเบือน (แม้ว่าคนไทยหลายคนเอง โดยเฉพาะวัยรุ่นจะไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ก็ตาม)
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมชาวไทยหลายกลุ่มได้แสดงความกังวลต่อการจัดงานครั้งนี้ของสิงคโปร์ภายใต้ชื่อ “Songkran” ด้วยเกรงว่า จะเป็นการนำประเพณีไทยออกนอกบริบททางวัฒนธรรม เป็นการนำเอาแต่ “เปลือก” ของสงกรานต์ (การเล่นน้ำ) ไปขายโดยที่ไม่ได้นำ “แก่น” ไปด้วย หลายคนเห็นว่าการกระทำดังกล่าวจะเป็นการบั่นทอนและลดคุณค่า (degrade & devalue) ประเพณีสงกรานต์ไทย
4. ส่วนตัวแล้ว ผมไม่คัดค้านหากผู้จัดงานใช้คำว่า “Water Festival” แทนคำว่า “Songkran” (เพราะคำว่า “water festival” มีความหมายต่างจากคำว่า “Songkran” อย่างมากในแง่ของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาและภูมิปัญญา) อันที่จริงจะใช้คำว่า “สงกรานต์” ก็ไม่ว่า และจะสนับสนุนด้วยซ้ำไป แต่ขอให้ใช้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และด้วยความเคารพ อย่างน้อยขอให้มีการสรงน้ำพระและการให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับประวัติ ตำนาน และความสำคัญของประเพณีสงกรานต์ต่อประเทศไทย (อาจรวมถึงลาว พม่า กัมพูชา ศรีลังกา และยูนนานด้วย) เพื่อไม่ให้เกิดการบิดเบือนในสายตาของชาวต่างชาติว่า สงกรานต์เป็นเพียงเทศกาลแห่งความสนุกเพียงอย่างเดียว อันจะเป็นการทำลายทั้งภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของไทย และอาจบั่นทอนแบรนด์ทางวัฒนธรรมที่ไทยใช้เวลาหลายสิบปีในการสร้างขึ้นด้วย
จริงอยู่ครับที่ไทยเองต้องปรับปรุงตัวและต้องพยายาม re-brand ตัวเองใหม่ เพราะปัญหาความรุนแรง ความสกปรก และการกระทำอนาจารระหว่างการเล่นสงกรานต์ในไทยเป็นปัญหาที่เราปฏิเสธไม่ได้ และคนไทยก็มีส่วนในการบั่นทอนและลดคุณค่าประเพณีของเราเอง อย่างไรก็ดี นี่ไม่ได้หมายความว่าสิงคโปร์จะนำเอาสงกรานต์ไปใช้โดยอ้างว่า “ประเทศไทยยังไม่เห็นสนใจรักษาแก่นของสงกรานต์ตัวเองเลย จะมากังวลว่าสิงคโปร์จะทำให้สงกรานต์เสื่อมทำไม” ได้ เนื่องจากประเด็นปัญหาของการจัดงานสงกรานต์ในไทย เป็นคนละประเด็นกับเรื่องความเหมาะสมของการใช้คำว่า “สงกรานต์” โดยองค์กรเอกชนของสิงคโปร์
หลายคนชี้ให้เห็นว่า งานสงกรานต์มีการจัดขึ้นนอกประเทศไทยมานานแล้ว ในสิงคโปร์เองก็มีการจัดกันมาก่อน อย่างไรก็ดี ส่วนมากแล้วการจัดงานดังกล่าว เป็นการจัดกันระหว่างชุมชนชาวไทยในต่างประเทศ หรือจัดโดยหน่วยงานภาครัฐของไทย เพื่อสานต่อและเฉลิมฉลองสงกรานต์ระหว่างหมู่คนไทยด้วยกันเองและเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้ชาวต่างชาติ และไม่มีการประชาสัมพันธ์เชิงพาณิชย์อย่างกว้างขวางเช่นการจัดงานครั้งนี้ของสิงคโปร์ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างกำไรจากแบรนด์วัฒนธรรมไทยเข้ากระเป๋าของผู้จัดชาวสิงคโปร์ (แม้ว่าจะมีร้านค้าไทยและศิลปินไทยเข้าร่วมก็ตาม)
5. คนไทยบางคนเห็นว่า ไทยจัดงานคริสต์มาส วาเลนไทน์ ฮาโลวีน ฯลฯ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมต่างชาติ มาตั้งนาน ดังนั้นควรจะใจกว้างให้ชาติอื่นจัดงานสงกรานต์บ้าง ในประเด็นนี้ ผมเห็นว่า เป็นการเปรียบเทียบที่ผิดฝาผิดตัว เนื่องจาก เทศกาลคริสต์มาส ฯลฯ เป็นเทศกาลของชาวคริสต์ทั่วโลก มิได้จำกัดอยู่ที่กลุ่มประเทศใดกลุ่มประเทศหนึ่ง ต่างจากประเพณีสงกรานต์ซึ่งจำกัดอยู่ที่ไทย พม่า กัมพูชา ลาว ศรีลังกา และยูนนาน นอกจากนี้ เทศกาลคริสต์มาสยังมีประวัติเชิงพาณิชย์ที่ยาวนาน ตัวอย่างเช่น บริษัท Coca-Cola และบริษัทผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้ใช้ซานตาคลอส (Santa Claus) และเทศกาลคริสต์มาส เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าตัวเองทั่วโลกมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งต่างจากเทศกาลสงกรานต์ของไทยที่ไม่มีประวัติเชิงพาณิชย์เช่นนั้น
หลายท่านเห็นว่า เราไม่ควร "แช่แข็ง" วัฒนธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาหรือหวงแหนจนเกินความจำเป็น ซึ่งผมเห็นด้วยครับ แต่บางครั้ง เราต้องมีมาตรการคุ้มครองเพื่อไม่ให้วัฒนธรรมเก่าถูกดูดกลืนหายไปกลับวัฒนธรรมใหม่ซึ่งส่วนมากเป็นวัฒนธรรมของชาติที่มีอิทธิพลทางการเมืองมากกว่าเรา กล่าวคือ เราควรใส่ "เกราะ" ให้วัฒนธรรมไทยเพื่อให้สามารถมีชีวิตอยู่ ปรับปรุง พัฒนา เติบโต แลกเปลี่ยน และถ่ายโอนกับวัฒนธรรมอื่น โดยที่ไม่ถูกกลืน สาบสูญ และพ่ายแพ้ไปใน "สงคราม" ทางวัฒนธรรมของโลก

(มีต่อ)
สิงคโปร์ "ขโมย" สงกรานต์ไทย จริงหรือ? มุมมองนักกฎหมาย
หลังจากที่สิงคโปร์ประกาศจะจัดงาน “Celebrate 2014 Songkran” ที่ The Padang ระหว่างวันที่ 12-13 เม.ย. โดยประชาสัมพันธ์ว่าเป็น “Largest Water Festival Celebration Party in Singapore” ได้มีกระแสต่อต้านจากคนไทยหลายกลุ่มใน social network โดยส่วนมากเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เป็นการลอกเลียนแบบ แอบอ้างแบรนด์วัฒนธรรมไทยเพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์โดยไม่คำนึงถึงแก่นแท้ของประเพณีสงกรานต์ บางคนก็อ้างว่าไทยมีลิขสิทธิ์เหนื่อคำว่า “สงกรานต์” บ้างก็แนะนำให้ไปจดสิทธิบัตรประเพณีสงกรานต์ ในขณะที่อีกฝ่ายออกมาสนับสนุนงานของสิงคโปร์โดยเห็นว่าเป็นการช่วยโปรโมทและเผยแพร่วัฒนธรรมของไทยและเป็นจุดเริ่มต้นของการผลักดันให้สงกรานต์กลายเป็น “ASEAN festival” สรุปแล้ว นี่เป็นการ "ฉวย" หรือการ "ช่วย" กันแน่?
เนื่องจากคนไทยหลายคนยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในบางประเด็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ผมในฐานะคนไทยและผู้สนใจกฎหมายสาขาวัฒนธรรม จึงขอให้ความเห็นส่วนตัวและชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งผมหวังว่าจะช่วยให้ความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไม่มากก็น้อย ดังนี้ครับ
***ประเด็นกฎหมายไทย***
1. คำว่า “สงกรานต์” ไม่มีลิขลิทธิ์ครับ เพราะลิขสิทธิ์จะมีได้ก็ต่อเมื่อเป็นงานสร้างสรรค์ประเภท วรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรี ภาพยนตร์และงานสร้างสรรค์อื่นๆ ต้องเป็นงานที่ใหม่ไม่ลอกเลียนงานอื่น และโดยมากต้องสามารถระบุผู้ประพันธ์/ศิลปินได้ชัดเจน คำว่า “สงกรานต์” นั้นเป็นเพียง “ชื่อ” เรียกประเพณี จึงไม่ใช่ “งาน” ที่ก่อให้เกิดลิขสิทธิ์ได้ (copyrightable work) ตัวประเพณีการเล่นน้ำเองก็ไม่มีลิขสิทธิ์ เพราะไม่ได้เป็นงานสร้างสรรค์ประเภทใดประเภทหนึ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น และถึงแม้ว่าจะเป็น ก็เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านาน ไม่ใช่สิ่งใหม่ และไม่สามารถระบุตัวผู้ริเริ่มประเพณีได้
แล้วถามว่าเราจะจดสิทธิบัตร (patent) ประเพณีสงกรานต์ได้ไหม? คำตอบคือ *ไม่ได้* ครับ เพราะจะจดสิทธิบัตร (หรืออนุสิทธิบัตร - petty patent) ได้ก็ต่อเมื่อเป็น "การประดิษฐ์" (invention) เท่านั้น เช่น กลไกรถยนต์ กรรมวิธีการผลิตสินค้า และยารักษาโรคเป็นต้น (ภายใต้กฎหมายไทย นิยาม "การประดิษฐ์" ครอบคลุมถึง "การออกแบบผลิตภัณฑ์" (product design) ด้วย เช่น การออกแบบรถยนต์ การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ) และที่สำคัญ การประดิษฐ์ดังกล่าวจะต้องเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ (new) มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น (inventive step) และสามารถประยุกต์ใช้ได้ในทางอุตสาหกรรม (capable of industrial application) สงกรานต์ คือประเพณี ไม่ใช่การประดิษฐ์ตามความหมายข้างต้น ไม่ใช่สิ่งใหม่ และไม่เคยเห็นใครเอา "สงกรานต์" ไปใช้ในโรงงานอุสหกรรม! และด้วยเหตุผลในทำนองเดียวกันนี้ สงกรานต์ก็ไม่ใช่ เครื่องหมายทางการค้า (trademark) ความลับทางการค้า (trade secret) หรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (geographical indications) ที่ใครจะอ้างสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาได้ และที่สำคัญ ผู้ที่จะถือสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านี้ได้ ต้องเป็นบุคคล กลุ่มบุคคล ชุมชนผู้ผลิต (ในกรณีของสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) หรือนิติบุคคล มิใช่รัฐทั้งรัฐ!
แล้วถามว่าไทยมีกฎหมายอื่นที่จะใช้ในการคุ้มครองประเพณีไทย เช่น สงกรานต์ ในกรณีแบบนี้ไหม? คำตอบ คือ ยังครับ ไทยยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองประเพณีเป็นกรณีพิเศษ มีเพียงแต่
(ก) ร่าง พ.ร.บ. มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของกระทรวงวัฒนธรรม ที่ยังไม่ผ่านเป็นกฎหมาย (ร่างมาตรา ๔๐ กำหนดว่า ห้ามมิให้ผู้ใดนำมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ที่ขึ้นทะเบียนแล้วไปเผยแพร่เพื่อวัตถุประสงค์อันทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้) [สามารถเรียกดูร่างได้ที่ http://www.siamese-heritage.org/pdf/Draft_ICH_Law.pdf ครับ] และ
(ข) การขึ้นทะเบียนเทศกาล "สงกรานต์ "และ "ลอยกระทง" (รวมถึงพิธีการทำขวัญข้าวและพิธีไหว้ครู ฯลฯ) ใน "ทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ" เมื่อปี 2554 ซึ่งทะเบียนดังกล่าว จัดทำขึ้นโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมตั้งแต่ปี 2552 มีวัตถุประสงค์เพื่อประกาศความเป็นเจ้าของและสร้างความตระหนักถึงความสำคัญ คุณค่า และอัตลักษณ์มรดกทางวัฒนธรรมของไทย *แต่* การขึ้นทะเบียนดังกล่าว (ยัง) ไม่ได้มีผลทางกฎหมาย หรือก่อให้เกิดสิทธิทางกฎหมายแต่ประการใด ปัจจุบันเป็นเพียงการแสดงท่าทีและการประกาศทางการเมืองเท่านั้น (ที่ใช้คำว่า "ยัง" ก็เพราะว่า หากร่าง พ.ร.บ. มรดกทางวัฒนธรรมฯ ผ่านเป็นกฎหมายแล้ว เทศกาลสงกรานต์ก็จะได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายตาม พ.ร.บ. ดังกล่าว)
*อย่างไรก็ดี* ร่าง พ.ร.บ. ที่ว่านี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ข้อบทของร่างฯ จึงอาจถูกปรับแก้หรือตัดทิ้งไปได้ และ ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงแม้ว่าพ.ร.บ. ดังกล่าวจะผ่านเป็นกฎหมายแล้ว ไทยจะสามารถบังคับใช้ พ.ร.บ.นี้ได้แค่กับการกระทำผิด *ภายใน* เขตราชอาณาจักรไทยเท่านั้น ไม่สามารถบังคับใช้กับการกระทำผิดที่เกิดนอกเขตแดนไทยได้ (ข้อพึงสังเกต - ในทางทฤษฎีแล้ว เมื่อ พ.ร.บ.ฯ มีผลบังคับ ศาลไทยอาจพิจารณาว่า การบิดเบือนวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นนอกประเทศ เป็นการกระทำที่ส่งผลมาเกิดในราชอาณาจักรไทย และอาศัยมาตรา ๕ ประมวลกฎหมายอาญา เพื่อตีความว่า ความผิดดังกล่าวถือเป็นความผิดที่เกิดขึ้นในไทย ซึ่งจะส่งผลให้ศาลไทยมีอำนาจพิจารณาคดี *แต่ในทางปฏิบัติแล้ว* โอกาสที่ศาลไทยจะดำเนินคดีแบบนี้มีน้อย เพราะยังไม่มีความแน่ชัดเรื่องของกระบวนการที่สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายนี้กับการกระทำนอกราชอาณาจักร)
จากการวิเคราะห์ข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การที่สิงคโปร์ปล่อยให้บริษัทเอกชนของตนนำคำว่า “สงกรานต์” ไปใช้เป็นชื่องานและนำการเล่นน้ำไปเป็นจุดขายของงาน (แม้ว่าจะเป็นการใช้แบบไม่เคารพก็ตาม) ไม่น่าจะถือเป็นการ "ขโมย" หรือละเมิดสิทธิทางทรัพย์สินทางปัญญาหรือสิทธิ์อื่นใดทางกฎหมายของคนไทย ภายใต้กฎหมายไทยที่มีอยู่ครับ
***ประเด็นกฎหมายระหว่างประเทศ และนโยบายด้านวัฒนธรรมของไทย***
2. อย่างไรก็ดี ประเทศไทยและกลุ่มประเทศอื่นในเอเชียซึ่งมีประเพณีสงกรานต์คล้ายกับไทย ได้แก่ พม่า ลาว กัมพูชา ศรีลังกา และจีน (ยูนนาน) อาจถือได้ว่ามีสิทธิ์ร่วมกันในฐานะผู้สร้าง รักษา ดูแล สืบทอด และพัฒนาประเพณีสงกรานต์มาเป็นเวลาช้านาน (แม้จะ (ยัง) ไม่ใช่สิทธิ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศก็ตาม – โปรดดูข้อ 6. ด้านล่าง) โดยเฉพาะไทยและลาวซึ่งใช้คำว่า “สงกรานต์” ร่วมกัน (ประเทศอื่นที่มีประเพณีคล้ายกันนี้จะใช้ชื่อเรียกอื่น) ทั้งไทยและลาวมีส่วนในการสร้างแบรนด์ทางวัฒนธรรมของคำว่า “สงกรานต์” ให้มีคุณค่าเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว การที่สิงคโปร์ใช้คำว่า “Songkran” เรียกชื่องานและประชาสัมพันธ์ว่าเป็น “largest water festival outside of Thailand” แสดงให้เห็นว่าสิงคโปร์ตระหนักถึง “brand value” ของคำว่าสงกรานต์นี้ดี และจงใจใช้จุดนี้เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างผลกำไร
3. ประเพณีสงกรานต์ของไทยมีมาควบคู่กับตำนานของท้าวกบิลพรหมและนางสงกรานต์ เพราะเหตุนี้ในงานสงกรานต์แต่ละปีจะมีการประกาศว่านางสงกรานต์ปีนี้เป็นใคร ทรงอะไร และมีพาหนะอะไร รวมถึงมีการทำนายเรื่องนาคให้น้ำกี่ตัว ฯลฯ ตำนานและความเชื่อดังกล่าวประกอบกับประเพณีการสรงน้ำพระ รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ และการทำบังสุกุลให้แก่บรรพบุรุษ ถือเป็นหัวใจหลักของประเพณีสงกรานต์ (หาใช่การเล่นน้ำไม่) กล่าวคือ หัวใจหลักของประเพณีสงกรานต์และคำว่า "สงกรานต์" อยู่ที่ความเชื่อและวิถีชีวิตของคนไทย การเล่นน้ำเป็นเพียงเปลือกเท่านั้น หากพูดตามภาษากฎหมายระหว่างประเทศสาขามรดกทางวัฒนธรรม (international cultural heritage law) แล้ว สงกรานต์ถือเป็น "มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้อง (สัมผัสด้วยมือ) ไม่ได้" (intangible cultural heritage) ของไทยอันเป็นอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม (cultural identity) ที่ชาวไทยหลายคน (แต่อาจไม่ทุกคน) ต้องการรักษาและอนุรักษ์ไว้ไม่ให้ถูกบิดเบือน (แม้ว่าคนไทยหลายคนเอง โดยเฉพาะวัยรุ่นจะไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ก็ตาม)
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมชาวไทยหลายกลุ่มได้แสดงความกังวลต่อการจัดงานครั้งนี้ของสิงคโปร์ภายใต้ชื่อ “Songkran” ด้วยเกรงว่า จะเป็นการนำประเพณีไทยออกนอกบริบททางวัฒนธรรม เป็นการนำเอาแต่ “เปลือก” ของสงกรานต์ (การเล่นน้ำ) ไปขายโดยที่ไม่ได้นำ “แก่น” ไปด้วย หลายคนเห็นว่าการกระทำดังกล่าวจะเป็นการบั่นทอนและลดคุณค่า (degrade & devalue) ประเพณีสงกรานต์ไทย
4. ส่วนตัวแล้ว ผมไม่คัดค้านหากผู้จัดงานใช้คำว่า “Water Festival” แทนคำว่า “Songkran” (เพราะคำว่า “water festival” มีความหมายต่างจากคำว่า “Songkran” อย่างมากในแง่ของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาและภูมิปัญญา) อันที่จริงจะใช้คำว่า “สงกรานต์” ก็ไม่ว่า และจะสนับสนุนด้วยซ้ำไป แต่ขอให้ใช้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และด้วยความเคารพ อย่างน้อยขอให้มีการสรงน้ำพระและการให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับประวัติ ตำนาน และความสำคัญของประเพณีสงกรานต์ต่อประเทศไทย (อาจรวมถึงลาว พม่า กัมพูชา ศรีลังกา และยูนนานด้วย) เพื่อไม่ให้เกิดการบิดเบือนในสายตาของชาวต่างชาติว่า สงกรานต์เป็นเพียงเทศกาลแห่งความสนุกเพียงอย่างเดียว อันจะเป็นการทำลายทั้งภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของไทย และอาจบั่นทอนแบรนด์ทางวัฒนธรรมที่ไทยใช้เวลาหลายสิบปีในการสร้างขึ้นด้วย
จริงอยู่ครับที่ไทยเองต้องปรับปรุงตัวและต้องพยายาม re-brand ตัวเองใหม่ เพราะปัญหาความรุนแรง ความสกปรก และการกระทำอนาจารระหว่างการเล่นสงกรานต์ในไทยเป็นปัญหาที่เราปฏิเสธไม่ได้ และคนไทยก็มีส่วนในการบั่นทอนและลดคุณค่าประเพณีของเราเอง อย่างไรก็ดี นี่ไม่ได้หมายความว่าสิงคโปร์จะนำเอาสงกรานต์ไปใช้โดยอ้างว่า “ประเทศไทยยังไม่เห็นสนใจรักษาแก่นของสงกรานต์ตัวเองเลย จะมากังวลว่าสิงคโปร์จะทำให้สงกรานต์เสื่อมทำไม” ได้ เนื่องจากประเด็นปัญหาของการจัดงานสงกรานต์ในไทย เป็นคนละประเด็นกับเรื่องความเหมาะสมของการใช้คำว่า “สงกรานต์” โดยองค์กรเอกชนของสิงคโปร์
หลายคนชี้ให้เห็นว่า งานสงกรานต์มีการจัดขึ้นนอกประเทศไทยมานานแล้ว ในสิงคโปร์เองก็มีการจัดกันมาก่อน อย่างไรก็ดี ส่วนมากแล้วการจัดงานดังกล่าว เป็นการจัดกันระหว่างชุมชนชาวไทยในต่างประเทศ หรือจัดโดยหน่วยงานภาครัฐของไทย เพื่อสานต่อและเฉลิมฉลองสงกรานต์ระหว่างหมู่คนไทยด้วยกันเองและเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้ชาวต่างชาติ และไม่มีการประชาสัมพันธ์เชิงพาณิชย์อย่างกว้างขวางเช่นการจัดงานครั้งนี้ของสิงคโปร์ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างกำไรจากแบรนด์วัฒนธรรมไทยเข้ากระเป๋าของผู้จัดชาวสิงคโปร์ (แม้ว่าจะมีร้านค้าไทยและศิลปินไทยเข้าร่วมก็ตาม)
5. คนไทยบางคนเห็นว่า ไทยจัดงานคริสต์มาส วาเลนไทน์ ฮาโลวีน ฯลฯ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมต่างชาติ มาตั้งนาน ดังนั้นควรจะใจกว้างให้ชาติอื่นจัดงานสงกรานต์บ้าง ในประเด็นนี้ ผมเห็นว่า เป็นการเปรียบเทียบที่ผิดฝาผิดตัว เนื่องจาก เทศกาลคริสต์มาส ฯลฯ เป็นเทศกาลของชาวคริสต์ทั่วโลก มิได้จำกัดอยู่ที่กลุ่มประเทศใดกลุ่มประเทศหนึ่ง ต่างจากประเพณีสงกรานต์ซึ่งจำกัดอยู่ที่ไทย พม่า กัมพูชา ลาว ศรีลังกา และยูนนาน นอกจากนี้ เทศกาลคริสต์มาสยังมีประวัติเชิงพาณิชย์ที่ยาวนาน ตัวอย่างเช่น บริษัท Coca-Cola และบริษัทผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้ใช้ซานตาคลอส (Santa Claus) และเทศกาลคริสต์มาส เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าตัวเองทั่วโลกมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งต่างจากเทศกาลสงกรานต์ของไทยที่ไม่มีประวัติเชิงพาณิชย์เช่นนั้น
หลายท่านเห็นว่า เราไม่ควร "แช่แข็ง" วัฒนธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาหรือหวงแหนจนเกินความจำเป็น ซึ่งผมเห็นด้วยครับ แต่บางครั้ง เราต้องมีมาตรการคุ้มครองเพื่อไม่ให้วัฒนธรรมเก่าถูกดูดกลืนหายไปกลับวัฒนธรรมใหม่ซึ่งส่วนมากเป็นวัฒนธรรมของชาติที่มีอิทธิพลทางการเมืองมากกว่าเรา กล่าวคือ เราควรใส่ "เกราะ" ให้วัฒนธรรมไทยเพื่อให้สามารถมีชีวิตอยู่ ปรับปรุง พัฒนา เติบโต แลกเปลี่ยน และถ่ายโอนกับวัฒนธรรมอื่น โดยที่ไม่ถูกกลืน สาบสูญ และพ่ายแพ้ไปใน "สงคราม" ทางวัฒนธรรมของโลก
(มีต่อ)