"แนวทางของพวกเราที่ยูไนเต็ดคือ เมื่อมีผู้เล่นของเราคนหนึ่งได้บอล เราจะเคลื่อนที่ และผู้เล่นคนอื่นจะมาช่วยสนับสนุนการเล่น"
เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
นี่คือคำกล่าวที่แสดงให้เห็นถึงปรัชญาการเล่นฟุตบอลของสโมสรแมนฯยูไนเต็ดได้อย่างชัดเจนที่สุด ฟุตบอลที่เน้นการผ่านบอลไปมาอย่างรวดเร็วในทุกทิศทาง เมื่อมีคนได้บอล เพื่อนร่วมทีมจะคอยเข้าไปประคองและสนับสนุน
ดูตัวอย่างจากการซ้อมรับส่งบอลและเกมครึ่งสนามของทีมสมัยเฟอร์กี้

สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ แพสชั่นของทีมงาน รวมไปถึงโค้ชอย่าง เรเน่ มัลเลสตีน ที่จะคอยกระตุ้นนักเตะอยู่ตลอด "นายโดนบีบแล้วนะๆๆๆ นายจะแก้บอลออกมายังไง"
หากแต่เมื่อเซอร์อเล็กซ์เลือกที่จะเกษียณตัวเองออกจากงานที่เขาทำมากว่า 20 ปี และผู้จัดการทีมคนใหม่ที่เข้ามารับงานคือ "เดวิด มอยส์"
เดวิด มอยส์ รับตำแหน่งด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นคือ ความใจสู้แบบคนสก็อตต์ และการให้โอกาสนักเตะระดับเยาวชน ที่เอฟเวอร์ตันทีมเก่าของเขา มีนักเตะรุ่นเยาว์มากมายที่เติบโตขึ้นมากลายเป็นนักเตะระดับชาติ หากแต่เรื่องที่อ่อนด้อยที่สุดของ มอยส์ นั้นคงหนีไม่พ้นเรื่อง "แทคติก" ในเกมฟุตบอล
มอยส์ ทำทีมฟุตบอลของตัวเองด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านมานับสิบๆปี ฟุตบอลของมอยส์นั้นเป็นฟุตบอลไดเร็กต์แบบโบราณ ที่มีจุดเด่นที่การคุมพื้นที่ด้วยพละกำลังของนักเตะ การโยนยาว และลูกครอส ซึ่งนี่ไม่ใช่ฟุตบอลในอุดมคติของทีมใหญ่ที่ควรจะเป็นเลย เพราะมันขาดซึ่งประสิทธิภาพ ดักทางได้ง่าย ไม่มีความสม่ำเสมอ และไร้ความแน่นอนเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเป็นแบบนี้ทรงบอลของทีมก็จะออกมาแข็งทื่อเป็นสี่เหลี่ยม ดังตัวอย่างที่เห็นได้ในภาพด้านล่างนี้ล่ะครับ...
ดูคลิปการซ้อมของ มอยส์ ที่เอฟเวอร์ตันสิครับ คุณจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนในฟุตบอลของมอยส์ กับ แมนฯยูไนเต็ด
ยิ่ง มอยส์ นำแทคติกนี้มาใช้กับยูไนเต็ดที่นักเตะคุ้นเคยกับพาสซิ่งเกมของเซอร์อเล็กซ์มาโดยตลอด ทุกๆอย่างจึงพังทลาย...
แต่ในวิกฤติทุกครั้ง ย่อมมีโอกาสและความหวังเหลืออยู่...
สิ่งที่ผมเห็นในเกมที่ยูไนเต็ดชนะเวสต์แฮม 2-0 ในเกมเมื่อวาน ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่เกมที่แมนยูโชว์ฟอร์มได้ดีในฤดูกาลนี้ นั่นคือ การเล่นของ ชินจิ คากาวะ
การเล่นของคากาวะนั้นช่วยยกระดับของทีมทั้งหมด ทั้งการลงมาช่วยต่อบอลถึงกองหลัง สร้างรูปสามเหลี่ยมในการชิ่งบอล เชื่อมเกม ไม่ให้บอลตาย ทั้งหมดนี้ทำให้ทรงบอลของมอยส์ที่แข็งทื่อมะลื่อเป็นสี่เหลี่ยมนั้นผ่อนคลายลง และกลับมาเข้าใกล้พาสซิ่งฟุตบอลมากยิ่งขึ้น...
คากาวะอาจไม่ได้เล่นได้ดีทุกเกมในฤดูกาลนี้ แต่แทบทุกเกมที่แมนฯยูไนเต็ดฤดูกาลนี้เล่นดี จะต้องมีคากาวะเข้าไปเกี่ยวข้องเสมอ...
ผมเชื่อว่านี่เป็นเพราะสัญชาตญาณการเล่นของนักเตะที่ทำไปโดยธรรมชาติ ไม่ใช่โดยทีมงานโค้ชสั่งแต่อย่างใด ดูได้จากสมัยป๋าเฟอร์กี้ คากาวะก็ไม่สามารถสร้างความโดดเด่นแบบนี้ เนื่องจากคุณป๋านั้นนิยมใช้บริการของคู่หูคนโปรดของแกคือ ปลัดคาร์ริค และ หนูทอม เคลฟเวอร์ลีย์ มากกว่า ( เดาว่าคงเป็นเพราะ หนูทอมนั้นมีความแข็งแรง ขยัน และแย่งบอลดีกว่าคากาวะ ในสายตาของคุณป๋า )
แต่นั่นคือ ฝีมือของบรมกุนซือ ผู้เชี่ยวชาญในการเล่นพาสซิ่งเกมมากว่า 20 ปี ไงครับ... ถ้าให้ มอยส์ ใช้งานนักเตะผึ้งงานแบบเคลฟเวอร์ลีย์แบบนั้นบ้าง ผลจะเป็นอย่างไร ??? ก็เกมเยือน โอลิมเปียกอส นั่นไง เห็นๆกันอยู่... นักเตะผึ้งงานอย่าง เคลฟเวอร์ลีย์ เขาทำได้แค่ตามคำสั่งโค้ชด้วยความสามารถที่จำกัดของตัวเอง คือคอยวิ่งประคองเพื่อน ต่อบอล และไล่แย่งบอลเท่านั้น หากไม่มีระบบทีมที่เหมาะกับเขา หรือต้องให้เขาทำเกินหน้าที่ ความวินาศโดยส่วนรวมย่อมบังเกิดในที่สุด...
ผมเชื่อว่า การศึกษาแทคติกในรูปแบบที่ตัวเองไม่ถนัดให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เพื่อเอาไปใช้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ป๋าเฟอร์กี้กว่าจะใช้งานระบบ 4-5-1 และ 4-2-3-1 ได้ดี ก็ต้องใช้เวลาหลายฤดูกาลบวกกับมือขวาที่ยอดเยี่ยมอย่าง คาร์ลอส เครอซ อีกต่างหาก แต่สำหรับมอยส์ มองไปทางซ้ายก็เจอสตีฟ ราวนด์ มองไปทางขวาก็ ฟิลล์ เนวิลล์ มันไร้ความหวังที่จะทำให้สตาฟโค้ชเข้าใจในแทคติกนี้ได้อย่างรวดเร็วจริงๆ จำต้องพึ่งนักเตะที่มีเซนส์ในการเล่นพาสซิ่งเกมอย่าง คากาวะ เพื่อนำยูไนเต็ดกลับคืนมา...
สุดท้าย การเล่นพาสซิ่งฟุตบอล อาจไม่ได้การันตีความสำเร็จ ไม่ได้การันตีว่าจะต้องได้รับชัยชนะทุกนัด แต่สิ่งที่พาสซิ่งการันตีให้คือ "ความสม่ำเสมอและคงเส้นคงวา" ครับ ซึ่งนี่เป็นคุณสมบัติที่ต้องมีของทีมชั้นนำทุกๆทีม ( แน่นอนถ้าเป็นบอลไดเร็กต์ คุณคงไม่หวังให้โยนยาวครึ่งสนามเข้าหัวกองหน้าทุกนัดใช่ไหม )
เดวิด มอยส์ หากคุณยังไม่โดนไล่ออก ลดอีโก้ของตัวเองเถิดครับ ฟุตบอลของคุณมันไม่มีทางที่จะสำเร็จที่ยูไนเต็ดได้หรอก ไม่ใช่แค่ยูไนเต็ดแต่เป็นทีมใหญ่ทุกทีมในโลกด้วย... เลิกโยนยาว เลิกคุมโซนแบบห่ามๆด้วยพละกำลังนักเตะซะ แล้วหันมาใช้พาสซิ่งเกม ใช้นักเตะที่เหมาะสม และนำยูไนเต็ดที่แท้จริงกลับคืนมา...
เดวิด มอยส์ หากคุณยังไม่รู้ว่า พาสซิ่งฟุตบอล นั้นเล่นยังไง... ก็โปรดส่ง ชินจิ คากาวะ ลงสนามเถิดครับ...
เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
นี่คือคำกล่าวที่แสดงให้เห็นถึงปรัชญาการเล่นฟุตบอลของสโมสรแมนฯยูไนเต็ดได้อย่างชัดเจนที่สุด ฟุตบอลที่เน้นการผ่านบอลไปมาอย่างรวดเร็วในทุกทิศทาง เมื่อมีคนได้บอล เพื่อนร่วมทีมจะคอยเข้าไปประคองและสนับสนุน
ดูตัวอย่างจากการซ้อมรับส่งบอลและเกมครึ่งสนามของทีมสมัยเฟอร์กี้
สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ แพสชั่นของทีมงาน รวมไปถึงโค้ชอย่าง เรเน่ มัลเลสตีน ที่จะคอยกระตุ้นนักเตะอยู่ตลอด "นายโดนบีบแล้วนะๆๆๆ นายจะแก้บอลออกมายังไง"
หากแต่เมื่อเซอร์อเล็กซ์เลือกที่จะเกษียณตัวเองออกจากงานที่เขาทำมากว่า 20 ปี และผู้จัดการทีมคนใหม่ที่เข้ามารับงานคือ "เดวิด มอยส์"
เดวิด มอยส์ รับตำแหน่งด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นคือ ความใจสู้แบบคนสก็อตต์ และการให้โอกาสนักเตะระดับเยาวชน ที่เอฟเวอร์ตันทีมเก่าของเขา มีนักเตะรุ่นเยาว์มากมายที่เติบโตขึ้นมากลายเป็นนักเตะระดับชาติ หากแต่เรื่องที่อ่อนด้อยที่สุดของ มอยส์ นั้นคงหนีไม่พ้นเรื่อง "แทคติก" ในเกมฟุตบอล
มอยส์ ทำทีมฟุตบอลของตัวเองด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านมานับสิบๆปี ฟุตบอลของมอยส์นั้นเป็นฟุตบอลไดเร็กต์แบบโบราณ ที่มีจุดเด่นที่การคุมพื้นที่ด้วยพละกำลังของนักเตะ การโยนยาว และลูกครอส ซึ่งนี่ไม่ใช่ฟุตบอลในอุดมคติของทีมใหญ่ที่ควรจะเป็นเลย เพราะมันขาดซึ่งประสิทธิภาพ ดักทางได้ง่าย ไม่มีความสม่ำเสมอ และไร้ความแน่นอนเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเป็นแบบนี้ทรงบอลของทีมก็จะออกมาแข็งทื่อเป็นสี่เหลี่ยม ดังตัวอย่างที่เห็นได้ในภาพด้านล่างนี้ล่ะครับ...
ดูคลิปการซ้อมของ มอยส์ ที่เอฟเวอร์ตันสิครับ คุณจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนในฟุตบอลของมอยส์ กับ แมนฯยูไนเต็ด
ยิ่ง มอยส์ นำแทคติกนี้มาใช้กับยูไนเต็ดที่นักเตะคุ้นเคยกับพาสซิ่งเกมของเซอร์อเล็กซ์มาโดยตลอด ทุกๆอย่างจึงพังทลาย...
แต่ในวิกฤติทุกครั้ง ย่อมมีโอกาสและความหวังเหลืออยู่...
สิ่งที่ผมเห็นในเกมที่ยูไนเต็ดชนะเวสต์แฮม 2-0 ในเกมเมื่อวาน ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่เกมที่แมนยูโชว์ฟอร์มได้ดีในฤดูกาลนี้ นั่นคือ การเล่นของ ชินจิ คากาวะ
การเล่นของคากาวะนั้นช่วยยกระดับของทีมทั้งหมด ทั้งการลงมาช่วยต่อบอลถึงกองหลัง สร้างรูปสามเหลี่ยมในการชิ่งบอล เชื่อมเกม ไม่ให้บอลตาย ทั้งหมดนี้ทำให้ทรงบอลของมอยส์ที่แข็งทื่อมะลื่อเป็นสี่เหลี่ยมนั้นผ่อนคลายลง และกลับมาเข้าใกล้พาสซิ่งฟุตบอลมากยิ่งขึ้น...
คากาวะอาจไม่ได้เล่นได้ดีทุกเกมในฤดูกาลนี้ แต่แทบทุกเกมที่แมนฯยูไนเต็ดฤดูกาลนี้เล่นดี จะต้องมีคากาวะเข้าไปเกี่ยวข้องเสมอ...
ผมเชื่อว่านี่เป็นเพราะสัญชาตญาณการเล่นของนักเตะที่ทำไปโดยธรรมชาติ ไม่ใช่โดยทีมงานโค้ชสั่งแต่อย่างใด ดูได้จากสมัยป๋าเฟอร์กี้ คากาวะก็ไม่สามารถสร้างความโดดเด่นแบบนี้ เนื่องจากคุณป๋านั้นนิยมใช้บริการของคู่หูคนโปรดของแกคือ ปลัดคาร์ริค และ หนูทอม เคลฟเวอร์ลีย์ มากกว่า ( เดาว่าคงเป็นเพราะ หนูทอมนั้นมีความแข็งแรง ขยัน และแย่งบอลดีกว่าคากาวะ ในสายตาของคุณป๋า )
แต่นั่นคือ ฝีมือของบรมกุนซือ ผู้เชี่ยวชาญในการเล่นพาสซิ่งเกมมากว่า 20 ปี ไงครับ... ถ้าให้ มอยส์ ใช้งานนักเตะผึ้งงานแบบเคลฟเวอร์ลีย์แบบนั้นบ้าง ผลจะเป็นอย่างไร ??? ก็เกมเยือน โอลิมเปียกอส นั่นไง เห็นๆกันอยู่... นักเตะผึ้งงานอย่าง เคลฟเวอร์ลีย์ เขาทำได้แค่ตามคำสั่งโค้ชด้วยความสามารถที่จำกัดของตัวเอง คือคอยวิ่งประคองเพื่อน ต่อบอล และไล่แย่งบอลเท่านั้น หากไม่มีระบบทีมที่เหมาะกับเขา หรือต้องให้เขาทำเกินหน้าที่ ความวินาศโดยส่วนรวมย่อมบังเกิดในที่สุด...
ผมเชื่อว่า การศึกษาแทคติกในรูปแบบที่ตัวเองไม่ถนัดให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เพื่อเอาไปใช้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ป๋าเฟอร์กี้กว่าจะใช้งานระบบ 4-5-1 และ 4-2-3-1 ได้ดี ก็ต้องใช้เวลาหลายฤดูกาลบวกกับมือขวาที่ยอดเยี่ยมอย่าง คาร์ลอส เครอซ อีกต่างหาก แต่สำหรับมอยส์ มองไปทางซ้ายก็เจอสตีฟ ราวนด์ มองไปทางขวาก็ ฟิลล์ เนวิลล์ มันไร้ความหวังที่จะทำให้สตาฟโค้ชเข้าใจในแทคติกนี้ได้อย่างรวดเร็วจริงๆ จำต้องพึ่งนักเตะที่มีเซนส์ในการเล่นพาสซิ่งเกมอย่าง คากาวะ เพื่อนำยูไนเต็ดกลับคืนมา...
สุดท้าย การเล่นพาสซิ่งฟุตบอล อาจไม่ได้การันตีความสำเร็จ ไม่ได้การันตีว่าจะต้องได้รับชัยชนะทุกนัด แต่สิ่งที่พาสซิ่งการันตีให้คือ "ความสม่ำเสมอและคงเส้นคงวา" ครับ ซึ่งนี่เป็นคุณสมบัติที่ต้องมีของทีมชั้นนำทุกๆทีม ( แน่นอนถ้าเป็นบอลไดเร็กต์ คุณคงไม่หวังให้โยนยาวครึ่งสนามเข้าหัวกองหน้าทุกนัดใช่ไหม )
เดวิด มอยส์ หากคุณยังไม่โดนไล่ออก ลดอีโก้ของตัวเองเถิดครับ ฟุตบอลของคุณมันไม่มีทางที่จะสำเร็จที่ยูไนเต็ดได้หรอก ไม่ใช่แค่ยูไนเต็ดแต่เป็นทีมใหญ่ทุกทีมในโลกด้วย... เลิกโยนยาว เลิกคุมโซนแบบห่ามๆด้วยพละกำลังนักเตะซะ แล้วหันมาใช้พาสซิ่งเกม ใช้นักเตะที่เหมาะสม และนำยูไนเต็ดที่แท้จริงกลับคืนมา...