สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
อย่าไปคิดฝึกกสิณเลย อันตรายมากๆ โอกาสจะเป็นบ้าหรือวิปลาส 99% เพราะเป็นการฝึกแบบจิตส่งออกนอก ...แบบที่คุณสองนิ้วชี้เล่ามานั่นแหละ แต่ยังดีที่จิตยังไม่รวมลงเป็นอัปปนาเต็มๆ ถ้ารวมลงเป็นอัปปนาเต็มๆ คุณสองนิ้วชี้ อาจจะกลายเป็นยี่สิบนิ้วชี้หงายท้องไปแล้ว ...แต่ยังดีมากๆ ที่ก่อนจะวิปลาส คุณสองนิ้วชี้ยังแยกแยะได้ รู้ตัวทัน จึงไม่หลงตามไป ซึ่งมีไม่กี่คนที่โชคดีแบบนั้น เป็น ๑ ในหมื่น.. ส่วนมากจะหลงเลอะเทอะไปทั้งนั้น และผลที่สุดจะป้ำๆเป๋อๆ กลายเป็นบ้าหรือวิปลาสไปในที่สุด อย่างที่ย่ำแย่น้อยที่สุดคือ จะเป็นคนที่มีมิจฉาทิฏฐิ แบบที่พวกสำนักธรรมกายเป็นกันนั่นแหละ..
คุณยานะฯ เจ้าของกระทู้ เป็นผู้หญิง ซึ่งตามธรรมชาติจะมีจิตใจอ่อนไหว ฟุ้งซ่านง่าย มียึดมั่นถือมั่นมากกว่าจิตใจของผู้ชาย ถ้าฝึกกสิณแล้วไปเจอปัญหาแบบนั้น ก็คงจะยากที่จะถอนใจออกมาได้ อนาคตอาจจะไปอยู่ รพ. บ้า ....
ไม่ใช่ขู่ให้กลัว หรือยกเมฆให้ดูน่ากลัว เกี่ยวกับการฝึกกสิณ....แต่มันเป็นสิ่งน่ากลัวจริงๆ...
แต่ถ้าคุณเจ้าของกระทู้อยากจะฝึกกสิณจริงๆ ก็ควรฝึกสมาธิแบบที่จะไว้ป้องกันหรือแก้ไข ไว้ก่อน คือฝึก ตามแบบสติปัฏฐานสี่ของพระพุทธเจ้า โดยเริ่มฝึกพิจารณาแยกแยะกายคตาสติ ไว้มากๆ และฝึกพิจารณาไตรลักษณ์ไว้มากๆ ก่อนจะฝึกกสิณ ..เพราะเมื่อฝึกกสิณแล้วเจอปัญหาที่ว่านั้น ก็พอจะมีสิ่งป้องกันได้บ้าง จากที่เคยฝึกกายคตาสติไว้ก่อน เปรียบเสมือนฉีดวัคซีนป้องกันโรคไว้ก่อนนั่นแหละ เมื่อเจอปัญหาจากการฝึกกสิณ ก็พอจะเอาการฝึกกายคตาสติ หรือพิจารณาไตรลักษณ์ มาแก้ไข ช่วยเหลือตนเองได้ เพราะปัญหาที่จะเจอ มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะแก้ได้ บุคคลภายนอกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ที่มีฤทธิ์เดชสูงส่งขนาดไหน ก็ไม่อาจจะช่วยเราได้เลย เพราะมันเป็นอาการที่ปรุงแต่งออกมาจากส่วนลึกสุดของใจเราเอง..
และเมื่อพร้อมแล้ว ก็ควรแยกตัวไปฝึกเงียบๆ คนเดียว อย่ายุ่งกับใครเด็ดขาด แบบคล้ายๆทำตัวเหมือนพวกฤาษีนั่นแหละ จึงจะมีอันตรายน้อยที่สุด...ไม่ควรฝึกในสถานที่ที่ต้องพบปะพูดคุยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ไม่งั้นจะฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆๆ..
....สรุปคือ ไม่ควรฝึกกสิณ ควรมาฝึกตามแนวสติปัฏฐานสี่ ดีที่สุด ซึ่งก็คือ หมายถึง การฝึกเพ่งขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ของเรานี่แหละเป็นกสิณ แทนการไปฝึกเพ่งกสิณแบบของพวกฤาษี เช่นที่เพ่ง วงกลม ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือสีต่างๆ เหล่านั้น
....(การฝึกกสิณ มีข้อดีอย่างเดียว คือ จิตจะสงบไว ง่าย กว่าวิธีอื่นๆ)....
คุณยานะฯ เจ้าของกระทู้ เป็นผู้หญิง ซึ่งตามธรรมชาติจะมีจิตใจอ่อนไหว ฟุ้งซ่านง่าย มียึดมั่นถือมั่นมากกว่าจิตใจของผู้ชาย ถ้าฝึกกสิณแล้วไปเจอปัญหาแบบนั้น ก็คงจะยากที่จะถอนใจออกมาได้ อนาคตอาจจะไปอยู่ รพ. บ้า ....
ไม่ใช่ขู่ให้กลัว หรือยกเมฆให้ดูน่ากลัว เกี่ยวกับการฝึกกสิณ....แต่มันเป็นสิ่งน่ากลัวจริงๆ...
แต่ถ้าคุณเจ้าของกระทู้อยากจะฝึกกสิณจริงๆ ก็ควรฝึกสมาธิแบบที่จะไว้ป้องกันหรือแก้ไข ไว้ก่อน คือฝึก ตามแบบสติปัฏฐานสี่ของพระพุทธเจ้า โดยเริ่มฝึกพิจารณาแยกแยะกายคตาสติ ไว้มากๆ และฝึกพิจารณาไตรลักษณ์ไว้มากๆ ก่อนจะฝึกกสิณ ..เพราะเมื่อฝึกกสิณแล้วเจอปัญหาที่ว่านั้น ก็พอจะมีสิ่งป้องกันได้บ้าง จากที่เคยฝึกกายคตาสติไว้ก่อน เปรียบเสมือนฉีดวัคซีนป้องกันโรคไว้ก่อนนั่นแหละ เมื่อเจอปัญหาจากการฝึกกสิณ ก็พอจะเอาการฝึกกายคตาสติ หรือพิจารณาไตรลักษณ์ มาแก้ไข ช่วยเหลือตนเองได้ เพราะปัญหาที่จะเจอ มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะแก้ได้ บุคคลภายนอกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ที่มีฤทธิ์เดชสูงส่งขนาดไหน ก็ไม่อาจจะช่วยเราได้เลย เพราะมันเป็นอาการที่ปรุงแต่งออกมาจากส่วนลึกสุดของใจเราเอง..
และเมื่อพร้อมแล้ว ก็ควรแยกตัวไปฝึกเงียบๆ คนเดียว อย่ายุ่งกับใครเด็ดขาด แบบคล้ายๆทำตัวเหมือนพวกฤาษีนั่นแหละ จึงจะมีอันตรายน้อยที่สุด...ไม่ควรฝึกในสถานที่ที่ต้องพบปะพูดคุยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ไม่งั้นจะฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆๆ..
....สรุปคือ ไม่ควรฝึกกสิณ ควรมาฝึกตามแนวสติปัฏฐานสี่ ดีที่สุด ซึ่งก็คือ หมายถึง การฝึกเพ่งขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ของเรานี่แหละเป็นกสิณ แทนการไปฝึกเพ่งกสิณแบบของพวกฤาษี เช่นที่เพ่ง วงกลม ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือสีต่างๆ เหล่านั้น
....(การฝึกกสิณ มีข้อดีอย่างเดียว คือ จิตจะสงบไว ง่าย กว่าวิธีอื่นๆ)....
ความคิดเห็นที่ 11
พระอรหันต์ มี4หมวด
1.สุกขวิปัสสโก ไม่เห็นนรก,ไม่เห็นสวรรค์,ตัดกิเลสได้หมดจด(มีปฐมฌานเป็นอย่างน้อย)
2.เตวิชโช(วิชชา3) เห็นนรก-เห็นสวรรค์ แต่ไปไม่ได้, ตัดกิเลสได้หมดจด (ฌาน4)
3.ฉฬภิญโญ(อภิญญา6) ไปนรกได้-ไปสวรรค์ได้,แสดงฤทธิ์ได้,ตัดกิเลสได้หมดจด (ฌาน4)
4.ปฏิสัมภิทาญาณ มีความรู้ครอบคลุมทุกหมวด-ทำได้หมด,ตัดกิเลสได้หมดจด(ฌาน4)
-และ ทรงพระไตรปิฏก(ย่อ-ขยายความพระธรรมได้อย่างถูกต้อง)
-และ สื่อสารได้ทุกภาษา(ทั้งภาษาคน และภาษาสัตว์)
พระอรหันต์ รู้ไม่เท่ากัน แต่จิตสะอาดเสมอกันทุกหมวด
(มีความสะอาดของจิตแบบ สุกขวิปัสสโก เป็นพื้นทุกหมวด แล้วแต่ว่าจะมีอะไรเพิ่มมา)
**************************************************************************************************************************************************************
การเลือกวิธีปฏิบัตินั้น ขึ้นอยู่กับจริตความชอบของคนแต่ละคน ไม่มีอะไรที่ดีที่สุดกว่ากัน "มีแต่เหมาะสมที่สุด" กับคุณกว่ากัน
หมวดที่1.สุกขวิปัสสโก ไม่เห็นนรก,ไม่เห็นสวรรค์,ตัดกิเลสได้หมดจด(มีปฐมฌานเป็นอย่างน้อย)
บางคนชอบวิธีง่ายๆ สบายๆ เดินจงกรม หรือ ยุบหนอ-พองหนอ ดูจิต-ดูกาย-ดูเวทนา-ดูธรรม ตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร
ใช้อารมณ์เบาๆเพียงแค่ปฐมฌาน ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ไม่ต้องไปเพ่งดวงอะไรให้มาก
(วิธีนี้แพร่หลายที่สุด เพราะทุกๆหมวด จะต้องมีพื้นความสะอาดของจิตแบบ สุกขวิปัสสโก เป็นพื้นฐานทุกๆหมวดอยู่แล้ว)
สำหรับหมวดที่2,3,4 เป็นการฝึกแบบมีทิพย์จักษุญาณ จะต้องใช้กำลังของฌาน4 ถึงจะสำเร็จได้ ซึ่งสูงมาก ทำได้ยาก
เพราะบางคนชอบที่จะรู้ที่จะเห็น อยากจะพิสูจน์นรก-สวรรค์มีจริงด้วยตนเอง
จึงฝึกการมีทิพย์จักษุญาณ โดยการเพ่งกสิณที่ทำให้เกิดทิพย์จักษุญาณ
อาโลกสิณ(กสิณแสงสว่าง), เตโชกสิณ(กสิณไฟ), โอทากสิณ(กสิณสีขาว) กสิณ3อย่างนี้ทำให้เกิดทิพย์จักษุญาณ
(ถ้าวัดไหนหรือสถานที่ปฏิบัติธรรมไหนฝึก เพ่งลูกแก้ว, เพ่งพระแก้ว นั่นแสดงว่าที่นั่นฝึกให้มีทิพย์จักษุญาณด้วย)
แล้วแต่จริตคนๆนั้นว่าชอบแบบไหน บางคนชอบกสิณสีแดงเป็นพิเศษ จึงควรจะฝึกกสิณนี้ก่อนกองอื่น
เพราะกสิณทุกกอง มีอารมณ์เสมอกัน(ฌาน4เหมือนกันหมด) เมื่อได้กองนึงแล้ว กองที่เหลือถ้าฝึกต่อ จะได้ทั้งหมด
ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้า ผู้เป็นสัพพัญญู ท่านสามารถรู้วาระจิตของผู้ที่ท่านกำลังฝึกสอนได้
จึงรู้ว่าคนๆนั้นมีจริตแบบใด ชอบแบบใด จึงสามารถเลือกวิธีสอนให้เหมาะแก่ผู้ฝึกคนนั้นได้ง่าย จึงบรรลุง่าย
แต่สำหรับคนในสมัยปัจจุบันนี้ ถ้าต้องการทราบว่าคุณจะต้องฝึกแบบใด จึงจะเหมาะ-จึงจะง่ายกับตัวคุณเอง
ก็ให้ใช้วิธีจุดธูปอธิษฐานต่อหน้าพระ แล้วขอให้ท่านช่วยดลใจนึกถึงวิธีที่เหมาะกับตัวคุณ(เปิดหนังสือกรรมฐาน40ไปด้วย)
ถ้ากรรมฐานกองใดเหมาะกับคุณ ก็ขอให้คุณนึกรัก-นึกชอบในกรรมฐานกองนั้นเป็นพิเศษ เพื่อง่ายต่อการฝึก
**************************************************************************************************************************************************************
คนในสมัยโบราณมักจะชอบฝึกกสิณธาตุ (ดิน,น้ำ,ลม,ไฟ) เหตุผลใหญ่ก็เพราะว่าเป็นกสิณที่แสดงฤทธิ์ให้เห็นได้ชัดเจน
และคนในสมัยก่อนผูกพันธ์อยู่กับการหุงหาอาหาร ก่อกองไฟ จุดตะเกียงจุดคบเพลิงจุดเตา ทำนาใกล้ดิน เห็นดินหาดินมาเป็นดวงกสินได้ง่าย
เดินทางด้วยเรือ ชีวิตผูกพันธ์อยู่กับแม่น้ำลำคลอง วิถีชีวิตของคนในสมัยโบราณอยู่ใกล้กับธาตุธรรมชาติมากกกว่าคนในสมัยปัจจุบัน
กสิณถ้าฝึกอย่างถูกต้อง ไม่มีโทษ เพราะของมีโทษพระพุทธเจ้าย่อมไม่สอน
(อย่าไปหลงเชื่อพวกที่ห้ามคุณฝึกนะครับ เด๋วจะเสียโอกาสในชีวิตไปฟรีๆ ของเป็นโทษพระพุทธเจ้าย่อมไม่สอนแน่)
ผู้ที่ฝึกแล้วมีโทษก็คือ พวกที่ฝึกมากไปเพราะติดสุขในสมาธิ ฝึกทั้งวันทั้งคืน จนร่างกายขาดการพักผ่อน ประสาทตึงเครียด เกิดภาพหลอน
หลงนิมิต คิดว่าภาพนิมิตที่ผ่านเข้ามาเป็นจริงทุกเรื่อง
เอาเรื่องจากนิมิตหลอนมาสับสนปนเปกับในชีวิตจริง จนแยกไม่ออกว่าอันไหนจริง อันไหนไม่จริง (เพี้ยน)
กสิณสี (ขาว,เขียว,เหลือง,แดง) นอกจากเนรมิตสีให้เกิดขึ้นได้ตามประสงค์แล้ว กสินสียังมีผลในการระงับโทสะโดยตรง เป็นกรรมฐานแก้ทางโทสะ
และกสิณสีขาว เป็นทั้งกสิณสีและกสิณที่ทำให้เกิดทิพย์จักษุญาณ
กสิณธาตุกับกสิณสี ไม่ต่างกัน ทั้งผู้หญิงและผู้ชายเลือกฝึกได้ตามชอบใจ
ไม่เกี่ยวเรื่องที่ว่าเพศใดจะต้องฝึกธาตุใดหรือสีใด ขึ้นอยู่กับจริตความชอบของผู้ฝึกเป็นหลัก
เพราะจริงๆแล้วผู้ที่อยากจะได้อภิญญา จะต้องฝึกกสิณให้ได้ครบทั้ง10กอง ถึงจะได้ การฝึกกสิณจึงไม่เกี่ยวว่าเพศไหนควรจะต้องฝึกอะไร
(ความต่างในเรื่องเพศว่าผู้หญิงควรจะฝึกกองไหน ผู้ชายควรจะฝึกกองไหนจึงไม่มี อยู่ท่ี่จริตความชอบเป็นหลัก ทุกเพศฝึกได้หมดทุกกอง)
เพราะผู้ฝึกจำเป็นจะต้องอาศัยความชอบในกสิณกองแรก กองนั้นๆ "เพื่อที่จะสำเร็จกองแรกให้ได้ก่อน" (แล้วค่อยไปทำกองอื่นๆที่เหลืออยู่)
(ถ้าได้กสิณกองแรกแล้ว รู้ทางแล้ว เมื่อฝึกไปกสิณกองอื่นๆที่เหลือ จึงเป็นของไม่ยาก เพราะอารมณ์เสมอกัน ยากที่กองแรก)
(ถ้าไปเริ่มฝึกกสิณที่ตัวเองไม่ชอบ จะทำให้ฝึกได้ช้าหรือเลิกฝึกไปก่อน เพราะฝึกอะไรที่ตัวเองไม่ชอบย่อมสำเร็จได้ยาก)
ที่วัดยานนาวา กรุงเทพ (ใกล้ๆเอเซียทีค) สอนการฝึกเพ่งกสิณ และมีอุปกรณ์สำหรับฝึกกสิณสี ขาย
(ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะ 380บาท ราคานานแล้วนะ ผมซื้อแผ่นฝึกดวงกสิณสีขาวมา)
แต่พอมาฝึกเพ่งดู รู้สึกผมจะไม่ถูกจริตกับสีขาว ผมคิดว่าตัวเองถูกจริตกับสีเขียวมากกว่า
(จำภาพพระพุทธรูปสีเขียวได้ดี ติดตามากกว่า แต่จำภาพพระพุทธรูปสีใส หรือสีขาว หรือสีทอง ไม่ค่อยติดตา)
นอกจากสีของพระพุทธรูปแล้ว ปางของพระพุทธรูป ยังม่ีผลในการจดจำได้ง่าย
ถ้าคุณชอบพระพุทธรูปปางไหนเป็นพิเศษ คุณควรจะเริ่มฝึกจากการจดจำภาพพระพุทธรูปปางนั้น
คุณจะต้องรู้จริตความชอบของตนเองในจุดนี้ (เพราะคนแต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกัน)
เพราะความชอบจะเป็นฉันทะความพอใจเบื้องต้นให้คุณง่ายต่อการสำเร็จ ตามหลักอิทธิบาท4
ถ้าฝืนฝึกในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ อาจจะใช้เวลานานมากกว่าปกติมาก (บางทีอาจจะเบื่อ จนท้อเลิกฝึกไปเสียก่อน)


รูปล่างนี้ก็คือ ดวงกสิณสีขาว ที่ผมซื้อมาจากวัดยานนาวา มาหลายปีแล้ว (ไปค้นหาในกล่องเก็บของ แล้วงัดออกมาประกอบให้พวกคุณดูกัน)
มันจะมีแท่นไม้ที่มีน้ำหนักพอสมควรเพื่อที่จะมีแกนเหล็กหมุนเกลียว ตั้งปักลงไป แล้วติดแผ่นดวงกสิณด้านบน ยกไปตั้งที่ไหนก็สะดวก
แต่ควรจะตั้งกับฉากด้านหลังที่มีสีต่างกัน คล้ายๆภาพด้านบน
1.สุกขวิปัสสโก ไม่เห็นนรก,ไม่เห็นสวรรค์,ตัดกิเลสได้หมดจด(มีปฐมฌานเป็นอย่างน้อย)
2.เตวิชโช(วิชชา3) เห็นนรก-เห็นสวรรค์ แต่ไปไม่ได้, ตัดกิเลสได้หมดจด (ฌาน4)
3.ฉฬภิญโญ(อภิญญา6) ไปนรกได้-ไปสวรรค์ได้,แสดงฤทธิ์ได้,ตัดกิเลสได้หมดจด (ฌาน4)
4.ปฏิสัมภิทาญาณ มีความรู้ครอบคลุมทุกหมวด-ทำได้หมด,ตัดกิเลสได้หมดจด(ฌาน4)
-และ ทรงพระไตรปิฏก(ย่อ-ขยายความพระธรรมได้อย่างถูกต้อง)
-และ สื่อสารได้ทุกภาษา(ทั้งภาษาคน และภาษาสัตว์)
พระอรหันต์ รู้ไม่เท่ากัน แต่จิตสะอาดเสมอกันทุกหมวด
(มีความสะอาดของจิตแบบ สุกขวิปัสสโก เป็นพื้นทุกหมวด แล้วแต่ว่าจะมีอะไรเพิ่มมา)
**************************************************************************************************************************************************************
การเลือกวิธีปฏิบัตินั้น ขึ้นอยู่กับจริตความชอบของคนแต่ละคน ไม่มีอะไรที่ดีที่สุดกว่ากัน "มีแต่เหมาะสมที่สุด" กับคุณกว่ากัน
หมวดที่1.สุกขวิปัสสโก ไม่เห็นนรก,ไม่เห็นสวรรค์,ตัดกิเลสได้หมดจด(มีปฐมฌานเป็นอย่างน้อย)
บางคนชอบวิธีง่ายๆ สบายๆ เดินจงกรม หรือ ยุบหนอ-พองหนอ ดูจิต-ดูกาย-ดูเวทนา-ดูธรรม ตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร
ใช้อารมณ์เบาๆเพียงแค่ปฐมฌาน ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ไม่ต้องไปเพ่งดวงอะไรให้มาก
(วิธีนี้แพร่หลายที่สุด เพราะทุกๆหมวด จะต้องมีพื้นความสะอาดของจิตแบบ สุกขวิปัสสโก เป็นพื้นฐานทุกๆหมวดอยู่แล้ว)
สำหรับหมวดที่2,3,4 เป็นการฝึกแบบมีทิพย์จักษุญาณ จะต้องใช้กำลังของฌาน4 ถึงจะสำเร็จได้ ซึ่งสูงมาก ทำได้ยาก
เพราะบางคนชอบที่จะรู้ที่จะเห็น อยากจะพิสูจน์นรก-สวรรค์มีจริงด้วยตนเอง
จึงฝึกการมีทิพย์จักษุญาณ โดยการเพ่งกสิณที่ทำให้เกิดทิพย์จักษุญาณ
อาโลกสิณ(กสิณแสงสว่าง), เตโชกสิณ(กสิณไฟ), โอทากสิณ(กสิณสีขาว) กสิณ3อย่างนี้ทำให้เกิดทิพย์จักษุญาณ
(ถ้าวัดไหนหรือสถานที่ปฏิบัติธรรมไหนฝึก เพ่งลูกแก้ว, เพ่งพระแก้ว นั่นแสดงว่าที่นั่นฝึกให้มีทิพย์จักษุญาณด้วย)
แล้วแต่จริตคนๆนั้นว่าชอบแบบไหน บางคนชอบกสิณสีแดงเป็นพิเศษ จึงควรจะฝึกกสิณนี้ก่อนกองอื่น
เพราะกสิณทุกกอง มีอารมณ์เสมอกัน(ฌาน4เหมือนกันหมด) เมื่อได้กองนึงแล้ว กองที่เหลือถ้าฝึกต่อ จะได้ทั้งหมด
ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้า ผู้เป็นสัพพัญญู ท่านสามารถรู้วาระจิตของผู้ที่ท่านกำลังฝึกสอนได้
จึงรู้ว่าคนๆนั้นมีจริตแบบใด ชอบแบบใด จึงสามารถเลือกวิธีสอนให้เหมาะแก่ผู้ฝึกคนนั้นได้ง่าย จึงบรรลุง่าย
แต่สำหรับคนในสมัยปัจจุบันนี้ ถ้าต้องการทราบว่าคุณจะต้องฝึกแบบใด จึงจะเหมาะ-จึงจะง่ายกับตัวคุณเอง
ก็ให้ใช้วิธีจุดธูปอธิษฐานต่อหน้าพระ แล้วขอให้ท่านช่วยดลใจนึกถึงวิธีที่เหมาะกับตัวคุณ(เปิดหนังสือกรรมฐาน40ไปด้วย)
ถ้ากรรมฐานกองใดเหมาะกับคุณ ก็ขอให้คุณนึกรัก-นึกชอบในกรรมฐานกองนั้นเป็นพิเศษ เพื่อง่ายต่อการฝึก
**************************************************************************************************************************************************************
คนในสมัยโบราณมักจะชอบฝึกกสิณธาตุ (ดิน,น้ำ,ลม,ไฟ) เหตุผลใหญ่ก็เพราะว่าเป็นกสิณที่แสดงฤทธิ์ให้เห็นได้ชัดเจน
และคนในสมัยก่อนผูกพันธ์อยู่กับการหุงหาอาหาร ก่อกองไฟ จุดตะเกียงจุดคบเพลิงจุดเตา ทำนาใกล้ดิน เห็นดินหาดินมาเป็นดวงกสินได้ง่าย
เดินทางด้วยเรือ ชีวิตผูกพันธ์อยู่กับแม่น้ำลำคลอง วิถีชีวิตของคนในสมัยโบราณอยู่ใกล้กับธาตุธรรมชาติมากกกว่าคนในสมัยปัจจุบัน
กสิณถ้าฝึกอย่างถูกต้อง ไม่มีโทษ เพราะของมีโทษพระพุทธเจ้าย่อมไม่สอน
(อย่าไปหลงเชื่อพวกที่ห้ามคุณฝึกนะครับ เด๋วจะเสียโอกาสในชีวิตไปฟรีๆ ของเป็นโทษพระพุทธเจ้าย่อมไม่สอนแน่)
ผู้ที่ฝึกแล้วมีโทษก็คือ พวกที่ฝึกมากไปเพราะติดสุขในสมาธิ ฝึกทั้งวันทั้งคืน จนร่างกายขาดการพักผ่อน ประสาทตึงเครียด เกิดภาพหลอน
หลงนิมิต คิดว่าภาพนิมิตที่ผ่านเข้ามาเป็นจริงทุกเรื่อง
เอาเรื่องจากนิมิตหลอนมาสับสนปนเปกับในชีวิตจริง จนแยกไม่ออกว่าอันไหนจริง อันไหนไม่จริง (เพี้ยน)
กสิณสี (ขาว,เขียว,เหลือง,แดง) นอกจากเนรมิตสีให้เกิดขึ้นได้ตามประสงค์แล้ว กสินสียังมีผลในการระงับโทสะโดยตรง เป็นกรรมฐานแก้ทางโทสะ
และกสิณสีขาว เป็นทั้งกสิณสีและกสิณที่ทำให้เกิดทิพย์จักษุญาณ
กสิณธาตุกับกสิณสี ไม่ต่างกัน ทั้งผู้หญิงและผู้ชายเลือกฝึกได้ตามชอบใจ
ไม่เกี่ยวเรื่องที่ว่าเพศใดจะต้องฝึกธาตุใดหรือสีใด ขึ้นอยู่กับจริตความชอบของผู้ฝึกเป็นหลัก
เพราะจริงๆแล้วผู้ที่อยากจะได้อภิญญา จะต้องฝึกกสิณให้ได้ครบทั้ง10กอง ถึงจะได้ การฝึกกสิณจึงไม่เกี่ยวว่าเพศไหนควรจะต้องฝึกอะไร
(ความต่างในเรื่องเพศว่าผู้หญิงควรจะฝึกกองไหน ผู้ชายควรจะฝึกกองไหนจึงไม่มี อยู่ท่ี่จริตความชอบเป็นหลัก ทุกเพศฝึกได้หมดทุกกอง)
เพราะผู้ฝึกจำเป็นจะต้องอาศัยความชอบในกสิณกองแรก กองนั้นๆ "เพื่อที่จะสำเร็จกองแรกให้ได้ก่อน" (แล้วค่อยไปทำกองอื่นๆที่เหลืออยู่)
(ถ้าได้กสิณกองแรกแล้ว รู้ทางแล้ว เมื่อฝึกไปกสิณกองอื่นๆที่เหลือ จึงเป็นของไม่ยาก เพราะอารมณ์เสมอกัน ยากที่กองแรก)
(ถ้าไปเริ่มฝึกกสิณที่ตัวเองไม่ชอบ จะทำให้ฝึกได้ช้าหรือเลิกฝึกไปก่อน เพราะฝึกอะไรที่ตัวเองไม่ชอบย่อมสำเร็จได้ยาก)
ที่วัดยานนาวา กรุงเทพ (ใกล้ๆเอเซียทีค) สอนการฝึกเพ่งกสิณ และมีอุปกรณ์สำหรับฝึกกสิณสี ขาย
(ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะ 380บาท ราคานานแล้วนะ ผมซื้อแผ่นฝึกดวงกสิณสีขาวมา)
แต่พอมาฝึกเพ่งดู รู้สึกผมจะไม่ถูกจริตกับสีขาว ผมคิดว่าตัวเองถูกจริตกับสีเขียวมากกว่า
(จำภาพพระพุทธรูปสีเขียวได้ดี ติดตามากกว่า แต่จำภาพพระพุทธรูปสีใส หรือสีขาว หรือสีทอง ไม่ค่อยติดตา)
นอกจากสีของพระพุทธรูปแล้ว ปางของพระพุทธรูป ยังม่ีผลในการจดจำได้ง่าย
ถ้าคุณชอบพระพุทธรูปปางไหนเป็นพิเศษ คุณควรจะเริ่มฝึกจากการจดจำภาพพระพุทธรูปปางนั้น
คุณจะต้องรู้จริตความชอบของตนเองในจุดนี้ (เพราะคนแต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกัน)
เพราะความชอบจะเป็นฉันทะความพอใจเบื้องต้นให้คุณง่ายต่อการสำเร็จ ตามหลักอิทธิบาท4
ถ้าฝืนฝึกในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ อาจจะใช้เวลานานมากกว่าปกติมาก (บางทีอาจจะเบื่อ จนท้อเลิกฝึกไปเสียก่อน)


รูปล่างนี้ก็คือ ดวงกสิณสีขาว ที่ผมซื้อมาจากวัดยานนาวา มาหลายปีแล้ว (ไปค้นหาในกล่องเก็บของ แล้วงัดออกมาประกอบให้พวกคุณดูกัน)
มันจะมีแท่นไม้ที่มีน้ำหนักพอสมควรเพื่อที่จะมีแกนเหล็กหมุนเกลียว ตั้งปักลงไป แล้วติดแผ่นดวงกสิณด้านบน ยกไปตั้งที่ไหนก็สะดวก
แต่ควรจะตั้งกับฉากด้านหลังที่มีสีต่างกัน คล้ายๆภาพด้านบน
แสดงความคิดเห็น
ต้องการฝึกเพ่งกษิณตอนนี้ที่กรุงเทพมีที่ไหนสอนบ้างคะ