สมัยนี้ใครๆก็มีบัตรเครดิตกันทั้งนั้น โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ต่ำแต่ความต้องการสูงแบบผม บัตรเครดิตถือเป็นเครื่องมือสนองตัณหาได้เป็นอย่างดี เหมือนใส่สูตรโกงเวลาเล่นเกมส์ เงินไม่มี แต่ได้ไอเทมเทพมาไว้ในมือ
ความจริงผมเกลียดการเป็นหนี้นะครับ ตอนเด็กๆถือคติ ยอมอดข้าว ดีกว่าต้องขอตังค์เพื่อน ไม่ว่าจะเล็กจะน้อยแค่ไหนก็ไม่ยอมเป็นหนี้เด็ดขาด แต่พอโตมากลายเป็นมนุษย์เงินเดือน ก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย และเป็นหนี้ เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์เงินเดือน สังคมคนทำงาน หันไปทางไหนก็ต้องเจอแต่คนที่มีหนี้มีสิน (ถ้าไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด) ไม่หนี้บ้าน ก็หนี้รถ ไม่หนี้รถ ก็หนี้บัตรเครดิต น่าแปลกนะครับ ยิ่งทำงานนานขึ้น หนี้กลับยิ่งเพิ่มขึ้นตามเงินเดือน
กลับมาที่เรื่องบัตรเครดิต สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้พอที่จะสร้างความไว้วางใจให้กับธนาคารได้แล้ว น้อยคนนะที่จะไม่มีบัตรเครดิต ตอนแรกผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเหมือนกันที่จะมีเครื่องมือสร้างหนี้สินแบบพกพาสักใบ แต่พอหันไปทางไหนก็เห็นมีแต่คนพกยังกับบัตรประชาชนใบที่สอง ผมมองดูแล้วคนที่มีบัตรเครดิตอาจจะเยอะกว่าคนที่มีใบขับขี่ด้วยซ้ำ ต่อไปบัตรประชาชนนอกจากจะเป็นสมาร์ทการ์ดแล้ว อาจจะกลายเป็นบัตรเครดิตไปด้วยเลยก็ได้นะครับ กอปรกับการถูกขอร้องแกมบังคับจากเพื่อนที่ทำงานธนาคาร โดยอ้างว่า
“ทำๆไปเถอะ เพิ่มยอดให้เพื่อน ถ้าไม่ใช้ ผ่านไปหกเดือนเมิงก็ยกเลิกบัตรก็ได้”
พร้อมกับกระซิบเบาๆข้างๆหูผมว่า “ไม่มีใครตายเพราะทำบัตรเครดิตนะเว้ย แต่เมิงอาจจะเป็นคนแรกที่ตายเพราะไม่ช่วยเพื่อนทำบัตรเครดิต” แหม่ ถ้าพูดขนาดนี้ พี่เอาบัตรเครดิตมาปาดคอผมเลยก็ได้
สุดท้ายผมก็ใจอ่อน (หรือกลัวตายก็ไม่รู้) ตัดสินใจทำบัตรเครดิตใบแรกเพื่อเพื่อน (รู้งี้ก่อนทำน่าจะบอกมันว่า กรูช่วยทำให้เมิงแล้ว พอได้บัตรมา เมิงต้องช่วยใช้หนี้ให้กรูด้วยนะ)
สาเหตุที่บัตรเครดิตมีเยอะกว่าใบขับขี่ ก็คงเป็นเพราะมันของ่ายกว่ากันเยอะ ไม่ต้องเข้าอบรม ไม่ต้องสอบ ไม่ต้องหัดใช้ แค่ยื่นหลักฐานแสดงให้ธนาคารเห็นว่า ผมพร้อมที่จะเป็นหนี้พี่แล้วนะครับ เพียงไม่กี่วัน โอกาสเป็นหนี้ก็จะถูกส่งมาถึงบ้าน
ช่วงแรกๆ ผมก็ยังไม่กล้าใช้อะไรมาก ด้วยนิสัยที่ไม่อยากเป็นหนี้ กลัวรูดสบายตายตอนเห็นใบแจ้งหนี้ ก็เลยพยายามรูดเท่าที่จำเป็นจริงๆ แต่พอเริ่มใช้ครั้งที่หนึ่ง มันก็จะมีครั้งที่สองตามมา พอใช้ไปเรื่อยๆก็เริ่มเสียนิสัย ทีนี้แทบจะเอาบัตรเครดิตมาแขวนคอเลยครับ จะได้หยิบใช้ได้ง่าย เพราะรู้สึกว่าการต้องหยิบบัตรเครดิตออกจากกระเป๋าตังค์เพื่อเอามารูดมันลำบากเกินไปแล้ว
ส่วนใหญ่ผมจะใช้เพื่อหมุนเงินครับ เงินกำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป พอไปกินข้าวหรือซื้อของกับเพื่อน ก็จะทำตัวเป็นคนดี ทำทีอาสาจ่ายให้ก่อน ร่อนบัตรเครดิตรูดเช็คบิลปรื้ดเดียวก็จบล่ะ เสร็จแล้วเงินสดจากเพื่อนก็จะไหลเข้ากระเป๋าเราโดยที่เราเหมือนไม่ต้องจ่ายอะไรเลย สุขใดจะเท่าจับกระเป๋าแล้วเจอตังค์ อยู่ๆก็มีเงินเต็มกระเป๋า เอาไปใช้นู่นจ่ายนี่ได้สบาย
แต่พอเงินเดือนออกนี่สิครับ ผมได้ดีใจกับเงินเดือนในบัญชีได้ไม่นาน ก็ต้องกดตังค์ออกมาจ่ายหนี้บัตรเครดิตเกือบหมด เห้อ เงินเดือนเป็นภาพลวงตา แต่หนี้สินและความยากจนนี่สิของจริง
ถ้าคำพูดหวานหูของคนเจ้าชู้เป็นเหมือนน้ำผึ้งอาบยาพิษ บัตรเครดิตก็เป็นสิ่งที่อันตรายไม่แพ้กัน
นอกจากจะรูดเพื่อหมุนเงินแล้ว หน้าที่หลักอีกอย่างของบัตเครดิตของผมก็คือ ทำให้ผมได้ใช้ของที่อยากได้ โดยไม่ต้องรอให้หยอดกระปุกเต็มก่อน ระว่างนั้นก็ได้แต่นอนฝันรอคอยวันที่จะได้ทุบกระปุกไปซื้อของที่หมายมั่นปั้นมือมานาน บางทีก็นานจนเลิกอยากได้ไปแล้ว และบางทีก็นานจนของชิ้นนั้นกลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว
สะดวกสบายดีเนอะ แต่นั่นทำให้ผมลืมความรู้สึกดีใจตอนที่อุตส่าเก็บเงินครบ แล้วทุปกระปุก เอาเงินใส่กระเป๋า เดินเข้าไปในร้าน ก่อนจะเดินออกมาอย่างภาคภูมิใจพร้อมกับของที่อยากได้อยู่ในมือ และการที่เราใช้เงินได้ง่ายขึ้น มันทำให้เรายับยั้งชั่งใจในการใช้จ่ายได้น้อยลง บางอย่างก็ไม่ได้มีความจำเป็นกับเราหรอกครับ ถ้าค่อยๆเก็บเงินไปอย่างช้าๆ เราอาจจะรู้สึกตัวก่อนที่จะเก็บเงินได้ครบก็ได้ว่า มันไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อเลย ถึงตอนนั้นนอกจากจะไม่ต้องเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์แล้ว เรายังมีเงินเก็บก้อนหนึ่งเอาไปใช้ในสิ่งที่จำเป็นกว่าได้ แต่ถ้าเรารูดซื้อไปได้ก่อน เราอาจจะมาสำนึกเสียใจทีหลังว่า มันไม่ได้จำเป็นต่อเราเลย ซื้อมาทำไมเนี่ย อยากจะโยนทิ้ง แมร่ง ก็ยังผ่อนไม่หมด และยิ่งถ้าทำหายก่อนจะผ่อนด้วยนะ อยากจะฝากบอกไอ้คนที่ขโมยไปว่า ของหายผมไม่เสียดายหรอก แต่เอาไปแล้วช่วยผ่อนต่อให้ด้วยได้ป่ะ
และการใช้บัตรเครดิตรูดซื้อของนั้น ก็เป็นสาเหตุทำให้ผมมีบัตรเครดิตใบที่สอง
ไม่ใช่ว่าบัตรเครดิตทุกใบจะใช้งานได้เหมือนกันหมด ไม่ใช่ว่าจะซื้อของด้วยการผ่อน 0% 10 เดือนได้ทุกธนาคาร ไม่ใช่ว่าทุกร้านจะให้ส่วนลดกับบัตรทุกใบ เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องทำบัตรเพิ่มอีกใบหนึ่งเพื่อทำให้ผมสามารถซื้อของที่ต้องการได้
ความจริงผมจะทำเพิ่มอีกหลายๆใบด้วยซ้ำ เผื่อเอาไว้ใช้ซื้ออย่างอื่นด้วย แถมมีเพื่อนบางคนบอกว่า รู้จักกับนายหน้ารับทำบัตรเครดิต ทำปุ๊ปก็ได้เงินเป็นค่าจ้างที่ทำบัตรปั๊ป อาจจะไม่มากไม่มาย แต่ก็พอกินขนมเล่นๆได้ แต่ด้วยความขี้เกียจกรอกเอกสารกับยื่นหลักฐานทางการเงิน ผมก็เลยทำแค่ใบเดียวก่อน
ได้มาปุ๊ป ก็ใช้รูดปั๊ป แต่เพราะมันเป็นบัตรเครดิตเฉพาะกิจ ก็เลยไม่คิดจะใช้บ่อย ยังไงผมก็มีบัตรหลักใบแรกไว้ใช้แจกเงินอยู่แล้ว
ผ่านไปสักพัก บัตรเครดิตก็เริ่มคิดไม่ซื่อกับผม
เริ่มจากการที่ผมเปลี่ยนงาน การเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้น เวลาเปลี่ยนที่ทำงาน บางทีก็ต้องเปลี่ยนบัญชีเงินเดือนไปด้วย อยู่ที่ว่าบริษัทที่ทำจะจ่ายเงินเดือนเข้าธนาคารไหน แล้วผมก็ดันโชคร้ายย้ายไปอยู่บริษัทที่จ่ายเงินเดือนคนละธนาคารกับของเดิม ผมก็เลยต้องเปิดบัญชีเพิ่ม
เดิมทีบัตรใบแรกของผมเป็นธนาคารเดียวกับบัญชีเงินเดือนเก่า ผมก็เลยเอาบัตรเครดิตผูกติดกับบัญชี กะว่าถ้ามีหนี้ก็ให้ตัดได้ทันที ไม่ต้องไปตามจ่ายให้เสียเวลา ทีนี้พอเปลี่ยนงานเปลี่ยนบัญชีเงินเดือน แม้บัญชีใหม่จะธนาคารเดียวกับบัตรเครดิตใบที่สองของผม แต่เพราะไม่ค่อยได้ใช่ ผมก็เลยขี้เกียจไปทำเรื่องผูกบัตรเครดิต และการเปลี่ยนบัญชีเงินเดือน ทำให้บัญชีเก่าของผมกลายเป็นบัญชีที่มีแต่เงินออก ไม่มีเงินเข้า ด้วยความเคยชินผมจึงไม่ได้สนใจเท่าไหร่ มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่ายหนี้บัตรเครดิตแล้ว จริงๆการโอนเงินจากบัญชีหนึ่งไปอีกบัญชีหนึ่งมันก็ไม่ยากหรอกครับ แต่ผมต้องรอให้เงินเดือนออกก่อนถึงจะมีเงินให้โอน พอเงินเดือนออก ก็ดันลืมโอน ทำไปทำมา เกินเวลาที่กำหนด ตายละหว่า
จริงๆเกินไปแค่ 2 วันได้มั้งครับ แต่ผมโดนค่าปรับเพราะผิดนัดชำระไปประมาณ 200 บวกกับดอกเบี้ยอีกนิดหน่อย เป็นการเสียเงินโดยใช่เหตุจริงๆ
แต่ 200 ที่เสียเพราะบัตรเครดิตใบแรก ยังไม่เท่าเงินที่ผมกำลังจะเสียเพราะบัตรเครดิตใบที่สอง เนื่องจากหลังจากใช้ซื้อของที่อยากได้ไปแล้ว ก็ไม่ได้ใช้บัตรใบนี้อีกเลย ผมจึงแทบจะไม่ได้เช็คใบแจ้งหนี้เลยว่าต้องเสียค่าอะไรไหม ในเมื่อไม่ได้ใช้ แล้วจะมีหนี้ได้ไงจริงไหมครับ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ไม่รู้อะไรดลจิตดลใจให้ผมเปิดใบแจ้งหนี้ที่ถูกส่งมาออกดู แล้วก็ต้องช็อค!!! อยู่ๆผมก็มีหนี้ลอยมาจากไหนไม่รู้ 2,000 บาท สำหรับมนุษย์เงินเดือนต่ำอย่างผม เงิน 2,000 บาท ถือเป็นจำนวนที่มากพอจะอยู่ได้ครึ่งค่อนเดือนเลยนะครับ
ผมลองอ่านรายละเอียดดู ก็พอจะเบาใจ เมื่อพบว่ามันเป็นค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บประจำปี
โถ่ ทำตกอกตกใจหมด รู้สึกยังกับโดดขึ้นชั่งน้ำหนักแล้วพบว่าจู่ๆน้ำหนักก็ขึ้นมาสองเท่า ทำเอาขวัญผว่านึกว่ามีใครขี่คอ แต่ความจริงคือ ลืมเอากระเป๋าสะพายออก
แค่ค่าธรรมเนียม บัตรใบแรกของผมก็เคยมี ตอนที่ผมยังใช้น้อยๆอยู่พอจ่ายไม่ถึงเป้า เขาก็จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม เราก็เตรียมตัวขอเวฟได้เลย ไม่รู้จะเรียกเก็บให้เสียเวลาโทรไปขอเวฟทำไม แต่เดี๋ยวนี้บัตรใบแรกของผมผ่านจุดนั้นไปไกลแล้วครับ แต่บัตรใบที่สองของผมไม่ค่อยถูกใช้ มันก็เลยขาดไปนิดหน่อยอย่างน่าเสียดาย
เอาเถอะ ขอเวฟซะก็จบไปแล้ว
“สวัสดีค่ะ...รับสาย ยินดีให้บริการค่ะ” เสียงพนักงานสาวกล่าวทักทาย หลักจากให้ผมกดเลขอะไรต่อมิอะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด กว่าจะได้คุยกับเธอ รู้สึกว่าจะคุยกับเธอแต่ละที โทรหายากกว่าเวลาโทรหาคนที่แอบชอบเสียอีก
“ผมขอสอบถามเรื่องยอดหนี้ 2,000 บาทในบัญชีบัตรเครดิตของผมครับ” เธอขอเช็คตัวตนของผมอีกนิดหน่อย ฟังเสียงน่ารักๆแล้ว อยากนัดเจอหน้าจะได้ยืนยันว่าเป็นตัวจริงซะเหลือเกิน
“ค่ะ ยอดหนี้ 2,000 บาท เป็นค่าธรรมเนียมรายปีนะค่ะ เพราะว่าคุณลูกค้าใช้จ่ายไม่ถึง 50,000 บาทค่ะ” เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว แต่แกล้งถามไปงั้นแหละ ก็เลยขอเข้าประเด็นเลย
“ผมขอเวฟค่าธรรมเนียมได้ไหมครับ” ประโยคเด็ด ตอบมาได้ก็จบละ
“ขอประทานโทษค่ะ แต่ไม่สามารถยกเลิกค่าธรรมเนียมได้ค่ะ” อึ้งครับ เหมือนกำลังคุกเข่าขอเธอแต่งงาน โดยหมายมั่นปั้นเหมาะว่า ตกลงชัวร์ แต่เธอโยนแหวนทิ้งแล้ววิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตา
“ผมขอยกเลิกค่าธรรมเนียมไม่ได้เหรอครับ เห็นธนาคารคืนผมยังขอได้เลยนะครับ”
“ขอประทานโทษค่ะ อันนี้แล้วแต่นโยบายของแต่ละธนาคารค่ะ แต่ธนาคารของเราไม่สามารถขอยกเลิกค่าธรรมเนียมได้ค่ะ” ธนาคารพี่จะอินดี้ไปแล้วครับ ที่ไหนๆเขาก็ให้ทั้งนั้น แล้วทำไมพี่ไม่ยอม
“แปลว่าผมต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 2,000 บาท โดยไม่สามารถยกเลิกได้ใช่ไหมครับ” พนักงานสาวคงคิดในใจว่า พูดภาษาคนให้ฟังขนาดนี้แล้ว พี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ต้องแปลไทยเป็นไทยใช่ไหม แต่เธอก็พยายามตอบกลับมาอย่างใจเย็น ด็วยการยืนยันยอดที่ผมต้องจ่าย แต่คนที่ใจเย็นกว่าเธอคือผม บอกตรงๆว่าตอนนั้นผมโกรธมาก อะไรวะ อยู่ๆก็ต้องเสียเงิน 2,000 บาท แค่นี้ก็ใช้เงินแบบเดือนชนเดือนแล้ว นี่ถ้าต้องจ่ายไปสองพันคงต้องนั่งซดมาม่าแบบมื้อเว้นมื้อแล้วแหละ ไอ้มื้อที่เว้นนั่นไม่ใช่กินของดีๆนะ แต่คืออดไปเลย เพราะ ขนาดเงินซื้อมาม่ากินทุกมื้อยังไม่พอเลย แต่ผมรู้ว่าถึงจะต่อว่าพนักงานคนนี้ไปปก็ไม่ได้อะไร เธอไม่ใช่คนคิดนโยบายห่วยๆนี้ออกมา แต่เป็นคนที่ถูกคนคิดนโยบายจ้างให้มารับคำด่าแทนตัวเอง จะด่ากลับไปก็สงสารเธอ อยากจะบอกเธอเหลือเกินว่า น้องไปหางานอื่นที่มันเจริญหูกว่านี้ทำเถอะ ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่โดนแบบนี้แต่ไม่ใจเย็นแบบผม แล้วต้องหลุดคำด่าออกไปแน่นอน แต่นั่นมันเรื่องของเขาเนอะ เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า
สุดท้ายผมก็ต้องตัดใจวางหู แล้วก็ดูเงินในกระเป๋า ตัดค่านู่น งดค่านี่ เพื่อให้มีเงินพอจ่ายค่าธรรมเนียม
หลายวันต่อมาผมยืนอยู่หน้าตู้เอทีเอ็ม เพื่อจะกดเงินไปจ่ายหนี้บัตรเครดิตและใช้จ่ายส่วนตัว ผมหยิบบัตรเอทีเอ็มออกมา เสียบเข้าไปในตู้ แล้วจิ้มนิ้วลงไปตามตัวเลขที่คุ้นเคย
…ขออภัยค่ะ คุณกดรหัสไม่ถูกต้อง ถ้ากดรหัสผิดครบ 4 ครั้ง บัตรของคุณจะถูกยึด กรุณาติดต่อสาขาเจ้าของบัญชีค่ะ...
รหัสผิด??? ผิดได้ไงฟระ กดทุกเดือน หรือเมื่อกี้รากดผิด ไม่เป็นไร กดใหม่ แบบเน้นๆ ช้าๆ
…ขออภัยค่ะ คุณกดรหัสไม่ถูกต้อง ถ้ากดรหัสผิดครบ 4 ครั้ง บัตรของคุณจะถูกยึด กรุณาติดต่อสาขาเจ้าของบัญชีค่ะ...
เอิ่ม 2 แล้วป่ะ เห้ย มันผิดได้ไง ตู้เอทีเอ็มมันมี Caps lock หรือว่าตัวเปลี่ยนภาษาป่าวว้า ดูแล้วก็ไม่มี หรือว่าเราตั้งรหัสบัตรใหม่ ก็ไม่มั้ง ไม่เป็นไร ลองอีกเลขดู เผื่อเผลอไปเปลี่ยน
…ขออภัยค่ะ คุณกดรหัสไม่ถูกต้อง ถ้ากดรหัสผิดครบ 4 ครั้ง บัตรของคุณจะถูกยึด กรุณาติดต่อสาขาเจ้าของบัญชีค่ะ...
อ้าว ผมจะรีบใช้เงินนะครับ ธนาคารก็ปิดหมดแล้วด้วย จะให้ผมไปเบิกที่เซเว่นเหรอไง ทำไมซวยซ้ำซวยซ้อนแบบนี้ หรือตู้มันแฮ้งว่ะ เมื่อคืนใครเอาเหล้ามาเทรดตู้รึเปล่า ตอนนั้นเรียกได้ว่ากำลังขาดสติ ด้วยอารมณ์ร้อนเงิน และหงุดหงิดที่ต้องเสียเงิน ผมเลยตัดสินใจกดไปอีกครั้ง กะว่า คราวนี้ใช่แน่
ฟรึ่บ บัตรถูกยึดไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ผมช่วยอะไรมันไม่ได้ ขนาดจะพูดร่ำลายังไม่มีโอกาสเลย ผมลังเลว่าจะนั่งร้องไห้อยู่หน้าตู้ หรือเดินไปหยิบเก้าอี้มาฟาดตู้เอาบัตรออกมาดี
บันทึกชีวิตมนุษย์เงินเดือน#4: บัตรเครดิต เพชรฆาตเงียบ ที่เสียบอยู่ในกระเป๋าตังค์
ความจริงผมเกลียดการเป็นหนี้นะครับ ตอนเด็กๆถือคติ ยอมอดข้าว ดีกว่าต้องขอตังค์เพื่อน ไม่ว่าจะเล็กจะน้อยแค่ไหนก็ไม่ยอมเป็นหนี้เด็ดขาด แต่พอโตมากลายเป็นมนุษย์เงินเดือน ก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย และเป็นหนี้ เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์เงินเดือน สังคมคนทำงาน หันไปทางไหนก็ต้องเจอแต่คนที่มีหนี้มีสิน (ถ้าไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด) ไม่หนี้บ้าน ก็หนี้รถ ไม่หนี้รถ ก็หนี้บัตรเครดิต น่าแปลกนะครับ ยิ่งทำงานนานขึ้น หนี้กลับยิ่งเพิ่มขึ้นตามเงินเดือน
กลับมาที่เรื่องบัตรเครดิต สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้พอที่จะสร้างความไว้วางใจให้กับธนาคารได้แล้ว น้อยคนนะที่จะไม่มีบัตรเครดิต ตอนแรกผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเหมือนกันที่จะมีเครื่องมือสร้างหนี้สินแบบพกพาสักใบ แต่พอหันไปทางไหนก็เห็นมีแต่คนพกยังกับบัตรประชาชนใบที่สอง ผมมองดูแล้วคนที่มีบัตรเครดิตอาจจะเยอะกว่าคนที่มีใบขับขี่ด้วยซ้ำ ต่อไปบัตรประชาชนนอกจากจะเป็นสมาร์ทการ์ดแล้ว อาจจะกลายเป็นบัตรเครดิตไปด้วยเลยก็ได้นะครับ กอปรกับการถูกขอร้องแกมบังคับจากเพื่อนที่ทำงานธนาคาร โดยอ้างว่า
“ทำๆไปเถอะ เพิ่มยอดให้เพื่อน ถ้าไม่ใช้ ผ่านไปหกเดือนเมิงก็ยกเลิกบัตรก็ได้”
พร้อมกับกระซิบเบาๆข้างๆหูผมว่า “ไม่มีใครตายเพราะทำบัตรเครดิตนะเว้ย แต่เมิงอาจจะเป็นคนแรกที่ตายเพราะไม่ช่วยเพื่อนทำบัตรเครดิต” แหม่ ถ้าพูดขนาดนี้ พี่เอาบัตรเครดิตมาปาดคอผมเลยก็ได้
สุดท้ายผมก็ใจอ่อน (หรือกลัวตายก็ไม่รู้) ตัดสินใจทำบัตรเครดิตใบแรกเพื่อเพื่อน (รู้งี้ก่อนทำน่าจะบอกมันว่า กรูช่วยทำให้เมิงแล้ว พอได้บัตรมา เมิงต้องช่วยใช้หนี้ให้กรูด้วยนะ)
สาเหตุที่บัตรเครดิตมีเยอะกว่าใบขับขี่ ก็คงเป็นเพราะมันของ่ายกว่ากันเยอะ ไม่ต้องเข้าอบรม ไม่ต้องสอบ ไม่ต้องหัดใช้ แค่ยื่นหลักฐานแสดงให้ธนาคารเห็นว่า ผมพร้อมที่จะเป็นหนี้พี่แล้วนะครับ เพียงไม่กี่วัน โอกาสเป็นหนี้ก็จะถูกส่งมาถึงบ้าน
ช่วงแรกๆ ผมก็ยังไม่กล้าใช้อะไรมาก ด้วยนิสัยที่ไม่อยากเป็นหนี้ กลัวรูดสบายตายตอนเห็นใบแจ้งหนี้ ก็เลยพยายามรูดเท่าที่จำเป็นจริงๆ แต่พอเริ่มใช้ครั้งที่หนึ่ง มันก็จะมีครั้งที่สองตามมา พอใช้ไปเรื่อยๆก็เริ่มเสียนิสัย ทีนี้แทบจะเอาบัตรเครดิตมาแขวนคอเลยครับ จะได้หยิบใช้ได้ง่าย เพราะรู้สึกว่าการต้องหยิบบัตรเครดิตออกจากกระเป๋าตังค์เพื่อเอามารูดมันลำบากเกินไปแล้ว
ส่วนใหญ่ผมจะใช้เพื่อหมุนเงินครับ เงินกำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป พอไปกินข้าวหรือซื้อของกับเพื่อน ก็จะทำตัวเป็นคนดี ทำทีอาสาจ่ายให้ก่อน ร่อนบัตรเครดิตรูดเช็คบิลปรื้ดเดียวก็จบล่ะ เสร็จแล้วเงินสดจากเพื่อนก็จะไหลเข้ากระเป๋าเราโดยที่เราเหมือนไม่ต้องจ่ายอะไรเลย สุขใดจะเท่าจับกระเป๋าแล้วเจอตังค์ อยู่ๆก็มีเงินเต็มกระเป๋า เอาไปใช้นู่นจ่ายนี่ได้สบาย
แต่พอเงินเดือนออกนี่สิครับ ผมได้ดีใจกับเงินเดือนในบัญชีได้ไม่นาน ก็ต้องกดตังค์ออกมาจ่ายหนี้บัตรเครดิตเกือบหมด เห้อ เงินเดือนเป็นภาพลวงตา แต่หนี้สินและความยากจนนี่สิของจริง
ถ้าคำพูดหวานหูของคนเจ้าชู้เป็นเหมือนน้ำผึ้งอาบยาพิษ บัตรเครดิตก็เป็นสิ่งที่อันตรายไม่แพ้กัน
นอกจากจะรูดเพื่อหมุนเงินแล้ว หน้าที่หลักอีกอย่างของบัตเครดิตของผมก็คือ ทำให้ผมได้ใช้ของที่อยากได้ โดยไม่ต้องรอให้หยอดกระปุกเต็มก่อน ระว่างนั้นก็ได้แต่นอนฝันรอคอยวันที่จะได้ทุบกระปุกไปซื้อของที่หมายมั่นปั้นมือมานาน บางทีก็นานจนเลิกอยากได้ไปแล้ว และบางทีก็นานจนของชิ้นนั้นกลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว
สะดวกสบายดีเนอะ แต่นั่นทำให้ผมลืมความรู้สึกดีใจตอนที่อุตส่าเก็บเงินครบ แล้วทุปกระปุก เอาเงินใส่กระเป๋า เดินเข้าไปในร้าน ก่อนจะเดินออกมาอย่างภาคภูมิใจพร้อมกับของที่อยากได้อยู่ในมือ และการที่เราใช้เงินได้ง่ายขึ้น มันทำให้เรายับยั้งชั่งใจในการใช้จ่ายได้น้อยลง บางอย่างก็ไม่ได้มีความจำเป็นกับเราหรอกครับ ถ้าค่อยๆเก็บเงินไปอย่างช้าๆ เราอาจจะรู้สึกตัวก่อนที่จะเก็บเงินได้ครบก็ได้ว่า มันไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อเลย ถึงตอนนั้นนอกจากจะไม่ต้องเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์แล้ว เรายังมีเงินเก็บก้อนหนึ่งเอาไปใช้ในสิ่งที่จำเป็นกว่าได้ แต่ถ้าเรารูดซื้อไปได้ก่อน เราอาจจะมาสำนึกเสียใจทีหลังว่า มันไม่ได้จำเป็นต่อเราเลย ซื้อมาทำไมเนี่ย อยากจะโยนทิ้ง แมร่ง ก็ยังผ่อนไม่หมด และยิ่งถ้าทำหายก่อนจะผ่อนด้วยนะ อยากจะฝากบอกไอ้คนที่ขโมยไปว่า ของหายผมไม่เสียดายหรอก แต่เอาไปแล้วช่วยผ่อนต่อให้ด้วยได้ป่ะ
และการใช้บัตรเครดิตรูดซื้อของนั้น ก็เป็นสาเหตุทำให้ผมมีบัตรเครดิตใบที่สอง
ไม่ใช่ว่าบัตรเครดิตทุกใบจะใช้งานได้เหมือนกันหมด ไม่ใช่ว่าจะซื้อของด้วยการผ่อน 0% 10 เดือนได้ทุกธนาคาร ไม่ใช่ว่าทุกร้านจะให้ส่วนลดกับบัตรทุกใบ เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องทำบัตรเพิ่มอีกใบหนึ่งเพื่อทำให้ผมสามารถซื้อของที่ต้องการได้
ความจริงผมจะทำเพิ่มอีกหลายๆใบด้วยซ้ำ เผื่อเอาไว้ใช้ซื้ออย่างอื่นด้วย แถมมีเพื่อนบางคนบอกว่า รู้จักกับนายหน้ารับทำบัตรเครดิต ทำปุ๊ปก็ได้เงินเป็นค่าจ้างที่ทำบัตรปั๊ป อาจจะไม่มากไม่มาย แต่ก็พอกินขนมเล่นๆได้ แต่ด้วยความขี้เกียจกรอกเอกสารกับยื่นหลักฐานทางการเงิน ผมก็เลยทำแค่ใบเดียวก่อน
ได้มาปุ๊ป ก็ใช้รูดปั๊ป แต่เพราะมันเป็นบัตรเครดิตเฉพาะกิจ ก็เลยไม่คิดจะใช้บ่อย ยังไงผมก็มีบัตรหลักใบแรกไว้ใช้แจกเงินอยู่แล้ว
ผ่านไปสักพัก บัตรเครดิตก็เริ่มคิดไม่ซื่อกับผม
เริ่มจากการที่ผมเปลี่ยนงาน การเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้น เวลาเปลี่ยนที่ทำงาน บางทีก็ต้องเปลี่ยนบัญชีเงินเดือนไปด้วย อยู่ที่ว่าบริษัทที่ทำจะจ่ายเงินเดือนเข้าธนาคารไหน แล้วผมก็ดันโชคร้ายย้ายไปอยู่บริษัทที่จ่ายเงินเดือนคนละธนาคารกับของเดิม ผมก็เลยต้องเปิดบัญชีเพิ่ม
เดิมทีบัตรใบแรกของผมเป็นธนาคารเดียวกับบัญชีเงินเดือนเก่า ผมก็เลยเอาบัตรเครดิตผูกติดกับบัญชี กะว่าถ้ามีหนี้ก็ให้ตัดได้ทันที ไม่ต้องไปตามจ่ายให้เสียเวลา ทีนี้พอเปลี่ยนงานเปลี่ยนบัญชีเงินเดือน แม้บัญชีใหม่จะธนาคารเดียวกับบัตรเครดิตใบที่สองของผม แต่เพราะไม่ค่อยได้ใช่ ผมก็เลยขี้เกียจไปทำเรื่องผูกบัตรเครดิต และการเปลี่ยนบัญชีเงินเดือน ทำให้บัญชีเก่าของผมกลายเป็นบัญชีที่มีแต่เงินออก ไม่มีเงินเข้า ด้วยความเคยชินผมจึงไม่ได้สนใจเท่าไหร่ มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่ายหนี้บัตรเครดิตแล้ว จริงๆการโอนเงินจากบัญชีหนึ่งไปอีกบัญชีหนึ่งมันก็ไม่ยากหรอกครับ แต่ผมต้องรอให้เงินเดือนออกก่อนถึงจะมีเงินให้โอน พอเงินเดือนออก ก็ดันลืมโอน ทำไปทำมา เกินเวลาที่กำหนด ตายละหว่า
จริงๆเกินไปแค่ 2 วันได้มั้งครับ แต่ผมโดนค่าปรับเพราะผิดนัดชำระไปประมาณ 200 บวกกับดอกเบี้ยอีกนิดหน่อย เป็นการเสียเงินโดยใช่เหตุจริงๆ
แต่ 200 ที่เสียเพราะบัตรเครดิตใบแรก ยังไม่เท่าเงินที่ผมกำลังจะเสียเพราะบัตรเครดิตใบที่สอง เนื่องจากหลังจากใช้ซื้อของที่อยากได้ไปแล้ว ก็ไม่ได้ใช้บัตรใบนี้อีกเลย ผมจึงแทบจะไม่ได้เช็คใบแจ้งหนี้เลยว่าต้องเสียค่าอะไรไหม ในเมื่อไม่ได้ใช้ แล้วจะมีหนี้ได้ไงจริงไหมครับ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ไม่รู้อะไรดลจิตดลใจให้ผมเปิดใบแจ้งหนี้ที่ถูกส่งมาออกดู แล้วก็ต้องช็อค!!! อยู่ๆผมก็มีหนี้ลอยมาจากไหนไม่รู้ 2,000 บาท สำหรับมนุษย์เงินเดือนต่ำอย่างผม เงิน 2,000 บาท ถือเป็นจำนวนที่มากพอจะอยู่ได้ครึ่งค่อนเดือนเลยนะครับ
ผมลองอ่านรายละเอียดดู ก็พอจะเบาใจ เมื่อพบว่ามันเป็นค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บประจำปี
โถ่ ทำตกอกตกใจหมด รู้สึกยังกับโดดขึ้นชั่งน้ำหนักแล้วพบว่าจู่ๆน้ำหนักก็ขึ้นมาสองเท่า ทำเอาขวัญผว่านึกว่ามีใครขี่คอ แต่ความจริงคือ ลืมเอากระเป๋าสะพายออก
แค่ค่าธรรมเนียม บัตรใบแรกของผมก็เคยมี ตอนที่ผมยังใช้น้อยๆอยู่พอจ่ายไม่ถึงเป้า เขาก็จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม เราก็เตรียมตัวขอเวฟได้เลย ไม่รู้จะเรียกเก็บให้เสียเวลาโทรไปขอเวฟทำไม แต่เดี๋ยวนี้บัตรใบแรกของผมผ่านจุดนั้นไปไกลแล้วครับ แต่บัตรใบที่สองของผมไม่ค่อยถูกใช้ มันก็เลยขาดไปนิดหน่อยอย่างน่าเสียดาย
เอาเถอะ ขอเวฟซะก็จบไปแล้ว
“สวัสดีค่ะ...รับสาย ยินดีให้บริการค่ะ” เสียงพนักงานสาวกล่าวทักทาย หลักจากให้ผมกดเลขอะไรต่อมิอะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด กว่าจะได้คุยกับเธอ รู้สึกว่าจะคุยกับเธอแต่ละที โทรหายากกว่าเวลาโทรหาคนที่แอบชอบเสียอีก
“ผมขอสอบถามเรื่องยอดหนี้ 2,000 บาทในบัญชีบัตรเครดิตของผมครับ” เธอขอเช็คตัวตนของผมอีกนิดหน่อย ฟังเสียงน่ารักๆแล้ว อยากนัดเจอหน้าจะได้ยืนยันว่าเป็นตัวจริงซะเหลือเกิน
“ค่ะ ยอดหนี้ 2,000 บาท เป็นค่าธรรมเนียมรายปีนะค่ะ เพราะว่าคุณลูกค้าใช้จ่ายไม่ถึง 50,000 บาทค่ะ” เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว แต่แกล้งถามไปงั้นแหละ ก็เลยขอเข้าประเด็นเลย
“ผมขอเวฟค่าธรรมเนียมได้ไหมครับ” ประโยคเด็ด ตอบมาได้ก็จบละ
“ขอประทานโทษค่ะ แต่ไม่สามารถยกเลิกค่าธรรมเนียมได้ค่ะ” อึ้งครับ เหมือนกำลังคุกเข่าขอเธอแต่งงาน โดยหมายมั่นปั้นเหมาะว่า ตกลงชัวร์ แต่เธอโยนแหวนทิ้งแล้ววิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตา
“ผมขอยกเลิกค่าธรรมเนียมไม่ได้เหรอครับ เห็นธนาคารคืนผมยังขอได้เลยนะครับ”
“ขอประทานโทษค่ะ อันนี้แล้วแต่นโยบายของแต่ละธนาคารค่ะ แต่ธนาคารของเราไม่สามารถขอยกเลิกค่าธรรมเนียมได้ค่ะ” ธนาคารพี่จะอินดี้ไปแล้วครับ ที่ไหนๆเขาก็ให้ทั้งนั้น แล้วทำไมพี่ไม่ยอม
“แปลว่าผมต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 2,000 บาท โดยไม่สามารถยกเลิกได้ใช่ไหมครับ” พนักงานสาวคงคิดในใจว่า พูดภาษาคนให้ฟังขนาดนี้แล้ว พี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ต้องแปลไทยเป็นไทยใช่ไหม แต่เธอก็พยายามตอบกลับมาอย่างใจเย็น ด็วยการยืนยันยอดที่ผมต้องจ่าย แต่คนที่ใจเย็นกว่าเธอคือผม บอกตรงๆว่าตอนนั้นผมโกรธมาก อะไรวะ อยู่ๆก็ต้องเสียเงิน 2,000 บาท แค่นี้ก็ใช้เงินแบบเดือนชนเดือนแล้ว นี่ถ้าต้องจ่ายไปสองพันคงต้องนั่งซดมาม่าแบบมื้อเว้นมื้อแล้วแหละ ไอ้มื้อที่เว้นนั่นไม่ใช่กินของดีๆนะ แต่คืออดไปเลย เพราะ ขนาดเงินซื้อมาม่ากินทุกมื้อยังไม่พอเลย แต่ผมรู้ว่าถึงจะต่อว่าพนักงานคนนี้ไปปก็ไม่ได้อะไร เธอไม่ใช่คนคิดนโยบายห่วยๆนี้ออกมา แต่เป็นคนที่ถูกคนคิดนโยบายจ้างให้มารับคำด่าแทนตัวเอง จะด่ากลับไปก็สงสารเธอ อยากจะบอกเธอเหลือเกินว่า น้องไปหางานอื่นที่มันเจริญหูกว่านี้ทำเถอะ ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่โดนแบบนี้แต่ไม่ใจเย็นแบบผม แล้วต้องหลุดคำด่าออกไปแน่นอน แต่นั่นมันเรื่องของเขาเนอะ เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า
สุดท้ายผมก็ต้องตัดใจวางหู แล้วก็ดูเงินในกระเป๋า ตัดค่านู่น งดค่านี่ เพื่อให้มีเงินพอจ่ายค่าธรรมเนียม
หลายวันต่อมาผมยืนอยู่หน้าตู้เอทีเอ็ม เพื่อจะกดเงินไปจ่ายหนี้บัตรเครดิตและใช้จ่ายส่วนตัว ผมหยิบบัตรเอทีเอ็มออกมา เสียบเข้าไปในตู้ แล้วจิ้มนิ้วลงไปตามตัวเลขที่คุ้นเคย
…ขออภัยค่ะ คุณกดรหัสไม่ถูกต้อง ถ้ากดรหัสผิดครบ 4 ครั้ง บัตรของคุณจะถูกยึด กรุณาติดต่อสาขาเจ้าของบัญชีค่ะ...
รหัสผิด??? ผิดได้ไงฟระ กดทุกเดือน หรือเมื่อกี้รากดผิด ไม่เป็นไร กดใหม่ แบบเน้นๆ ช้าๆ
…ขออภัยค่ะ คุณกดรหัสไม่ถูกต้อง ถ้ากดรหัสผิดครบ 4 ครั้ง บัตรของคุณจะถูกยึด กรุณาติดต่อสาขาเจ้าของบัญชีค่ะ...
เอิ่ม 2 แล้วป่ะ เห้ย มันผิดได้ไง ตู้เอทีเอ็มมันมี Caps lock หรือว่าตัวเปลี่ยนภาษาป่าวว้า ดูแล้วก็ไม่มี หรือว่าเราตั้งรหัสบัตรใหม่ ก็ไม่มั้ง ไม่เป็นไร ลองอีกเลขดู เผื่อเผลอไปเปลี่ยน
…ขออภัยค่ะ คุณกดรหัสไม่ถูกต้อง ถ้ากดรหัสผิดครบ 4 ครั้ง บัตรของคุณจะถูกยึด กรุณาติดต่อสาขาเจ้าของบัญชีค่ะ...
อ้าว ผมจะรีบใช้เงินนะครับ ธนาคารก็ปิดหมดแล้วด้วย จะให้ผมไปเบิกที่เซเว่นเหรอไง ทำไมซวยซ้ำซวยซ้อนแบบนี้ หรือตู้มันแฮ้งว่ะ เมื่อคืนใครเอาเหล้ามาเทรดตู้รึเปล่า ตอนนั้นเรียกได้ว่ากำลังขาดสติ ด้วยอารมณ์ร้อนเงิน และหงุดหงิดที่ต้องเสียเงิน ผมเลยตัดสินใจกดไปอีกครั้ง กะว่า คราวนี้ใช่แน่
ฟรึ่บ บัตรถูกยึดไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ผมช่วยอะไรมันไม่ได้ ขนาดจะพูดร่ำลายังไม่มีโอกาสเลย ผมลังเลว่าจะนั่งร้องไห้อยู่หน้าตู้ หรือเดินไปหยิบเก้าอี้มาฟาดตู้เอาบัตรออกมาดี