บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ และ SCBX เปิดความท้าทาย “Virtual Bank” ต้องคุม “หนี้เสีย-การทุจริต” ให้อยู่ หลังดิจิทัลแบงก์ต่างประเทศ 90% ไปไม่รอด เหตุคุมหนี้ไม่อยู่ แม้ต้นทุนต่ำกว่า 1 แบงก์ แต่ความเสี่ยงเครดิตลูกค้าเพิ่ม-รายได้ไม่สูง แต่มั่นใจเสิร์ฟลูกค้าเข้าไม่ถึงบริการ
นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) กล่าวในงาน “Thailand Economic Outlook 2026 Out of the Trap” ภายใต้หัวข้อ “Virtual Bank-Game Changer Financial Thailand” ว่าธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ถูกสร้างมาเพื่อความแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์
เนื่องจาก Virtual Bank ไม่มีต้นทุนด้านสาขา โดยประชากรประมาณ 90-95% มีบัญชีเงินฝากแล้ว แต่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน รวมถึง 96% ไม่มีการลงทุนแบบรูปธรรม
ดังนั้น Virtual Bank จะเข้ามาช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงิน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่สูง ทำให้ธนาคารไม่กล้าเข้าไปปล่อยสินเชื่อ ซึ่ง Virtual Bank จะใช้เทคโนโลยีเข้าไปให้บริการลูกค้า
อย่างไรก็ดี ความท้าทายของ Virtual Bank เนื่องจากกลุ่มลูกค้าที่ให้บริการ คือกลุ่มเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน (Underserve) ซึ่งเป็นกลุ่มรายได้ไม่สูง แต่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
สะท้อนจากตัวเลขธนาคารดิจิทัลแบงก์ทั่วโลก 90% ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนหนึ่งมาจากการเริ่มต้นด้วยต้นทุนสูง หากลูกค้าไม่มาใช้บริการเราก็ไม่สามารถไปต่อ หรือหากไม่สามารถควบคุมหนี้เสียได้ก็ไปต่อไปได้ ดังนั้น
โจทย์ Virtual Bank จึงต้องควบคุมความเสี่ยงและคัดกรองลูกค้าได้แม่นยำ
ทั้งนี้ ภายใต้เทคโนโลยีที่ใช้ในการขับเคลื่อน
Virtual Bank จะเป็นเทคโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าได้ 40-50 กลุ่ม ซึ่งแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ที่แยกกลุ่มลูกค้าเพียง 4 กลุ่มเท่านั้น คือความเสี่ยงต่ำ ความเสี่ยงกลาง ความเสี่ยงสูง และความเสี่ยงสูงมาก และพิจารณาจากรายได้เป็นหลัก ซึ่ง Virtual Bank จะพิจารณาข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) ทำให้เราเข้าใจลูกค้ามากขึ้น โดยจะเห็นว่าลูกค้าประมาณ 50% ที่ทรูมันนี่อนุมัติ (Approval) จะเป็นลูกค้าที่ขอสินเชื่อธนาคารและโดนปฏิเสธสินเชื่อ (Reject)
สำหรับในแง่
รายได้จาก Virtual Bank ยอมรับว่าต่ำกว่าธนาคารพาณิชย์ เช่น วงเงินการปล่อยสินเชื่อของธนาคารจะอยู่ที่ราว 70,000-100,000 บาทต่อราย แต่ Virtual Bank วงเงิน 3,000-5,000 บาทต่อราย ดังนั้น รายได้ต่อคนของ Virtual Bank ปรับลดลง แต่ในแง่จำนวนคนในการปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น เช่น ธนาคารมีฐานลูกค้าบัตรเครดิตราว 2-4 ล้านคน แต่ Virtual Bank สามารถปล่อยสินเชื่อได้ถึง 6-7 ล้านคน
โดยในเบื้องต้น Virtual Bank จะเน้นในผลิตภัณฑ์เงินฝากและสินเชื่อ รวมถึงการเป็นตัวแทนขายประกันในอนาคต ส่วนกลุ่มเป้าหมายเบื้องต้น คือกลุ่มมนุษย์เงินเดือน กลุ่มอาชีพอิสระ และเอสเอ็มอีรายเล็ก เป็นต้น
สำหรับความคืบหน้าการตั้ง Virtual Bank ภายใต้ใบอนุญาต (ไลเซนส์) บริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด (บริษัทในเครือ Ascend Money เจ้าของ True Money) อยู่ระหว่างพัฒนาระบบและทดสอบเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ คาดว่าช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะได้ชื่อธนาคารเป็นทางการ ส่วนผู้บริหารที่จะเข้ามาดูแล Virtual Bank ที่จะเข้ามาดูแลจะมาจากสายไฟแนนซ์ และคนที่เก่งในด้านเทคโนโลยีด้วย
“ในช่วงที่หนี้ครัวเรือนสูง แบงก์มองว่ามีความเสี่ยงสูง เขาอาจจะ Slow Down ในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมีลูกค้าดีที่เข้าไม่ถึงและยังมีลูกค้าอีกมากมายที่เข้าไม่ถึง ดังนั้น ลูกค้าเราจะมาทั้งจากลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่า”
นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา Chief Digital Platform Business Officer บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภายใต้การเข้ามาของ Virtual Bank จะเข้ามาช่วยให้คนเข้าถึงบริการทางการเงิน และลดหนี้นอกระบบได้ หากดูภาพรวมหนี้ครัวเรือนไทยจะพบว่าครัวเรือนไทยกว่า 40% มีหนี้นอกระบบ เฉลี่ยครัวเรือนละ 5.4 หมื่นบาท โดยการให้อัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยง (Risk Based Pricing) จะมาช่วยสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อของ Virtual Bank และดึงลูกค้าเข้าระบบมากขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของโครงสร้างรายได้เมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ จะเห็นว่า สัดส่วนประมาณ 70-80% จะมาจากรายได้ดอกเบี้ย และอีก 20-30% จะมาจากรายได้ค่าธรรมเนียม ดังนั้น ความแตกต่างของ Virtual Bank กับธนาคารพาณิชย์ คือต้นทุนจะหายไป เพราะใช้เทคโนโลยีเข้ามาให้บริการ เพราะหากเทียบขนาดไซซ์ธนาคารที่มีขนาดเท่ากับ Virtual Bank จะพบว่าธนาคารใช้พนักงานมากกว่า 10 เท่า
“ต้นทุนความเสี่ยงของ Virtual Bank จะมีอยู่ 2 อย่างคือ 1.การปล่อยสินเชื่อและเสี่ยง และ 2.การทุจริตที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย โดยเรื่องของ Credit Risk เป็นความท้าทายของอุตสาหกรรมภายใต้ที่เศรษฐกิจโตช้าและความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จึงเป็นเรื่องที่ Virtual Bank จะต้องคิดและเลือกลูกค้าให้ดี”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/finance/news-1898883
แอสเซนด์ฯ-SCBX ย้ำ “หนี้เสีย-การทุจริต” โจทย์ท้าทายเวอร์ชวลแบงก์
นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) กล่าวในงาน “Thailand Economic Outlook 2026 Out of the Trap” ภายใต้หัวข้อ “Virtual Bank-Game Changer Financial Thailand” ว่าธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ถูกสร้างมาเพื่อความแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ เนื่องจาก Virtual Bank ไม่มีต้นทุนด้านสาขา โดยประชากรประมาณ 90-95% มีบัญชีเงินฝากแล้ว แต่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน รวมถึง 96% ไม่มีการลงทุนแบบรูปธรรม
ดังนั้น Virtual Bank จะเข้ามาช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงิน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่สูง ทำให้ธนาคารไม่กล้าเข้าไปปล่อยสินเชื่อ ซึ่ง Virtual Bank จะใช้เทคโนโลยีเข้าไปให้บริการลูกค้า
อย่างไรก็ดี ความท้าทายของ Virtual Bank เนื่องจากกลุ่มลูกค้าที่ให้บริการ คือกลุ่มเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน (Underserve) ซึ่งเป็นกลุ่มรายได้ไม่สูง แต่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น สะท้อนจากตัวเลขธนาคารดิจิทัลแบงก์ทั่วโลก 90% ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนหนึ่งมาจากการเริ่มต้นด้วยต้นทุนสูง หากลูกค้าไม่มาใช้บริการเราก็ไม่สามารถไปต่อ หรือหากไม่สามารถควบคุมหนี้เสียได้ก็ไปต่อไปได้ ดังนั้น โจทย์ Virtual Bank จึงต้องควบคุมความเสี่ยงและคัดกรองลูกค้าได้แม่นยำ
ทั้งนี้ ภายใต้เทคโนโลยีที่ใช้ในการขับเคลื่อน Virtual Bank จะเป็นเทคโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าได้ 40-50 กลุ่ม ซึ่งแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ที่แยกกลุ่มลูกค้าเพียง 4 กลุ่มเท่านั้น คือความเสี่ยงต่ำ ความเสี่ยงกลาง ความเสี่ยงสูง และความเสี่ยงสูงมาก และพิจารณาจากรายได้เป็นหลัก ซึ่ง Virtual Bank จะพิจารณาข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) ทำให้เราเข้าใจลูกค้ามากขึ้น โดยจะเห็นว่าลูกค้าประมาณ 50% ที่ทรูมันนี่อนุมัติ (Approval) จะเป็นลูกค้าที่ขอสินเชื่อธนาคารและโดนปฏิเสธสินเชื่อ (Reject)
สำหรับในแง่รายได้จาก Virtual Bank ยอมรับว่าต่ำกว่าธนาคารพาณิชย์ เช่น วงเงินการปล่อยสินเชื่อของธนาคารจะอยู่ที่ราว 70,000-100,000 บาทต่อราย แต่ Virtual Bank วงเงิน 3,000-5,000 บาทต่อราย ดังนั้น รายได้ต่อคนของ Virtual Bank ปรับลดลง แต่ในแง่จำนวนคนในการปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น เช่น ธนาคารมีฐานลูกค้าบัตรเครดิตราว 2-4 ล้านคน แต่ Virtual Bank สามารถปล่อยสินเชื่อได้ถึง 6-7 ล้านคน
โดยในเบื้องต้น Virtual Bank จะเน้นในผลิตภัณฑ์เงินฝากและสินเชื่อ รวมถึงการเป็นตัวแทนขายประกันในอนาคต ส่วนกลุ่มเป้าหมายเบื้องต้น คือกลุ่มมนุษย์เงินเดือน กลุ่มอาชีพอิสระ และเอสเอ็มอีรายเล็ก เป็นต้น
สำหรับความคืบหน้าการตั้ง Virtual Bank ภายใต้ใบอนุญาต (ไลเซนส์) บริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด (บริษัทในเครือ Ascend Money เจ้าของ True Money) อยู่ระหว่างพัฒนาระบบและทดสอบเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ คาดว่าช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะได้ชื่อธนาคารเป็นทางการ ส่วนผู้บริหารที่จะเข้ามาดูแล Virtual Bank ที่จะเข้ามาดูแลจะมาจากสายไฟแนนซ์ และคนที่เก่งในด้านเทคโนโลยีด้วย
“ในช่วงที่หนี้ครัวเรือนสูง แบงก์มองว่ามีความเสี่ยงสูง เขาอาจจะ Slow Down ในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมีลูกค้าดีที่เข้าไม่ถึงและยังมีลูกค้าอีกมากมายที่เข้าไม่ถึง ดังนั้น ลูกค้าเราจะมาทั้งจากลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่า”
นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา Chief Digital Platform Business Officer บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภายใต้การเข้ามาของ Virtual Bank จะเข้ามาช่วยให้คนเข้าถึงบริการทางการเงิน และลดหนี้นอกระบบได้ หากดูภาพรวมหนี้ครัวเรือนไทยจะพบว่าครัวเรือนไทยกว่า 40% มีหนี้นอกระบบ เฉลี่ยครัวเรือนละ 5.4 หมื่นบาท โดยการให้อัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยง (Risk Based Pricing) จะมาช่วยสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อของ Virtual Bank และดึงลูกค้าเข้าระบบมากขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของโครงสร้างรายได้เมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ จะเห็นว่า สัดส่วนประมาณ 70-80% จะมาจากรายได้ดอกเบี้ย และอีก 20-30% จะมาจากรายได้ค่าธรรมเนียม ดังนั้น ความแตกต่างของ Virtual Bank กับธนาคารพาณิชย์ คือต้นทุนจะหายไป เพราะใช้เทคโนโลยีเข้ามาให้บริการ เพราะหากเทียบขนาดไซซ์ธนาคารที่มีขนาดเท่ากับ Virtual Bank จะพบว่าธนาคารใช้พนักงานมากกว่า 10 เท่า
“ต้นทุนความเสี่ยงของ Virtual Bank จะมีอยู่ 2 อย่างคือ 1.การปล่อยสินเชื่อและเสี่ยง และ 2.การทุจริตที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย โดยเรื่องของ Credit Risk เป็นความท้าทายของอุตสาหกรรมภายใต้ที่เศรษฐกิจโตช้าและความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จึงเป็นเรื่องที่ Virtual Bank จะต้องคิดและเลือกลูกค้าให้ดี”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1898883