เรื่องเล่าผี จากเด็กหนุ่มไฟแรง อายุไม่เกิน 25 เรื่อง วิญญาณพ่อต้องการสื่อสารกับลูก การสื่อสาร การช่วยเหลือและมิตรภาพครั้งแรกของผม
ในตอนแรกผมเองเป็นเด็กหนุ่มทั่วไป ไม่มีสัมผัส ไม่เชื่อเรื่องผี จนเมื่อตอนเรียนมหาลัยผมรู้สึกว่าตนเองมีสัมผัสพิเศษขึ้นมา ในตอนแรกผมก็งงและประหลาดใจ แต่หลังจากที่ผมพบเจอมาเรื่อยๆ คิดและพิจารณาในหลายเหตุการณ์ รวมถึงเริ่มปฏิบัติธรรมมากขึ้นเรื่อยๆและเสมอมา ทำให้รู้ว่าเรื่องที่ผมรับรู้มักเป็นเรื่องจริงที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบได้ว่าผมรู้เรื่องบางอย่าง ความลับหรือเวรกรรมได้อย่างไร ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนผมค่อนข้างเชี่ยวชาญในระดับหนึ่ง
จึงอยากแชร์ประสบการณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ผมเคยเจอให้กับคนอื่นๆได้ฟังบ้าง เพื่อจะเป็นธรรมทาน ช่วยเป็นเครื่องเตือนจิต สะกิดใจ หรือสำหรับคนไม่เชื่อก็ถือเป็นนิทาน นิยาย เรื่องเล่าขำๆที่ช่วยสร้างความสนุกสนานไปล่ะกันนะครับ
เรื่องเล่าผี จากเด็กหนุ่มไฟแรง อายุไม่เกิน 25 เรื่อง วิญญาณพ่อต้องการสื่อสารกับลูก การสื่อสาร การช่วยเหลือและมิตรภาพครั้งแรกของผม เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ผมสัมผัสได้เองทั้งหมด เป็นเรื่องจริงที่ไม่มีการต่อเติม ใส่ไข่ หลอกลวง แน่นอนนะครับ ผมยืนยัน
ปล. ชื่อตัวละครเป็นนามสมมตินะครับ แต่มีตัวตนจริง เป็นเรื่องที่นำมาเล่าเพื่อเป็นธรรมทาน ให้เป็นเครื่องสติให้เราทำดี กตัญญูกับพ่อแม่ในขณะที่ท่านยังอยู่ ดูแลและใส่ใจกับท่านให้มากๆ ใส่ใจคนที่ควรใส่ใจ ทำดีให้ถูกคน กตัญญูต่อพ่อแม่ เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรในอนาคต ดี ไม่ดีอย่างไร บอกผมได้นะครับ เพราะผมตั้งใจเล่าและพิมพ์จริงๆ ขอบคุณครับ
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือน เมษายน 2555 ในช่วงนั้นผมไปฝึกงานที่สำนักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี กลุ่มงานหนึ่งของตึกหน้า ในวันอังคารวันนั้นเหลือพี่ๆในห้องประมาณ 2 คน ส่วนอีก 4 คนที่เหลือไปงานศพพ่อพี่ตั้ม(พี่ตั้ม คือ พี่อีกกลุ่มงานหนึ่งที่อยู่ตึกหลัง ผมไม่ได้รู้จักหรือสนิทกันเป็นพิเศษ เพียงแต่เคยเห็นบ้างตอนที่ผมไปเดินส่งเอกสาร) ก็โอเค ผมก็นั่งทำงานต่อไป
ต่อมาในวันศุกร์พี่ตั้มก็เดินเข้ามา พร้อมกับแจกหนังสือบทสวดมนตร์ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพฯ ให้กับพี่ๆในห้อง คราวนี้เองผมก็สังเกตเห็นวิญญาณลุงเดินตามพี่ตั้ม ผมเองก็แปลกใจมาก ว่ามาจากไหน เพราะปกติผมไม่เคยเห็นวิญญาณลุงแถวนี้เลย พอผมสัมผัสได้เท่านั่นเอง
ลุงก็หันมาทางผมและสื่อสารมาว่า “หนู ลุงอยากคุยกับลูกชาย(พี่ตั้ม) หนูช่วยลุงหน่อยได้มั้ย ลุงอยากคุยกับลูกจริงๆ ลุงสื่อสารไม่ได้ มีน้องที่เห็นลุง คุยกับลุงได้ น้องช่วยลุงหน่อย ลุงอยากคุยกับลูกจริงๆ”
ในจังหวะนั้นเองผมก็แปลกใจมาก คิดทบทวนในใจของตนเองว่า “ลุงคนนี้คือพ่อของพี่ตั้ม ต้องการคุยกับลูก เราไม่ได้คิดไปเองใช่มั้ย ไม่น่าใช่เนอะ ก็เขาสื่อสารมาซะขนาดนั้น” หลังจากใช้สติแยกแยะสิ่งที่เห็นกับความคิดของตนเองแล้ว ก็พบว่า พ่อของพี่ตั้มต้องการสื่อสารจริงๆ
คราวนี้ระหว่างที่พี่ตั้มกำลังพูดคุยกับพี่ๆในห้องที่ปลอบใจพี่ตั้ม ผมเองก็สื่อสารกับพ่อพี่ตั้มอยู่ พ่อพี่ตั้มท่านก็ขอร้องผมให้พูดคุยให้ได้ อยากให้ผมพูดขึ้นมากลางห้องเลย ผมเองก็ตอบไม่อย่างเดียว เพราะกลัวว่าถ้าพูดขึ้นมาเขาจะคิดอย่างไร ผมเองก็ไม่รู้จักพี่ตั้มด้วย เด๋วถูกหาว่าบ้าทำไง กลัวโน้นกลัวนี่ แล้วพี่ตั้มก็เดินกลับห้องไป สุดท้ายก็ไม่ได้พูด ผมเองก็แอบรู้สึกผิดและสงสารคุณลุง เพราะถ้าเป็นเราเองก็คงเศร้าและอึดอัดใจมาก อยากคุยกับลูกเป็นครั้งสุดท้าย ก็คุยไม่ได้ เจอคนที่สื่อสารได้(ผมเอง)ก็ไม่ยอมช่วย..................
ห้อย!!! แอบถอนหายใจ สงสารลุง สุดท้ายตัดสินใจไปช่วยสื่อสารให้ก็ได้อ่ะ ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ไม่สนแล้ว พอเวลาเลิกงาน 16.30 น. ผมเองก็ออกจากห้องเร็วกว่าปกติหน่อย บอกมีธุระขอตัวรีบกลับ และ
ผมก็รีบเดินทางไปที่ตึกหลังที่ห้องกลุ่มงานของพี่ตั้ม และไปถามเขาว่า “พี่ตั้มอยู่ไหมครับ ผมขอพบกับพี่ตั้มหน่อย ผมชื่อ...จากกลุ่มงาน....” ว่าแล้วสักพักพี่ตั้มก็เดินออกมา และทำหน้างงๆว่าผมมาทำไม
ผมแนะนำตัวและพูดขึ้นว่า “พี่ตั้มครับ ผมเห็นพ่อพี่นะครับ ลุงตามพี่มาที่ห้องกลุ่มงานของผมเมื่อตอนเช้าที่พี่เอาหนังสือสวดมนตร์มาแจก ลุงเขาอยากสื่อสารกับพี่นะครับ”
พี่ตั้มทำหน้าตื่นตกใจและพูดว่า “น้องอย่ามาล้อพี่เล่นนะ น้องพูดอะไร พ่อพี่มาจริงหรอ”
ผม “จริงครับพี่ พ่อพี่ยืนอยู่ข้างหน้าพี่แล้ว”
พี่ตั้ม “พ่อพี่แต่งตัวยังไง”
ผม “เท่าที่ผมเห็นนะครับ เสื้อกับกางเกงสีน้ำเงินเข้ม เหมือนเป็นชุดเดียวกัน”
พี่ตั้มตกใจและพูดว่า “ช่าย พ่อพี่แกชอบใส่เสื้อกับกางเกงสีน้ำเงินตอนอยู่บ้าน” แกเริ่มเชื่อ
ผม “พ่อพี่หัวล้าน ตรงกลางหัวและมีผมอยู่เฉพาะตรงข้างหู 2 ข้างใช่มั้ยครับ”
พี่ตั้ม “ใช่”
ผม “พ่อพี่ผิวคล้ำ และผอมมากเลยรึป่าวครับ”
พี่ตั้ม “ไม่นะ พ่อพี่ผิวขาวและเหมือนอวบหน่อย”
ผม “หรอครับ แปลกจังทำไมที่ผมเห็นถึงผิวคล้ำและผอมมากเลยอ่าครับ”
ว่าแล้วพี่ตั้มก็เปิดมือถือให้ดู เป็นภาพของพ่อตอนนอนในโรงศพ ซึ่งตาดำคล้ำ ผิวสีน้ำตาลเข้มและผอมมาก และพูดว่า “ที่น้องพูดว่า ผิวคล้ำและผอมมาก คือสภาพแบบนี้ใช่รึป้าว”
ผม “ใช่ครับ พ่อพี่ที่ยืนอยู่ตรงนี้ลักษณะแบบนี้เลย ผิวคล้ำ ตาดำ ผอมมาก แบบในรูปนี้เลยครับ”
พี่ตั้ม “พ่อพี่เป็นมะเร็ง ตอนพ่อพี่เสีย น้ำหนักลดลงไป 20 กว่ากิโล เลยผอมแบบนี้แหละ”
ผม “อ๋อ ไม่น่าล่ะ ถึงเป็นแบบนี้ ตอนนี้พ่อพี่บอกว่า ที่พี่ตั้มนอนไม่หลับทั้งวันทั้งคืน ไม่ยอมกินข้าว มาทำงานก็ไม่มีความสุข ซึมเศร้ามาก อมทุกข์ เช่น ตอนที่พี่นอนร้องไห้บนเตียง พ่อพี่ก็เห็นหมดนะ พ่อพี่ก็สงสารพี่มากเลยนา ไม่อยากให้พี่มาเป็นแบบนี้ พ่อพี่พยายามทักพี่แล้ว แต่พี่ไม่รู้”
พี่ตั้มเริ่มน้ำตาคลอ “ใช่น้อง พี่เศร้ามากและทำอย่างที่น้องบอกจริง พี่กินอะไรไม่ลง ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น พี่ไม่ได้กลับมาดูแลพ่อตอนที่พ่อป่วย พี่มาทำงาน พอรู้อีกทีพ่อก็ไปล่ะ ท่านไปทันที พี่ยังอยากตอบแทนพระคุณท่านอยากทำอะไรให้ท่านมากกว่านี้ พี่รู้สึกว่ายังไม่ได้ทำหน้าที่ของลูกที่ดี พี่ยังไม่ได้บวชให้ท่านเลย”
ผม “ครับ แต่ถึงยังไง พ่อพี่ก็ไม่อยากให้พี่มาอมทุกข์แบบนี้นะครับ ท่านจะยิ่งไม่สบายใจ ท่านอยากให้พี่กลับมาสดใสแบบเดิม” ซึ่งลุงก็ทำหน้าเศร้าและสงสารลูกมาก
พี่ตั้ม “ถ้าน้องสื่อกับพ่อพี่ได้จริง ตอนนอนในโรงที่พี่บอกพ่อข้างหูว่าจะบวชให้ ท่านได้ยินไหม”
ผมสื่อสารและตอบว่า “ไม่ได้ยินครับ ลุงบอกมานะ แต่ตอนนี้ได้ยินล่ะ และดีใจมากเลยด้วย แต่ยังไงท่านก็ไม่อยากให้พี่มาเศร้าอยู่ดี”
พี่ตั้ม “พ่อพี่ฝากอะไรถึงพี่อีกม้าย”
ผม “มีครับ ที่บ้านพี่เป็นบ้านไม้รึป้าวนะครับ”
พี่ตั้ม “ใช่ครับ”
ผม “เท่าที่ผมสื่อสารได้นะ ชั้นล่างจะมีชั้นวางทีวีเนอะ และข้างขวาจะมีตู้วางอยู่ ในตู้นั้นเหมือนจะมีตลับสีขาวอยู่อ่ะครับ พ่อพี่อยากให้พี่ครับ”
พี่ตั้ม “ใช่ มีทีวี และมีตู้โชว์ของ แต่พี่ไม่รู้จะมีตลับสีขาวไหมนะ มันคืออะไรหรอ”
ผม “ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่พ่ออยากให้พี่นะ”
พี่ตั้ม “’งั้นวันเสาร์นี้ น้องว่างรึป่าว พี่อยากจะให้แม่และพี่สาวได้คุยกับพ่อพี่ พี่สาวพี่ทำงานอยู่เมืองนอก ไม่ค่อยได้กลับมาบ้าน พี่สาวอยากคุยกับพ่อมากๆ”
ผม “อืม จะดีหรอครับ ผมเองก็ไม่เคยสื่อสารแบบนี้มาก่อน ผมไม่แน่ใจนะครับ ไม่ดีกว่ามั้ง”
พี่ตั้ม “นะน้อง พี่ขอร้องล่ะ น้องสื่อสารกับพ่อพี่ได้ พี่อยากให้แม่กับพี่สาวได้คุยกับท่านจริงๆ เอาที่น้องสื่อสารได้อย่างวันนี้ก็พอ”
ผม “อืม ยังงั้นก็ได้ครับ แต่ผมไม่แน่ใจนะครับ ยังไงพี่ก็จุดธูป 1 ดอก อธิษฐานจิตขอให้พ่อพี่ตามมาด้วยนะครับ ”
จากนั้นเราก็นัดหมายกันมาที่ เคเอฟซี เซ้นทรัลปิ่นเกล้า พอมาถึงก็มีพี่ตั้ม พี่สาว แม่และวิญญาณพ่อยืนอยู่ที่หัวโต๊ะ ผมก็ยกมือไหว้ทักทาย แล้ว
พี่ตั้มก็ทักมาว่า “น้องพี่เจอตลับสีขาวที่เราว่าล่ะนะ เป็นพระเครื่องของพ่อที่ท่านสะสมไว้”
ผม “จริงหรอครับ ดีจังเลย พ่อคงอยากให้พี่เก็บไว้นะครับ”
จากนั้นก็พูดคุยกันอีกหลายเรื่อง เช่นถามว่าพ่อสบายดีไหม เป็นอย่างไรบ้าง เรื่องที่พี่สาวและคุณแม่คาใจอยู่ พ่อจะเอาไปอยู่ด้วยมั้ย เพราะฝันเห็นท่าน เป็นห่วงแม่หรืออะไรอีกหรือไม่ และเรื่องอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งสรุปได้ว่า “พ่อไม่ได้ต้องการอะไร และไม่ได้ยึดติดในอะไรแล้ว ท่านจะไปดีแล้ว ขอแค่ให้ทุกคนกลับมาสดใส แข็งแรงได้เหมือนเดิม ดูแลกันให้ดี คอยช่วยเหลือกัน เรื่องที่ลูกยังไม่ได้ทำอะไรเพื่อพ่อ อย่าได้ติดใจอะไร ดูแลแม่และดูแลกันให้ดีก็พอแล้ว เด๋วอีกสักพักพ่อก็คงจะไปแล้ว” หลังจากนั้นแม้ว่าแม่ พี่ตั้ม พี่สาว จะทำหน้าเศร้าในตอนแรก แต่ก็ดีใจและดีขึ้นเมื่อรู้ว่าพ่อไปสบายแล้ว ไม่มีเรื่องคาใจที่จะถามอีกแล้ว แล้วเขาก็ขอเบอร์ผมไปเผื่อไว้ติดต่อกันในอนาคต จากนั้นผมเองก็เดินทางกลับพร้อมกับชุดเคเอฟซีหนึ่งชุดที่เขาซื้อให้
จากนั้นผมเองก็เริ่มโด่งดังและเป็นที่รู้จักในสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและได้พบเจอ สัมผัสเรื่องผีที่นี้อีกมากมาย(ไว้จะเล่าวันหลังนะครับ) รวมถึงสนิทสนมกับครอบครัวพีตั้มด้วย ตอนเลิกฝึกงานพี่ตั้มและครอบครัวได้ให้ซองเงินกับผมตั้ง 1000 บาทแน่ะครับ ในตอนแรกผมนึกว่าเป็นยันต์อะไรซะอีก จนทุกวันนี้ผมก็ยังติดต่อกับพี่ตั้ม พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นทั้งเรื่องธรรมะ เรื่องทั่วไป สารทุกข์สุขดิบและใช้บทสวดมนตร์จากหนังสือบทสวดมนตร์ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพของพ่อพี่ตั้มทุกครั้งที่สวดมนตร์ครับ(เพราะมีหลายบท มีคำแปล และเรียบเรียงได้ดีมากครับ)
จากเรื่อง นี้ สอนให้ผมรู้ว่า เราควรทำดี กตัญญูกับพ่อแม่ในขณะที่ท่านยังอยู่ ดูแลและใส่ใจกับท่านให้มากๆ เราควรใส่ใจคนที่ควรใส่ใจ ทำดีให้ถูกคน กตัญญูต่อพ่อแม่ เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรในอนาคต แต่ผมก็รู้สึกดีนะครับที่ช่วยให้พ่อ แม่ ลูกได้พูดคุยกัน และผมก็สนิมกับพี่ตั้มเหมือนเป็นพี่น้องกันจริงๆเลยด้วย ยังติดต่อสื่อสารกันถึงทุกวันนี้ ทำให้ผมไม่กลัวการทำดีและมีกำลังใจในการทำดีครั้งต่อๆไปมากขึ้นเลยครับ
เด๋ววันหลังจะมาเล่าเรื่องอื่นให้ฟังนะครับ
เรื่องเล่าผี จากเด็กหนุ่มไฟแรง อายุไม่เกิน 25 เรื่อง วิญญาณพ่อต้องการสื่อสารกับลูก การช่วยเหลือและมิตรภาพครั้งแรก
ในตอนแรกผมเองเป็นเด็กหนุ่มทั่วไป ไม่มีสัมผัส ไม่เชื่อเรื่องผี จนเมื่อตอนเรียนมหาลัยผมรู้สึกว่าตนเองมีสัมผัสพิเศษขึ้นมา ในตอนแรกผมก็งงและประหลาดใจ แต่หลังจากที่ผมพบเจอมาเรื่อยๆ คิดและพิจารณาในหลายเหตุการณ์ รวมถึงเริ่มปฏิบัติธรรมมากขึ้นเรื่อยๆและเสมอมา ทำให้รู้ว่าเรื่องที่ผมรับรู้มักเป็นเรื่องจริงที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบได้ว่าผมรู้เรื่องบางอย่าง ความลับหรือเวรกรรมได้อย่างไร ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนผมค่อนข้างเชี่ยวชาญในระดับหนึ่ง
จึงอยากแชร์ประสบการณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ผมเคยเจอให้กับคนอื่นๆได้ฟังบ้าง เพื่อจะเป็นธรรมทาน ช่วยเป็นเครื่องเตือนจิต สะกิดใจ หรือสำหรับคนไม่เชื่อก็ถือเป็นนิทาน นิยาย เรื่องเล่าขำๆที่ช่วยสร้างความสนุกสนานไปล่ะกันนะครับ
เรื่องเล่าผี จากเด็กหนุ่มไฟแรง อายุไม่เกิน 25 เรื่อง วิญญาณพ่อต้องการสื่อสารกับลูก การสื่อสาร การช่วยเหลือและมิตรภาพครั้งแรกของผม เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ผมสัมผัสได้เองทั้งหมด เป็นเรื่องจริงที่ไม่มีการต่อเติม ใส่ไข่ หลอกลวง แน่นอนนะครับ ผมยืนยัน
ปล. ชื่อตัวละครเป็นนามสมมตินะครับ แต่มีตัวตนจริง เป็นเรื่องที่นำมาเล่าเพื่อเป็นธรรมทาน ให้เป็นเครื่องสติให้เราทำดี กตัญญูกับพ่อแม่ในขณะที่ท่านยังอยู่ ดูแลและใส่ใจกับท่านให้มากๆ ใส่ใจคนที่ควรใส่ใจ ทำดีให้ถูกคน กตัญญูต่อพ่อแม่ เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรในอนาคต ดี ไม่ดีอย่างไร บอกผมได้นะครับ เพราะผมตั้งใจเล่าและพิมพ์จริงๆ ขอบคุณครับ
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือน เมษายน 2555 ในช่วงนั้นผมไปฝึกงานที่สำนักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี กลุ่มงานหนึ่งของตึกหน้า ในวันอังคารวันนั้นเหลือพี่ๆในห้องประมาณ 2 คน ส่วนอีก 4 คนที่เหลือไปงานศพพ่อพี่ตั้ม(พี่ตั้ม คือ พี่อีกกลุ่มงานหนึ่งที่อยู่ตึกหลัง ผมไม่ได้รู้จักหรือสนิทกันเป็นพิเศษ เพียงแต่เคยเห็นบ้างตอนที่ผมไปเดินส่งเอกสาร) ก็โอเค ผมก็นั่งทำงานต่อไป
ต่อมาในวันศุกร์พี่ตั้มก็เดินเข้ามา พร้อมกับแจกหนังสือบทสวดมนตร์ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพฯ ให้กับพี่ๆในห้อง คราวนี้เองผมก็สังเกตเห็นวิญญาณลุงเดินตามพี่ตั้ม ผมเองก็แปลกใจมาก ว่ามาจากไหน เพราะปกติผมไม่เคยเห็นวิญญาณลุงแถวนี้เลย พอผมสัมผัสได้เท่านั่นเอง
ลุงก็หันมาทางผมและสื่อสารมาว่า “หนู ลุงอยากคุยกับลูกชาย(พี่ตั้ม) หนูช่วยลุงหน่อยได้มั้ย ลุงอยากคุยกับลูกจริงๆ ลุงสื่อสารไม่ได้ มีน้องที่เห็นลุง คุยกับลุงได้ น้องช่วยลุงหน่อย ลุงอยากคุยกับลูกจริงๆ”
ในจังหวะนั้นเองผมก็แปลกใจมาก คิดทบทวนในใจของตนเองว่า “ลุงคนนี้คือพ่อของพี่ตั้ม ต้องการคุยกับลูก เราไม่ได้คิดไปเองใช่มั้ย ไม่น่าใช่เนอะ ก็เขาสื่อสารมาซะขนาดนั้น” หลังจากใช้สติแยกแยะสิ่งที่เห็นกับความคิดของตนเองแล้ว ก็พบว่า พ่อของพี่ตั้มต้องการสื่อสารจริงๆ
คราวนี้ระหว่างที่พี่ตั้มกำลังพูดคุยกับพี่ๆในห้องที่ปลอบใจพี่ตั้ม ผมเองก็สื่อสารกับพ่อพี่ตั้มอยู่ พ่อพี่ตั้มท่านก็ขอร้องผมให้พูดคุยให้ได้ อยากให้ผมพูดขึ้นมากลางห้องเลย ผมเองก็ตอบไม่อย่างเดียว เพราะกลัวว่าถ้าพูดขึ้นมาเขาจะคิดอย่างไร ผมเองก็ไม่รู้จักพี่ตั้มด้วย เด๋วถูกหาว่าบ้าทำไง กลัวโน้นกลัวนี่ แล้วพี่ตั้มก็เดินกลับห้องไป สุดท้ายก็ไม่ได้พูด ผมเองก็แอบรู้สึกผิดและสงสารคุณลุง เพราะถ้าเป็นเราเองก็คงเศร้าและอึดอัดใจมาก อยากคุยกับลูกเป็นครั้งสุดท้าย ก็คุยไม่ได้ เจอคนที่สื่อสารได้(ผมเอง)ก็ไม่ยอมช่วย..................
ห้อย!!! แอบถอนหายใจ สงสารลุง สุดท้ายตัดสินใจไปช่วยสื่อสารให้ก็ได้อ่ะ ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ไม่สนแล้ว พอเวลาเลิกงาน 16.30 น. ผมเองก็ออกจากห้องเร็วกว่าปกติหน่อย บอกมีธุระขอตัวรีบกลับ และ
ผมก็รีบเดินทางไปที่ตึกหลังที่ห้องกลุ่มงานของพี่ตั้ม และไปถามเขาว่า “พี่ตั้มอยู่ไหมครับ ผมขอพบกับพี่ตั้มหน่อย ผมชื่อ...จากกลุ่มงาน....” ว่าแล้วสักพักพี่ตั้มก็เดินออกมา และทำหน้างงๆว่าผมมาทำไม
ผมแนะนำตัวและพูดขึ้นว่า “พี่ตั้มครับ ผมเห็นพ่อพี่นะครับ ลุงตามพี่มาที่ห้องกลุ่มงานของผมเมื่อตอนเช้าที่พี่เอาหนังสือสวดมนตร์มาแจก ลุงเขาอยากสื่อสารกับพี่นะครับ”
พี่ตั้มทำหน้าตื่นตกใจและพูดว่า “น้องอย่ามาล้อพี่เล่นนะ น้องพูดอะไร พ่อพี่มาจริงหรอ”
ผม “จริงครับพี่ พ่อพี่ยืนอยู่ข้างหน้าพี่แล้ว”
พี่ตั้ม “พ่อพี่แต่งตัวยังไง”
ผม “เท่าที่ผมเห็นนะครับ เสื้อกับกางเกงสีน้ำเงินเข้ม เหมือนเป็นชุดเดียวกัน”
พี่ตั้มตกใจและพูดว่า “ช่าย พ่อพี่แกชอบใส่เสื้อกับกางเกงสีน้ำเงินตอนอยู่บ้าน” แกเริ่มเชื่อ
ผม “พ่อพี่หัวล้าน ตรงกลางหัวและมีผมอยู่เฉพาะตรงข้างหู 2 ข้างใช่มั้ยครับ”
พี่ตั้ม “ใช่”
ผม “พ่อพี่ผิวคล้ำ และผอมมากเลยรึป่าวครับ”
พี่ตั้ม “ไม่นะ พ่อพี่ผิวขาวและเหมือนอวบหน่อย”
ผม “หรอครับ แปลกจังทำไมที่ผมเห็นถึงผิวคล้ำและผอมมากเลยอ่าครับ”
ว่าแล้วพี่ตั้มก็เปิดมือถือให้ดู เป็นภาพของพ่อตอนนอนในโรงศพ ซึ่งตาดำคล้ำ ผิวสีน้ำตาลเข้มและผอมมาก และพูดว่า “ที่น้องพูดว่า ผิวคล้ำและผอมมาก คือสภาพแบบนี้ใช่รึป้าว”
ผม “ใช่ครับ พ่อพี่ที่ยืนอยู่ตรงนี้ลักษณะแบบนี้เลย ผิวคล้ำ ตาดำ ผอมมาก แบบในรูปนี้เลยครับ”
พี่ตั้ม “พ่อพี่เป็นมะเร็ง ตอนพ่อพี่เสีย น้ำหนักลดลงไป 20 กว่ากิโล เลยผอมแบบนี้แหละ”
ผม “อ๋อ ไม่น่าล่ะ ถึงเป็นแบบนี้ ตอนนี้พ่อพี่บอกว่า ที่พี่ตั้มนอนไม่หลับทั้งวันทั้งคืน ไม่ยอมกินข้าว มาทำงานก็ไม่มีความสุข ซึมเศร้ามาก อมทุกข์ เช่น ตอนที่พี่นอนร้องไห้บนเตียง พ่อพี่ก็เห็นหมดนะ พ่อพี่ก็สงสารพี่มากเลยนา ไม่อยากให้พี่มาเป็นแบบนี้ พ่อพี่พยายามทักพี่แล้ว แต่พี่ไม่รู้”
พี่ตั้มเริ่มน้ำตาคลอ “ใช่น้อง พี่เศร้ามากและทำอย่างที่น้องบอกจริง พี่กินอะไรไม่ลง ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น พี่ไม่ได้กลับมาดูแลพ่อตอนที่พ่อป่วย พี่มาทำงาน พอรู้อีกทีพ่อก็ไปล่ะ ท่านไปทันที พี่ยังอยากตอบแทนพระคุณท่านอยากทำอะไรให้ท่านมากกว่านี้ พี่รู้สึกว่ายังไม่ได้ทำหน้าที่ของลูกที่ดี พี่ยังไม่ได้บวชให้ท่านเลย”
ผม “ครับ แต่ถึงยังไง พ่อพี่ก็ไม่อยากให้พี่มาอมทุกข์แบบนี้นะครับ ท่านจะยิ่งไม่สบายใจ ท่านอยากให้พี่กลับมาสดใสแบบเดิม” ซึ่งลุงก็ทำหน้าเศร้าและสงสารลูกมาก
พี่ตั้ม “ถ้าน้องสื่อกับพ่อพี่ได้จริง ตอนนอนในโรงที่พี่บอกพ่อข้างหูว่าจะบวชให้ ท่านได้ยินไหม”
ผมสื่อสารและตอบว่า “ไม่ได้ยินครับ ลุงบอกมานะ แต่ตอนนี้ได้ยินล่ะ และดีใจมากเลยด้วย แต่ยังไงท่านก็ไม่อยากให้พี่มาเศร้าอยู่ดี”
พี่ตั้ม “พ่อพี่ฝากอะไรถึงพี่อีกม้าย”
ผม “มีครับ ที่บ้านพี่เป็นบ้านไม้รึป้าวนะครับ”
พี่ตั้ม “ใช่ครับ”
ผม “เท่าที่ผมสื่อสารได้นะ ชั้นล่างจะมีชั้นวางทีวีเนอะ และข้างขวาจะมีตู้วางอยู่ ในตู้นั้นเหมือนจะมีตลับสีขาวอยู่อ่ะครับ พ่อพี่อยากให้พี่ครับ”
พี่ตั้ม “ใช่ มีทีวี และมีตู้โชว์ของ แต่พี่ไม่รู้จะมีตลับสีขาวไหมนะ มันคืออะไรหรอ”
ผม “ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่พ่ออยากให้พี่นะ”
พี่ตั้ม “’งั้นวันเสาร์นี้ น้องว่างรึป่าว พี่อยากจะให้แม่และพี่สาวได้คุยกับพ่อพี่ พี่สาวพี่ทำงานอยู่เมืองนอก ไม่ค่อยได้กลับมาบ้าน พี่สาวอยากคุยกับพ่อมากๆ”
ผม “อืม จะดีหรอครับ ผมเองก็ไม่เคยสื่อสารแบบนี้มาก่อน ผมไม่แน่ใจนะครับ ไม่ดีกว่ามั้ง”
พี่ตั้ม “นะน้อง พี่ขอร้องล่ะ น้องสื่อสารกับพ่อพี่ได้ พี่อยากให้แม่กับพี่สาวได้คุยกับท่านจริงๆ เอาที่น้องสื่อสารได้อย่างวันนี้ก็พอ”
ผม “อืม ยังงั้นก็ได้ครับ แต่ผมไม่แน่ใจนะครับ ยังไงพี่ก็จุดธูป 1 ดอก อธิษฐานจิตขอให้พ่อพี่ตามมาด้วยนะครับ ”
จากนั้นเราก็นัดหมายกันมาที่ เคเอฟซี เซ้นทรัลปิ่นเกล้า พอมาถึงก็มีพี่ตั้ม พี่สาว แม่และวิญญาณพ่อยืนอยู่ที่หัวโต๊ะ ผมก็ยกมือไหว้ทักทาย แล้ว
พี่ตั้มก็ทักมาว่า “น้องพี่เจอตลับสีขาวที่เราว่าล่ะนะ เป็นพระเครื่องของพ่อที่ท่านสะสมไว้”
ผม “จริงหรอครับ ดีจังเลย พ่อคงอยากให้พี่เก็บไว้นะครับ”
จากนั้นก็พูดคุยกันอีกหลายเรื่อง เช่นถามว่าพ่อสบายดีไหม เป็นอย่างไรบ้าง เรื่องที่พี่สาวและคุณแม่คาใจอยู่ พ่อจะเอาไปอยู่ด้วยมั้ย เพราะฝันเห็นท่าน เป็นห่วงแม่หรืออะไรอีกหรือไม่ และเรื่องอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งสรุปได้ว่า “พ่อไม่ได้ต้องการอะไร และไม่ได้ยึดติดในอะไรแล้ว ท่านจะไปดีแล้ว ขอแค่ให้ทุกคนกลับมาสดใส แข็งแรงได้เหมือนเดิม ดูแลกันให้ดี คอยช่วยเหลือกัน เรื่องที่ลูกยังไม่ได้ทำอะไรเพื่อพ่อ อย่าได้ติดใจอะไร ดูแลแม่และดูแลกันให้ดีก็พอแล้ว เด๋วอีกสักพักพ่อก็คงจะไปแล้ว” หลังจากนั้นแม้ว่าแม่ พี่ตั้ม พี่สาว จะทำหน้าเศร้าในตอนแรก แต่ก็ดีใจและดีขึ้นเมื่อรู้ว่าพ่อไปสบายแล้ว ไม่มีเรื่องคาใจที่จะถามอีกแล้ว แล้วเขาก็ขอเบอร์ผมไปเผื่อไว้ติดต่อกันในอนาคต จากนั้นผมเองก็เดินทางกลับพร้อมกับชุดเคเอฟซีหนึ่งชุดที่เขาซื้อให้
จากนั้นผมเองก็เริ่มโด่งดังและเป็นที่รู้จักในสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและได้พบเจอ สัมผัสเรื่องผีที่นี้อีกมากมาย(ไว้จะเล่าวันหลังนะครับ) รวมถึงสนิทสนมกับครอบครัวพีตั้มด้วย ตอนเลิกฝึกงานพี่ตั้มและครอบครัวได้ให้ซองเงินกับผมตั้ง 1000 บาทแน่ะครับ ในตอนแรกผมนึกว่าเป็นยันต์อะไรซะอีก จนทุกวันนี้ผมก็ยังติดต่อกับพี่ตั้ม พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นทั้งเรื่องธรรมะ เรื่องทั่วไป สารทุกข์สุขดิบและใช้บทสวดมนตร์จากหนังสือบทสวดมนตร์ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพของพ่อพี่ตั้มทุกครั้งที่สวดมนตร์ครับ(เพราะมีหลายบท มีคำแปล และเรียบเรียงได้ดีมากครับ)
จากเรื่อง นี้ สอนให้ผมรู้ว่า เราควรทำดี กตัญญูกับพ่อแม่ในขณะที่ท่านยังอยู่ ดูแลและใส่ใจกับท่านให้มากๆ เราควรใส่ใจคนที่ควรใส่ใจ ทำดีให้ถูกคน กตัญญูต่อพ่อแม่ เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรในอนาคต แต่ผมก็รู้สึกดีนะครับที่ช่วยให้พ่อ แม่ ลูกได้พูดคุยกัน และผมก็สนิมกับพี่ตั้มเหมือนเป็นพี่น้องกันจริงๆเลยด้วย ยังติดต่อสื่อสารกันถึงทุกวันนี้ ทำให้ผมไม่กลัวการทำดีและมีกำลังใจในการทำดีครั้งต่อๆไปมากขึ้นเลยครับ
เด๋ววันหลังจะมาเล่าเรื่องอื่นให้ฟังนะครับ