++++++++++ .......... ฟั ง เ ข า ไ ว้ ห น่ อ ย ก็ ดี น ะ ค รั ช ช ช ช ช ช ช ช ช ช ช ช ช .......... ++++++++++

กระทู้สนทนา
คุณจะเรียกเขาว่าอะไรก็ได้ครับ

นักสันติวิธี
นักสร้างซีนเจรจา
นักประนีประนอม
นักแก้ปัญหาความขัดแย้ง

........ฯลฯ......

แต่ผมขอเรียก Adam Kahane ว่า "นักออกแบบสันติภาพ" ครับ !!!!



Adam ไม่ใช่พวก "ไก่กาอาลาเร่" นะขอรับ
เพราะเขาทำงานเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งมานาน
ทั้งในประเทศเวนเซูเอล่า ที่มีความรุนแรงอย่างมากมาย
ทั้งในประเทศเอกวาดอร์ ที่อยู่ในอเมริกากลาง และ มีความขัดแย้งของผู้คนในสังคม

แต่ที่สร้างชื่อให้ Adam มากที่สุด
คือการเป็นฟันเฟืองที่ทำให้เกิดเสรีภาพในแอฟริกาใต้
ที่มีความขัดแย้งในเรื่องของ "สีผิว" ลงได้สำเร็จ ด้วยการร่วมมืออย่างเต็มที่จาก "เนลสัน แมนเดล่า"

ใครสนใจก็ลองศึกษาดูได้ครับ

http://tamarackcci.ca/content/power-and-love-theory-practice-social-change-0
http://www.worldchanging.com/archives/001070.html

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ
Adam เคยพูดถึงการเจรจาข้อขัดแย้ง
ว่าคู่เจรจาไม่ควรเจรจากันต่อหน้าสาธารณะ หรือ ต่อหน้ากล้องทีวีเป็นอันขาด

"ไอเคยอยู่ในวงของการเจรจาที่มีการถ่ายทอดสด
ไอขอยืนยันว่ามันไม่ได้ผลเลยซักนิด เพราะมันอาจมีปัจจัยมากมายที่ทำให้พูดกันไม่รู้เรื่อง
เนื่องจากต่างฝ่ายต่างก็อยากจะเอาชนะกัน ดังนั้นวิธีที่ไอ้เทือกเสนอมาให้เจรจาออกทีวีจึงเป็นเรื่อง idiot อย่างมาก"

ประโยคสุดท้าย Adam ไม่ได้พูดครับ
แต่เป็นผมนี่แหละ ที่พูดเอง !!!!!!!!!!!

Adam แบ่งขั้นตอนการเจรจาไว้ 4 ขั้นตอนครับ

ขั้นตอนแรกคือ "ดาวโหลด"
หมายถึงการ "พูดฝ่ายเดียว" ของคู่เจรจาคนใดคนหนึ่ง
ส่วนคนอื่นๆก็มีหน้าที่นั่งฟัง ไม่ต้องโต้แย้ง ปล่อยให้เขาพูดไปให้เต็มที่

ขั้นตอนที่ 2 คือ "ดีเบทติ้ง"
คือ การที่ทั้ง 2 ฝ่ายงัดเอาข้อมูลมาพูดกัน
ซึ่งจริงๆแล้วมันก็คือการ "โต้วาที" ดีๆนี่เอง

ขั้นตอนที่ 3 คือ "ไดอาล็อคกิ้ง"
คือ การพูดคุยที่มากกว่าขั้นที่ 2 ขึ้นไปอีก
เพราะในขั้นตอนที่ 3 นี้ มันไม่ใช่การงัดเอาอะไรมา "โต้วาที" กัน
แต่เป็นการพูดกันในแบบที่ต้องเปิดใจกว้างทั้ง 2 ฝ่าย และ รับฟังมุมมอง เหตุผล ปัญหา ของคู่เจรจา

ขั้นตอนสุดท้าย คือ "พรีเซ็นส์ซิ่ง"
อันนี้คือขั้นสูงสุดของกระบวนการเจรจาทั้งหมดครับ
เพราะคู่เจรจาต้องทำความเข้าใจในกันและกัน อีกทั้งต้องมองไปถึง "อนาคต" ร่วมกัน

ฟังดูจะว่าง่ายก็ง่าย......จะว่ายากก็ยาก !!!!

แต่ Adam ก็ทำสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมมาแล้ว
ในดินแดนที่ขัดแย้งกันรุนแรงจนแทบจะแยกประเทศอย่างแอฟริกาใต้ครับ

ในคราวแอฟริกาใต้นั้น
เขาใช้กันทุกวิธีเพื่อจะแก้ปัญหาขัดแย้งครับ
แมนเดล่าถึงขนาดต้องไปเจรจากับคนทั้ง 2 สีผิว
และ ใช้กีฬา "รักบี้" มาเป็นตัวเชื่อมเพื่อให้เกิดสันติสุขได้สำเร็จ

ก่อนหน้านี้รักบี้มีแต่คนผิวขาวเล่น
ในขณะที่คนผิวสีโดนกีดกันให้ไปเล่นอย่างอื่น
แต่พอแอฟริกาใต้ตัดสินใจใช้รักบี้มาเป็นตัวเชื่อม และ พยายามโน้มน้าวให้คนผิวสีได้มีส่วนร่วม

ทีม "สปริงบ็อกซ์" ของพวกเขา (ทีมชาติแอฟริกาใต้)
ได้กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดสามัคคีได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ

ภาพที่แมนเดล่าเดินลงไปในสนาม
และ จับมือทักทายพวก "สปริงบ็อกซ์"
ได้กลายมาเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในประเทศที่แทบจะแยกดินแดนกันก่อนหน้านี้ !!!!

วกกลับมาที่ Adam..........

ในการมาเยือนไทยเมื่อไม่นานมานี้
Adam ได้แสดงความเห็นต่อสถานการณ์บ้านเรา
เขามีความ "เชื่อ" ว่าปัญหาของไทยไม่น่าจะจบลงที่ "สงครามกลางเมือง"

แต่น่าจะจบลงที่ "โต๊ะเจรจา" มากกว่าครับ

เขาเชื่อว่าคนไทยคงไม่ฆ่ากันเองเพราะเรื่องแบบนี้

แต่ที่ผมร้อง "ว๊าววววววว" เลย
ก็คือคำถามจาก "นักข่าวใจกล้า" ผู้หนึ่ง
ที่กล้าหาญที่จะถาม Adam แบบตรงไปตรงมาว่า

"การเจรจาเพื่อหาข้อยุติควรคุยกันทุกเรื่องเลยหรือเปล่า
และไอ้ทุกเรื่องที่ว่านี้สามารถคุยไปจนถึงเรื่องสถาบันกษัตริย์ด้วยหรือไม่ ??????"

โอ้โห.....ถามได้ "มันส์พะย่ะค่ะ" จริงๆ !!!!

คำตอบของ Adam ก็อร่อยเหาะครับ.....เขาตอบว่า

"ยิ่งพูดคุยกันในหลากหลายประเด็นมากเท่าไร
มันก็จะยิ่งมีโอกาสที่จะยุติปัญหา และ ข้อขัดแย้งได้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
แต่ถ้าคู่เจรจายังไม่ไว้ใจกันและกัน ก็อาจจะเริ่มคุยกันด้วยประเด็นที่พอจะคุยกันได้ก่อนก็เป็นได้"

ฟัง Adam เขาไว้หน่อยก็ดีนะครับ
เพราะไม่แน่ว่าปัญหาที่เกิดกับเรานั้น
อาจจะต้องถึงขั้นคุยกันไปถึงเรื่องที่นักข่าวผู้นั้นถาม Adam เลยก็เป็นได้ครับ



ขอบคุณคุณห้วยเสนง ที่ให้ยืมล็อคอิคแปะกระทู้ครับ


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่