ลูกแย่ๆกับเรื่องดีๆที่ทำให้แม่ ครั้งแรกที่แม่ร้องไห้เพราะผมทำดีต่อท่าน ที่ผ่านมาท่านร้องไห้เพราะผมมันเลว

เรื่องราวผมอาจจะยาวสักหน่อยนะครับ แต่เมื่ออ่านแล้ว เชื่อว่า จะคุ้มค่ากับเวลาของทุกคนที่อ่านมัน

     ผมมักจะพบว่า พ่อแม่หรือผู้ที่เลี้ยงดูเรา (อาจไม่ใช่พ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรา) หรือผู้ที่มีบุญคุณกับเรา(คนที่เคยช่วยเหลือเรายามเราลำบาก) เป็น
กลุ่มคนที่มักถูกลืมเลือน ภาพที่เห็นในเฟสบุ๊คหรือในการใช้ชีวิตของคนในสังคมจึงมักเป็นภาพของคนที่ไปทานอาหารในร้านมีชื่อเสียงกับเพื่อน,ภาพขณะไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆกับคู่รัก,ภาพลูกสาว-ลูกชาย,ภาพสัตว์เลี้ยงในครอบครัว

แต่.....................

    ไม่ค่อยมีภาพการพาพ่อแม่ หรือผู้ที่เลี้ยงดูเรา หรือผู้ที่มีบุญคุณกับเรา ไปทานข้าวนอกบ้าน,พาท่านไปเที่ยว และที่สำคัญ ที่เห็นได้น้อยมากๆ    คือ   การกราบเท้าของท่าน

    ใบแดงบางคนสามารถไปกราบพระพุทธรูป,เจดีย์,วิหาร ในต่างจังหวัด ต่างประเทศ แต่ไม่เคยกราบเท้าพ่อแม่ ****

         หลายครั้งที่ผมไปงานศพ เห็นการร่ำไห้ เสียใจ ปิ่มว่าจะขาดใจ ส่วนใหญ่ที่เสียใจมากขนาดนั้นเกิดจากความรู้สึกว่า " ถ้ารู้ว่า ...... (คนที่เสียชีวิต) จะตายเร็วอย่างนี้ น่าจะทำดีกับเขามากกว่านี้ หรือ ไม่น่าพูดไม่ดี-ทำไม่ดีกับเขาก่อนตาย "

         ถามว่า คนทุกคนต่างรู้ว่าวันไหนเป็นวันเกิด แต่จะมีกี่คน...ที่รู้วันที่ตนเองจะตาย หากเรามาช่วยกันแก้ไขทัศนคติว่า
" ทำดีกับพ่อแม่ตอนที่ท่านยังมีชีวิตดีกว่าทำบุญให้ท่านตอนท่านจากไป " จะดีกว่ามั้ยครับ (หากเปลี่ยนกัน เราเป็นพ่อแม่ เราจะอยากได้บุญกุศลที่ลูกหลานทำให้ตอนเราตายไปแล้ว หรือเราอยากเห็นลูกหลานเรามากราบเรา ดูแลเราตอนที่เรายังมีชีวิต)

        พระจันทร์  ผมจำได้เสมอว่า เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2555 เวลาประมาณตี 4 ผมกลับถึงบ้าน(ผมเลิกงานดึก) แล้วก็เข้าไปบอกแม่ว่า     หม่าม๊า ผมมีเรื่องจะพูดด้วย  หม่าม๊าของผมเพิ่งตื่น (ปกติท่านตื่นตี 4 ทุกวัน)  ก้อพยักหน้าแล้วก็เตรียมกาแฟของตนเองอยู่ ก่อนจะยืนรอผมอยู่ในห้องครัว  ผมเดินตรงเข้าไปแล้วคุกเข่า ก่อนจะกราบไปที่เท้าของหม่าม๊า ขอบคุณท่านกับทุกเรื่องที่ท่านทำให้และขออโหสิกับทุกเรื่องที่ผมทำไม่ดีกับท่าน สิ่งที่ท่านแสดงออกให้ผมเห็นคือ ท่านปิดหน้าแล้วร้องไห้ !!!!!!   ท่านคงไม่คิดว่า ลูกเลวๆอย่างผมจะมากราบเท้าท่าน (ผมเคยทำไม่ดีถึงขนาดที่ทำให้ท่านร้องไห้หลายครั้ง)

--- ตอนนี้ที่ผมพิมพ์ข้อความให้เพื่อนๆทุกคนอ่าน ผมก็น้ำตาไหลอยู่เพราะคิดถึงเหตุการณ์ที่ผมกราบท่าน----

         แม่ผมบอกว่า แม่ไม่เคยโกรธลูกหรอก และยินดีอโหสิให้กับทุกเรื่อง ตอนที่ผมกราบไป น้ำตาก็ไหลไป คิดว่า ดีใจกับตัวเองที่เชื่อหนังสือธรรมะที่อ่านเจอว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตควรกราบเท้าบุพการี ควรยกย่องบุญคุณของบุพการีต่อผู้อื่น นั่นจึงจะสมกับที่เกิดเป็นคน

        ถามว่า ก่อนจะกราบ ผมคิดนานไหม เขินไหม ตอบได้เลยว่า คิดมานานเป็นปี ตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือธรรมะจริงจังปี 2553  เขินมากๆ แต่คิดว่า มันถึงเวลาที่ต้องทำแล้ว จึงกลั้นใจทำ ถึงตอนนี้รู้สึกภูมิใจกับการกราบเท้าครั้งนั้นมากๆครับ

แย่ความเลวที่ผมเคยทำแบบคร่าวๆนะครับ ( ถ้าเล่าหมดคงต้องพิมพ์เป็นล้านตัวอักษร )
    1.ไปค้างบ้านเพื่อนแล้วไม่กลับ ทิ้งแม่อยู่คนเดียว พี่ชายไปเรียนต่อต่างประเทศ (พ่อผมเสียตั้งแต่ผมอายุ 7 เดือนครับ) ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่นับไม่ถ้วน จนแม่บอก เมิงไม่ต้องกลับมาแล้ว วันที่ผมกลับมา แม่ร้องไห้   ผมอึ้ง  ความเป็นวัยรุ่นที่คึกคะนอง(ตอนนั้น)หายหมด มีแต่รู้สึกผิด แต่... อีกไม่นานก็ทำอีก
    2.แม่ฝากซื้อกับข้าวสำเร็จรูปมาให้แม่ทาน ให้กลับตอน 18.00 น. (เวลาข้าวเย็น) ผมกลับ 21.00 (แม่นอนแล้ว ต้องกินกับข้าวตามมีตามเกิด)
   3.ไปต่างจังหวัดกับเพื่อน บอกไป 5 วัน ปรากฎ วันที่ 5 โทรบอก ขออยู่ต่อ จนแม่บอก เมิงไม่ต้องกลับมาเลย (อีกแล้ว)
   4.แม่บอกให้ ซ่อมมุ้งลวดให้หน่อย ผมโยเย อ้างนู่นอ้างนี่ จนแม่โมโห ทำเอง ..และไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมทำเลว
   5.แม่สร้างบ้านใหม่ (บ้านเก่าโดนน้ำท่วมเสียหาย) แต่ครอบครัวเราไม่มีเงิน งานปูปาร์เก้แม่เลยทำเอง ขอให้ผมมาช่วย ปรากฎผมทำได้ 2 วัน ก็หาข้ออ้างไม่มา ทิ้งให้แม่อายุกว่า 60 ปี(ในตอนนั้น) ทำเองกับช่างรับเหมา

    บอกได้เลยว่าการกระทำทั้ง 5 ข้อนี้ ผมยังจำได้ถึงทุกวันนี้ ยิ่งจำได้ดีที่สุดตอนสมัยมัธยมปลายที่ไม่บอกแม่ว่าจะค้างบ้านเพื่อน พอกลับมาวันรุ่งขึ้น เปิดประตูบ้านเข้าไปก็พยายามจะหลบหน้าแม่ ปรากฎว่า แม่นั่งรออยู่ แม่บอกว่า ทำไมไม่บอกว่าจะไม่กลับ รู้ไหมว่าเป็นห่วง จนไม่ได้นอน แล้วแม่ก็ร้องไห้ น้ำตาค่อยๆไหลออกมาขณะที่แม่พูดไปด้วย จำได้ว่าตอนนั้น ผมทรุดตัวลงนั่ง ก่อนจะกราบเท้าขอโทษท่าน แล้วบอกว่าจะไม่ทำอีก ที่ผมสะเทือนใจมากเพราะแม่เป็นผู้หญิงใจเด็ดมากในสายตาผม ผมเคยเห็นแม่ร้องไห้ครั้งเดียวตอนที่ยายเสีย แม่นั่งอ่านโทรเลข(สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์) อยู่บนเก้าอี้ผ้าใบแล้วเอามือปิดหน้า ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาผ่านมือที่ปิดหน้าอยู๋
    ครั้งที่ 2 ที่เห็นแม่ร้องไห้ ก็ครั้งที่ผมไม่กลับบ้านแล้วไม่โทรบอกนี่แหล่ะครับ จำจนตาย ! เพราะไม่อยากเห็นแม่ร้องไห้อีกแล้ว
    ครั้งที่ 3 คือ ครั้งที่ผมกราบเท้าท่านเมื่อเดือน พ.ค.55 นี่แหล่ะครับ

สิ่งที่แม่ทำให้ผมจำฝังใจที่สุด คือ
1. แม่ผมมีเครื่องสำอางให้ผมเห็นมาตลอดชีวิตของท่าน จำนวนทั้งสิ้น 2 ชิ้น หัวใจ ได้แก่ ลิปสติก จำนวน 1 ชิ้นถ้วนและแป้งผัดหน้าทรงกลม จำนวน 1 ชิ้นถ้วน โดยแม่ยังใช้แค่นั้นอยู่ถึงปัจจุบัน
2. ตอนผมยังเด็ก-วัยรุ่น ซึ่งเป็นสมัยที่ครอบครัวผมยากจน แม่ชอบอ้างว่าไม่หิว ให้ผมกินก่อน ด้วยความตะกละ ผมกินโดยไม่คิดอะไร จนโตเป็นผู้ใหญ่ เริ่มสังเกตว่า เฮ้ย ที่แม่เรากินน่ะ มันเป็นแต่ส่วนขอบของก้างปลา,ผัก,น้ำแกง ทั้งนั้นนี่หว่า ตัวเราเองกินแต่ส่วนเนื้อๆ นับแต่นั้น ผมเลยเริ่มอ้างกับแม่ว่า ผมชอบกินผัก แม่กินเนื้อไปเหอะ ผมเลยติดนิสัยกินผักเก่งตั้งแต่นั้นมา (เมื่อก่อนผมเป็นเด็กเกลียดผักมาก กินได้ไม่กี่ชนิด เดี๋ยวนี้กินเกือบไม่เหลือสักชนิด)
3. แม่หิ้วส้มโอ,ผลไม้,ขนม มาจากต่างจังหวัด โดยตีตั๋วยืนบนรถ บขส สีส้ม ไม่มีแอร์  ที่ต้องตีตั๋วยืนเพราะ แม่บอกว่า จะได้มีเงินซื้อผลไม้+ของกินมาให้พวกผมกินได้เพิ่มขึ้น ผมลองทำดูตอนโตขึ้นมา ขอโทษเถอะพี่น้อง มันหนักมาก ส้มโอที่อยู่ในมือผมหนักยังกับดัมเบล สายของถุงหูหิ้วบาดเข้าไปในเนื้อของมือผม จึงได้รู้ว่า เราทำครั้งเดียวยังเจ็บจนจดจำขนาดนี้ แล้วแม่เราล่ะ ทำมากี่ครั้งกี่หนกว่าเราจะโต
4. ตอนผมถูกไล่ออกจากงานประจำ(เพราะความดื้อด้านของผม) แล้วกล้าๆกลัวๆเดินไปบอกแม่ ตอนนั้นแม่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยก บอกเสร็จแม่เงียบไปสักพัก แล้วบอกผมว่า ไม่เป็นไรหรอก แม่เลี้ยงผมได้ ตอนนั้นน้ำตาผมร่วงเป็นหยดๆ
5. พ่อผมเสีย ตั้งแต่ผมอายุ 7 เดือน ดังนั้น แม่ซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียว ต้องหอบลูกชาย 3 คน ขึ้นมาจากสงขลา มาหางานทำที่นครปฐม,นนทบุรี,บางแค เราย้ายบ้านหลายครั้ง ตอนเด็กไม่คิดอะไร ก็เห็นว่าสนุกดี พอโตขึ้นถึงรู้ ย้ายบ้านเป็นเรื่องปวดหัว ค่าใช้จ่ายเยอะ แล้วแม่ผมต้องกระเตงๆเอาลูก 3 คนไปด้วย ต้องชักหน้าดึงหลังค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน กว่าจะเลี้ยงผมโตขนาดนี้ล่ะ จะเหนื่อยแค่ไหน

ฝนตก ผมถึงได้รู้ว่า พระคุณแม่ยิ่งใหญ่แค่ไหน และตัวเองทำผิดกับท่านมากเพียงใด

        โลกปัจจุบัน ที่เราต้องทำงานไกลจากบ้านเกิด ซึ่งเป็นสถานที่ๆท่านอยู่ เราควรโทรศัพท์หาท่านทุกสัปดาห์ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพราะสุดท้ายสิ่งที่ท่านต้องการมากที่สุด ไม่ใช่เงิน แต่เป็นความรู้สึกว่า ตนเองยังมีค่ากับลูกหลาน และท่านจะภูมิใจกับความกตัญญูที่เรามีให้

        ตัวอย่างใกล้ตัวผม คือ พี่ชายผม 2 คน ตอนที่พวกเขาไปเรียนต่อต่างประเทศ (สอบชิงทุนเอาเอง เพราะครอบครัวผมไม่มีเงินส่งหรอกครับ) ทุกวันอาทิตย์เวลาราวบ่ายสามของประเทศไทย พี่ชายทั้งสองคนจะโทรกลับมาจากสองประเทศเพื่อคุยกับแม่ เป็นช่วงเวลาที่แม่ผมจะไม่ออกไปไหน จะแอบรอโทรศัพท์จากลูก ผมรู้เพราะผมอยู่เมืองไทยตลอด(หัวไม่ดีครับ สอบชิงทุนไม่ได้) เห็นแม่แอบชะเง้อคอรอว่า เมื่อไรพี่ชายทั้งสองคนจะโทรมา ถ้าโทรช้าก้อจะห่วงว่า เอ ลูกไม่สบายหรือเปล่า หรือมีปัญหาอะไรมั้ย ตอนนั้นยังคิด พี่ชายเรา เมิง เก่งว่ะ โทรหาได้ทุกสัปดาห์เลย

       เยี่ยม กระซิบบอกได้อีกนิด กับความเลวของผม เมื่อเปรียบเทียบกับพี่ชาย  
  1. พี่ชายคนโตผม ตอนพี่เขาทำงานไปด้วยเรียน ป.โท ไปด้วย พี่เขาได้เงินจากมหาวิทยาลัยมหิดล เดือนละ 5,000 บาท พี่ให้ผมใช้ 3,000 บาท พี่ชายใช้เองรวมซื้อของเข้าบ้าน 2,000 บาท ตอนนั้นผมยังแอบบ่นว่าผมได้เงินน้อย แต่พอมารู้ทีหลังว่าพี่ชายได้เงินเดือนแค่ 5,000 ผมงี้น้ำตาร่วง นับถือพี่ชายคนนี้ว่าเป็นพ่อคนที่สองถึงทุกวันนี้
  2. ส่วนพี่ชายคนรอง (ครอบครัวผมมีพีน้องเป็นผู้ชายรวด 3 คน ผมเป็นคนสุดท้อง) ก้อคอยช่วยเหลือผม ให้ยืมเงินมาเปิดร้านค้าเล็กๆ ตอนร้านถูกยกเค้า สินค้าหายไปเกือบหมดหลังเพิ่งเปิดกิจการมาได้ 2 เดือน ก้อได้พี่ชายคนนี้ให้ยืมเงินมาซื้อสินค้าใหม่ จากการยกหูโทรศัพท์แค่กริ๊งเดียว พอเล่าเหตุการณ์เสร็จ พี่ชายคนรองตอบว่า เอาเงินไป 1 แสน บอกเลขที่บัญชีมา
  
       วินาทีนั้นผมจึงได้รู้คำว่า สายสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นอย่างไร ครอบครัวเราเคยลำบากด้วยกันมานาน กินข้าวกับโครงไก่ต้มจิ้มน้ำปลา (โครงไก่มีแต่กระดูกที่คนขายเลาะเนื้อไก่ไว้ขายแล้ว ) พื้นบ้านปลวกกิน เป็นร่องใหญ่ๆระหว่างไม้แต่ละชิ้น เดินไปต้องระวังตกไปใต้ถุนที่มีแต่น้ำเน่า ยุงมีมากจนไม่อยากตบ พี่ชาย 2 คนสมัยเรียน ป.ตรี ต้องกินก๋วยเตี๋ยวชามเดียวกันเพราะมีเงินอยู่แค่นั้น ซึ่งตอนนี้ทุกคนก็ยังจำช่วงเวลานั้นได้ ยิ่งทำให้ผมรักแม่ เพราะรู้ว่า ที่พวกเราพี่น้องรักกัน ก็เพราะแม่เป็นคนสั่งสอน

                         ความเลวของผมและความดีของท่าน คือเหตุผลที่ทำให้ผมตั้งแคมเปญ

                             " สิ่งที่หลงลืมในสังคมไทย:ให้เงินพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณทุกเดือน "  

            ทุกคนสามาถเข้าไปเผยแพร่ความคิดดีๆที่จะกตัญญูต่อพ่อแม่ได้ที่   http://chn.ge/1mRxPB9   (ด้วยความสนับสนุนจาก change.org ) เพราะ
                                     
1.เงินนั้นจะเป็นมากกว่ากระดาษ แต่จะเป็นเหมือนเครื่องหมายแทนความกตัญญูที่เรามีให้กับท่าน ทำให้ท่านภูมิใจและดีใจที่เรายังระลึกถึงท่านเสมอ

2.การนำเงินไปให้ท่านด้วยตนเองเดือนละครั้ง จะทำให้เกิดสายสัมพันธ์และสามารถดูแลสุขภาพ,ความรู้สึกของท่าน ได้ทันเวลา

       ในกรณีที่เราอาศัยกับท่านอยู่แล้ว ก็ควรให้เงินแทนคุณพร้อมถามไถ่สุขภาพของท่านตลอด เพราะความห่วงใยมีฤทธิ์รักษาสุขภาพของท่านได้ดีกว่ายาแน่นอน

       ** ลูกเลวๆคนนี้ ขอทำดีให้แม่อีกสักครั้ง ให้โลกรู้ว่า แม่พรวสา(ชื่อแม่ผม) มีลูกที่กลับใจ สำนึกตัวในความผิด และมาทำแคมเปญนี้เพื่อให้ลูกๆอีกหลายคนในสังคมได้แก้ไขตัวเองได้ทันท่วงที ก่อนที่พ่อแม่หรือผู้มีบุญคุณกับเราจะจากไป

***** เรามาทำให้พวกท่าน น้ำตาไหล จากการที่เราจะไปกราบที่เท้าท่าน ขออโหสิในความผิดพลั้งของเราด้วยกันนะครับ *****

ด้านล่างนี้เป็นรูปแม่ผม กับ หลาน ช่วงที่ผมและพี่ชายพาท่านไปเที่ยวต่างจังหวัด

                        

                        

ปล.การแชร์ภาพการให้ความสำคัญกับพ่อแม่ในเฟสบุ๊ค ผมเองก็ไม่ได้โพสต์+แชร์ แต่ต่อไปจะทำแล้ว เพื่อให้คนอื่นได้เห็นแล้วอยากพาพ่อแม่ของตนเองไปในที่ๆท่านอยากไปบ้าง (ปกติ ผมเองก็โพสต์แค่รูปสัตว์เลี้ยง,การไปเที่ยว,ของกิน เหมือนคนอื่นครับ ไม่
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่