อยุติธรรม / โดย ทีมข่าวการเมือง
On March 7, 2014
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง
“ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่บ้าระห่ำถึงขั้นวินิจฉัยแบบขัดรัฐธรรมนูญ และ ผบ.ทบ. ไม่บ้าระห่ำทำรัฐประหาร ครม. ชุดปัจจุบันก็จะทำหน้าที่ ต่อไป ผมก็จะทำหน้าที่รัฐมนตรีศึกษาฯต่อไปจนกว่าจะมี ครม. ใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้น ใครที่คิดว่าเรื่องจะจบเร็วๆควรจะเข้าใจว่าจะ ไม่จบง่ายๆ จะหวังว่าเดี๋ยวศาลก็วินิจฉัยออกมาว่าครบ 30 วันแล้ว ครม. ชุดนี้ก็จะต้องออกไปแบบง่ายๆ จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน หาก ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ชี้มูล และศาลรัฐธรรมนูญมีการวินิจฉัยถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง รัฐมนตรีคนอื่นๆก็จะยังอยู่ ผมก็จะทำงานต่อ ไม่ใช่ต้องพ้นตามไปด้วย”
นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ความเห็นถึงการเคลื่อนไหวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐบาลภายใต้การนำของรักษาการนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 127 เนื่องจากหลังการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ไม่สามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ภายใน 30 วันนั้น เป็นข้อกำหนดในการเลือกตั้งปรกติ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ปรกติ เพราะมีปัญหาขัดขวางการเลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งไม่แล้วเสร็จ ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องดำเนินการให้การเลือกตั้งแล้วเสร็จภายใน 180 วัน รัฐบาลชุดนี้ก็ต้อง รักษาการต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งมาปฏิบัติหน้าที่ หากจะมีรัฐบาลอื่นมารับหน้าที่โดยไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็เกิดได้ 2 ทาง เท่านั้นคือ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้คณะรัฐมน ตรีปัจจุบันพ้นหน้าที่ หรือมีการทำรัฐประหาร
นายจาตุรนต์ยังฝากถึงกองทัพเรื่องข่าวการแบ่งแยกประเทศว่า “อย่าให้ถึงขั้นเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจกันเลยนะครับ เพราะมันฟังไม่ขึ้น เสื้อแดงเขาเป็นคนส่วนหนึ่งของประเทศ เขาจะแบ่งแยกประเทศไปทำไม คนที่พยายามแบ่งแยกประเทศมาแล้วหลายเดือนก็คือสุเทพกับพวกต่างหาก พวกนี้เขาพยายามแยกประเทศไทยเป็น 2 ประเทศ คือประเทศหนึ่งเป็นประชาธิปไตย และกฎหมายเป็นกฎหมาย กับอีกประเทศหนึ่งปกครองโดยคนส่วนน้อย และกฎหมายไม่เป็นกฎหมาย นี่ต่างหากที่ ผบ.ทบ. และแม่ทัพนายกองต้องจัดการมานานแล้ว”
ทฤษฎีมะม่วงสุก
การเคลื่อนไหวให้มีนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งหรือ “นายกฯคนกลาง” จึงเป็นกระแสที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะกลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณต่างเตรียมยื่นให้ศาลรัฐธรรม นูญวินิจฉัยว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องพ้นหน้าที่หรือไม่หลังจากไม่สามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้ภายใน 30 วันหลังการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ซึ่งวันนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุปการเลือกตั้ง 28 เขตใน 8 จังหวัดภาคใต้ที่ไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง
การออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม 40 ส.ว. ที่ใช้ศาลรัฐธรรมนูญล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาโดยตลอด ซึ่งนายคำนูณ สิทธิสมาน กลุ่ม 40 ส.ว. พูดชัดเจนในรายการสภาท่าพระอาทิตย์เมื่อวันที่ 1 มีนาคมว่า ต่อนี้ไปการชุมนุมของ กปปส. เพียงแต่รอมะม่วงหล่นให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระหรืออาจมีทหารเข้าร่วมจัดการโค่นรัฐบาลแทนเท่านั้น
“สิ่งที่เกิดขึ้นจากนี้ไปก็คือ รอให้มะม่วงหล่น ซึ่งก็จะต้องเป็นผลงานของศาลรัฐธรรมนูญ ขององค์กรอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป.ป.ช. และอาจจะเป็นของทหาร ของกองทัพ ที่ในระยะหลังนี่ก็ออกมา”
นายคำนูณยังให้ความเห็นต่อการชุมนุมของ กปปส. ว่าถ้าชุมนุมโดยสันติ โดยไม่ประกอบอาวุธ ก็สวดมนต์อย่างเดียว “ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรที่จะไปไกลกว่านี้ได้ ถ้าจะไปไกลกว่านี้ก็เป็นสิ่งที่พันธมิตรฯ เคยทำมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปในทำเนียบเต็มรูปแบบ หรือว่าไปบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ”
เดินหน้าล้ม “ยิ่งลักษณ์”
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. และกลุ่มเกลียดทักษิณ ที่ย้ายเวทีไปที่สวน ลุมพินี พร้อมเปลี่ยนฉากเวทีใหม่เป็นคำว่า “หนึ่งเดียวคือแผ่นดินไทย Reuniting Thailand” ก็ยืนยันว่าไม่ใช่การถอย แต่เป็นการตั้งฐานทัพแห่งใหม่เพื่อการต่อสู้ที่เข้มข้นมากขึ้น โดยจะยังเดินหน้าปิดธุรกิจตระกูลชินวัตรต่อไป รวมถึงการทำให้เกิดภาวะสุญญากาศทางการเมืองเพื่อตั้ง “นายกฯคนกลาง” และ “สภาประชาชน” ซึ่งก็หนีไม่พ้นที่จะต้องใช้กลไกขององค์กรอิสระทั้งศาลรัฐธรรมนูญและ ป.ป.ช.
โดยเฉพาะ ป.ป.ช. ที่มีมติเอกฉันท์เรียกนา ยกฯยิ่งลักษณ์รับทราบ 2 ข้อกล่าวหาคือ 1.จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 อันเป็นเหตุแห่งการถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 และ 2.เจตนาของผู้ถูกกล่าวหาที่จะปฏิบัติหรือเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการหรือโดยทุจริตตามประมวลกฎ หมายอาญา มาตรา 157
มติของ ป.ป.ช. กรณีโครงการรับจำนำข้าวและการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์พ้นจากหน้าที่หรือไม่จึงเป็นไปได้สูงที่จะทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง ซึ่งนายสุเทพก็ปราศรัยตอกย้ำเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันทุกวันจนคนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณโกงจริง ทั้งที่ไม่มีหลักฐานใดๆที่เป็นรูปธรรมเลยนอกจากการกล่าวหา เหมือนกรณีที่ดินรัชดาภิเษกที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องเร่ร่อนอยู่ในขณะนี้
กองทัพบี้แบ่งแยกประเทศ
โดยเฉพาะประเด็นการแบ่งแยกดินแดน กอง ทัพบกได้เข้าแจ้งความเพื่อกล่าวโทษนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 กรณีกลุ่มสมัชชาปกป้องประชาธิปไตยล้านนา (สปป.ล้านนา) ตามคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กรณีติดป้ายขอแยกเป็น “ประเทศล้านนา” ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีหลักฐานภาพถ่ายป้ายและการให้สัมภาษณ์ของนายเพชรวรรต ว่าเป็นการกระทำที่เข้าลักษณะเป็นการแบ่งแยกราชอาณาจักร หรือยึดอำนาจการปกครองในส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งราชอาณาจักร เป็นการกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 และมาตรา 114
การฟ้องกล่าวโทษของกองทัพจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไรก็ตาม ก็เหมือนการยื่นดาบให้นาย สุเทพนำไปปลุกระดมโจมตีรัฐบาลและกลุ่มคนเสื้อ แดงว่าเป็นกบฏและต้องการแยกประเทศจริง โดยนำคำปราศรัยของนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัว หน้าพรรคเพื่อไทย ที่ปราศรัยที่ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งแกนนำเสื้อแดงประกาศลั่นกลองรบว่า กปปส. ทำให้เกิดเดดล็อกทางการเมืองและกระ บวนการยุติธรรมมีปัญหา ถ้ากระบวนการยุติธรรม ไม่รักษากฎหมาย ไม่มีใครในโลกนี้จะสามารถยอม รับได้ “ผมเชื่อว่าหากเป็นอย่างนี้จุดแตกหักก็หนีไม่พ้นเหตุการณ์อย่างในกัมพูชา เวียดนาม หรือลาว ผมไม่ได้ยุให้เกิดความแตกแยกหรือสงคราม กลางเมือง แต่มันจะเกิดและเป็นโดยอัตโนมัติ”
กองทัพเลือกปฏิบัติ?
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการ สปป. ก็ออกมาตอบโต้และเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อน เช่น นายปิยบุตร แสงกนกกุล คณะนิติราษฎร์ และผู้ร่วมก่อตั้ง สปป. ยืนยันว่า สปป.ล้านนาทำกิจกรรมรณรงค์ประชาธิปไตยร่วมกับเครือข่ายนักวิชาการในกรุงเทพฯมาโดยตลอด สื่อมวลชนและกองทัพควรตรวจสอบข่าวและข้อมูลให้ถูกต้องด้วย ทั้งตั้งคำถามว่าเป็นการ “เลือกปฏิบัติ” หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้มีกลุ่มอดีตนายทหารและนักวิชาการอาวุโสในชื่อ “คณะรัฐบุคคล” เตรียมก่อการรัฐประหารชัดเจน มีการถ่ายทอดออกทีวี. และมีคลิปเผยแพร่ไปทั่ว ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 113 เช่นกัน แต่กองทัพกลับไม่ทำอะไรเลย
หรือกรณีนายสุเทพและพวกประกาศชัดเจนยึดอำนาจจากรัฐบาล ซึ่งเท่ากับต้องการเปลี่ยน แปลงระบอบการปกครองและฉีกรัฐธรรมนูญเพื่อตั้งสภาประชาชน ก็เข้าข่ายความผิดมาตรา 113 ชัดเจน แต่กองทัพก็ไม่ทำอะไรเช่นกัน
“สปป.ล้านนารณรงค์ให้มีการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 ให้ได้สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่เพื่อไปเลือก ส.ส. คนหนึ่งมาเป็นนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีตามกระบวนการของรัฐธรรมนูญ แต่กลับถูกแจ้งข้อหาความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 113-114 ฐานแบ่งแยกดินแดน กองทัพไทยเก่งที่สุดในจักรวาล และเป็นกลางที่สุดในจักรวาลจริงๆครับ” นายปิยบุตรกล่าว
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานที่ปรึกษาศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์แจ้งความดำเนินคดีกับนายสุเทพในความผิดฐานกบฏ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันกับการที่มอบหมายให้แม่ทัพภาคที่ 3 แจ้งความเอาผิดกับกลุ่มที่มีแนวคิดในการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ภาคเหนือ ทั้งยังสร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจของภาคเอกชนกว่า 80,000 ล้านบาท ทำให้ภาคเอกชน 7 สถาบัน ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และนายสุเทพยุติการชุมนุม
กองทัพต้องหนักแน่น
พล.อ.ประยุทธ์และผู้นำกองทัพรู้ดีว่ากองทัพเลือกปฏิบัติจริงหรือไม่ระหว่างประชาชนที่คับแค้นใจกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นแล้วแสดงออกอย่างสงบกลับถูกกล่าวโทษ แต่นายสุเทพและ กปปส. กระทำผิดรัฐธรรมนูญ ขัดขวางการเลือกตั้ง ปิดสถานที่ราชการ ข่มขู่บังคับภาคเอกชน แต่ยังลอยหน้าเป็น “คนดี” กล่าวหาและโจมตีคนอื่นว่าไม่รักประเทศ และประกาศว่ามีความชอบธรรมที่จะล้มรัฐบาล
แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์เองก็เคยให้สัมภาษณ์ในเชิงข่มขู่ว่าไม่เปิดไม่ปิดประตูปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งการรัฐประหารถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน ยิ่งกว่าการติดป้ายประชดประชันการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นจริง ถ้าการรัฐประหารไม่ผิดกฎหมาย ทำไมทุกครั้งที่มีการรัฐประหารจึงต้องนิรโทษกรรมให้กับตัวเอง
บทบาทและท่าทีของกองทัพจึงมีความสำ คัญกับสถานการณ์ทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน เพราะนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 กองทัพก็มีบทบาทสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พูดง่ายๆว่าประเทศไทยเป็นการปกครองภายใต้กองทัพหรือระบอบทหาร หากกองทัพมีความจริงใจจะให้มีการแก้ปัญหาตามรัฐธรรมนูญก็ต้องมีความหนักแน่น ไม่ใช่เต้นไปตามนายสุเทพและกลุ่มชนชั้นนำที่ต้องการล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ขณะนี้
ภาพของกองทัพที่ส่งกำลังทหารกางเต็นท์สนาม อยู่ทั่วกรุงเทพฯขณะนี้ก็มีคำถามว่าดูแลประชาชนหรือดูแลกบฏ หรือคอย “แบ็กอัพ” การทำรัฐประ หารเงียบโดยตุลาการ เหมือนม็อบอันธพาลที่มีกองกำลังติดอาวุธสนับสนุน ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของกองทัพยิ่งเสียหาย เพราะกองทัพใช้ภาษีประชา ชน แม้แต่การซื้อรถถังและอาวุธต่างๆก็เพื่อให้ทหารทำหน้าที่เป็นรั้วของชาติ ไม่ใช่มารับจ้างเป็น “ยามรักษาการณ์” คอยปกป้องคนกระทำผิด
ไม่เว้นแม้แต่สื่อดาวเทียมที่ถ่ายทอดสดโดยไม่สนใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะจริงหรือเท็จ ปัจจุบันยังลุกลามไปถึงสื่อมวลชน โดยเฉพาะ “สื่อเสี้ยม” ไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และนิตยสารต่างๆ เสนอข่าวโดยไม่รับผิดชอบ และเป็นส่วนสำคัญในการปลุกระดม แทนที่จะเสนอข่าวอย่างสร้างสรรค์ กลับปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังจนบ้านเมืองเกิดความแตกแยกอย่างรุนแรง ทั้งแบ่งสี แบ่งภาค แบ่งชนชั้น แบ่งอาชีพ
อีกทั้งกระบวนการยุติธรรมที่ “อยุติธรรม” โดยเฉพาะ ป.ป.ช. ที่ใช้เวลาเพียง 27 วัน ก็กล่าวโทษนายกฯยิ่งลักษณ์เรื่องทุจริตโครงการรับจำนำข้าว แต่การสอบสวนคดีทุจริตประกันราคาข้าวตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนถึงขณะนี้กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นทำให้คนจำนวนหนึ่งน้อยใจ ไม่อยากจะอยู่ร่วมประเทศ เพราะฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ผิด แต่อีกฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ไม่ผิด
อยุติธรรม
อยุติธรรม / โดย ทีมข่าวการเมือง
On March 7, 2014
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง
“ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่บ้าระห่ำถึงขั้นวินิจฉัยแบบขัดรัฐธรรมนูญ และ ผบ.ทบ. ไม่บ้าระห่ำทำรัฐประหาร ครม. ชุดปัจจุบันก็จะทำหน้าที่ ต่อไป ผมก็จะทำหน้าที่รัฐมนตรีศึกษาฯต่อไปจนกว่าจะมี ครม. ใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้น ใครที่คิดว่าเรื่องจะจบเร็วๆควรจะเข้าใจว่าจะ ไม่จบง่ายๆ จะหวังว่าเดี๋ยวศาลก็วินิจฉัยออกมาว่าครบ 30 วันแล้ว ครม. ชุดนี้ก็จะต้องออกไปแบบง่ายๆ จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน หาก ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ชี้มูล และศาลรัฐธรรมนูญมีการวินิจฉัยถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง รัฐมนตรีคนอื่นๆก็จะยังอยู่ ผมก็จะทำงานต่อ ไม่ใช่ต้องพ้นตามไปด้วย”
นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ความเห็นถึงการเคลื่อนไหวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐบาลภายใต้การนำของรักษาการนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 127 เนื่องจากหลังการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ไม่สามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ภายใน 30 วันนั้น เป็นข้อกำหนดในการเลือกตั้งปรกติ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ปรกติ เพราะมีปัญหาขัดขวางการเลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งไม่แล้วเสร็จ ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องดำเนินการให้การเลือกตั้งแล้วเสร็จภายใน 180 วัน รัฐบาลชุดนี้ก็ต้อง รักษาการต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งมาปฏิบัติหน้าที่ หากจะมีรัฐบาลอื่นมารับหน้าที่โดยไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็เกิดได้ 2 ทาง เท่านั้นคือ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้คณะรัฐมน ตรีปัจจุบันพ้นหน้าที่ หรือมีการทำรัฐประหาร
นายจาตุรนต์ยังฝากถึงกองทัพเรื่องข่าวการแบ่งแยกประเทศว่า “อย่าให้ถึงขั้นเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจกันเลยนะครับ เพราะมันฟังไม่ขึ้น เสื้อแดงเขาเป็นคนส่วนหนึ่งของประเทศ เขาจะแบ่งแยกประเทศไปทำไม คนที่พยายามแบ่งแยกประเทศมาแล้วหลายเดือนก็คือสุเทพกับพวกต่างหาก พวกนี้เขาพยายามแยกประเทศไทยเป็น 2 ประเทศ คือประเทศหนึ่งเป็นประชาธิปไตย และกฎหมายเป็นกฎหมาย กับอีกประเทศหนึ่งปกครองโดยคนส่วนน้อย และกฎหมายไม่เป็นกฎหมาย นี่ต่างหากที่ ผบ.ทบ. และแม่ทัพนายกองต้องจัดการมานานแล้ว”
ทฤษฎีมะม่วงสุก
การเคลื่อนไหวให้มีนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งหรือ “นายกฯคนกลาง” จึงเป็นกระแสที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะกลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณต่างเตรียมยื่นให้ศาลรัฐธรรม นูญวินิจฉัยว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องพ้นหน้าที่หรือไม่หลังจากไม่สามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้ภายใน 30 วันหลังการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ซึ่งวันนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุปการเลือกตั้ง 28 เขตใน 8 จังหวัดภาคใต้ที่ไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง
การออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม 40 ส.ว. ที่ใช้ศาลรัฐธรรมนูญล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาโดยตลอด ซึ่งนายคำนูณ สิทธิสมาน กลุ่ม 40 ส.ว. พูดชัดเจนในรายการสภาท่าพระอาทิตย์เมื่อวันที่ 1 มีนาคมว่า ต่อนี้ไปการชุมนุมของ กปปส. เพียงแต่รอมะม่วงหล่นให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระหรืออาจมีทหารเข้าร่วมจัดการโค่นรัฐบาลแทนเท่านั้น
“สิ่งที่เกิดขึ้นจากนี้ไปก็คือ รอให้มะม่วงหล่น ซึ่งก็จะต้องเป็นผลงานของศาลรัฐธรรมนูญ ขององค์กรอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป.ป.ช. และอาจจะเป็นของทหาร ของกองทัพ ที่ในระยะหลังนี่ก็ออกมา”
นายคำนูณยังให้ความเห็นต่อการชุมนุมของ กปปส. ว่าถ้าชุมนุมโดยสันติ โดยไม่ประกอบอาวุธ ก็สวดมนต์อย่างเดียว “ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรที่จะไปไกลกว่านี้ได้ ถ้าจะไปไกลกว่านี้ก็เป็นสิ่งที่พันธมิตรฯ เคยทำมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปในทำเนียบเต็มรูปแบบ หรือว่าไปบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ”
เดินหน้าล้ม “ยิ่งลักษณ์”
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. และกลุ่มเกลียดทักษิณ ที่ย้ายเวทีไปที่สวน ลุมพินี พร้อมเปลี่ยนฉากเวทีใหม่เป็นคำว่า “หนึ่งเดียวคือแผ่นดินไทย Reuniting Thailand” ก็ยืนยันว่าไม่ใช่การถอย แต่เป็นการตั้งฐานทัพแห่งใหม่เพื่อการต่อสู้ที่เข้มข้นมากขึ้น โดยจะยังเดินหน้าปิดธุรกิจตระกูลชินวัตรต่อไป รวมถึงการทำให้เกิดภาวะสุญญากาศทางการเมืองเพื่อตั้ง “นายกฯคนกลาง” และ “สภาประชาชน” ซึ่งก็หนีไม่พ้นที่จะต้องใช้กลไกขององค์กรอิสระทั้งศาลรัฐธรรมนูญและ ป.ป.ช.
โดยเฉพาะ ป.ป.ช. ที่มีมติเอกฉันท์เรียกนา ยกฯยิ่งลักษณ์รับทราบ 2 ข้อกล่าวหาคือ 1.จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 อันเป็นเหตุแห่งการถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 และ 2.เจตนาของผู้ถูกกล่าวหาที่จะปฏิบัติหรือเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการหรือโดยทุจริตตามประมวลกฎ หมายอาญา มาตรา 157
มติของ ป.ป.ช. กรณีโครงการรับจำนำข้าวและการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์พ้นจากหน้าที่หรือไม่จึงเป็นไปได้สูงที่จะทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง ซึ่งนายสุเทพก็ปราศรัยตอกย้ำเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันทุกวันจนคนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณโกงจริง ทั้งที่ไม่มีหลักฐานใดๆที่เป็นรูปธรรมเลยนอกจากการกล่าวหา เหมือนกรณีที่ดินรัชดาภิเษกที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องเร่ร่อนอยู่ในขณะนี้
กองทัพบี้แบ่งแยกประเทศ
โดยเฉพาะประเด็นการแบ่งแยกดินแดน กอง ทัพบกได้เข้าแจ้งความเพื่อกล่าวโทษนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 กรณีกลุ่มสมัชชาปกป้องประชาธิปไตยล้านนา (สปป.ล้านนา) ตามคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กรณีติดป้ายขอแยกเป็น “ประเทศล้านนา” ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีหลักฐานภาพถ่ายป้ายและการให้สัมภาษณ์ของนายเพชรวรรต ว่าเป็นการกระทำที่เข้าลักษณะเป็นการแบ่งแยกราชอาณาจักร หรือยึดอำนาจการปกครองในส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งราชอาณาจักร เป็นการกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 และมาตรา 114
การฟ้องกล่าวโทษของกองทัพจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไรก็ตาม ก็เหมือนการยื่นดาบให้นาย สุเทพนำไปปลุกระดมโจมตีรัฐบาลและกลุ่มคนเสื้อ แดงว่าเป็นกบฏและต้องการแยกประเทศจริง โดยนำคำปราศรัยของนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัว หน้าพรรคเพื่อไทย ที่ปราศรัยที่ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งแกนนำเสื้อแดงประกาศลั่นกลองรบว่า กปปส. ทำให้เกิดเดดล็อกทางการเมืองและกระ บวนการยุติธรรมมีปัญหา ถ้ากระบวนการยุติธรรม ไม่รักษากฎหมาย ไม่มีใครในโลกนี้จะสามารถยอม รับได้ “ผมเชื่อว่าหากเป็นอย่างนี้จุดแตกหักก็หนีไม่พ้นเหตุการณ์อย่างในกัมพูชา เวียดนาม หรือลาว ผมไม่ได้ยุให้เกิดความแตกแยกหรือสงคราม กลางเมือง แต่มันจะเกิดและเป็นโดยอัตโนมัติ”
กองทัพเลือกปฏิบัติ?
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการ สปป. ก็ออกมาตอบโต้และเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อน เช่น นายปิยบุตร แสงกนกกุล คณะนิติราษฎร์ และผู้ร่วมก่อตั้ง สปป. ยืนยันว่า สปป.ล้านนาทำกิจกรรมรณรงค์ประชาธิปไตยร่วมกับเครือข่ายนักวิชาการในกรุงเทพฯมาโดยตลอด สื่อมวลชนและกองทัพควรตรวจสอบข่าวและข้อมูลให้ถูกต้องด้วย ทั้งตั้งคำถามว่าเป็นการ “เลือกปฏิบัติ” หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้มีกลุ่มอดีตนายทหารและนักวิชาการอาวุโสในชื่อ “คณะรัฐบุคคล” เตรียมก่อการรัฐประหารชัดเจน มีการถ่ายทอดออกทีวี. และมีคลิปเผยแพร่ไปทั่ว ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 113 เช่นกัน แต่กองทัพกลับไม่ทำอะไรเลย
หรือกรณีนายสุเทพและพวกประกาศชัดเจนยึดอำนาจจากรัฐบาล ซึ่งเท่ากับต้องการเปลี่ยน แปลงระบอบการปกครองและฉีกรัฐธรรมนูญเพื่อตั้งสภาประชาชน ก็เข้าข่ายความผิดมาตรา 113 ชัดเจน แต่กองทัพก็ไม่ทำอะไรเช่นกัน
“สปป.ล้านนารณรงค์ให้มีการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 ให้ได้สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่เพื่อไปเลือก ส.ส. คนหนึ่งมาเป็นนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีตามกระบวนการของรัฐธรรมนูญ แต่กลับถูกแจ้งข้อหาความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 113-114 ฐานแบ่งแยกดินแดน กองทัพไทยเก่งที่สุดในจักรวาล และเป็นกลางที่สุดในจักรวาลจริงๆครับ” นายปิยบุตรกล่าว
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานที่ปรึกษาศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์แจ้งความดำเนินคดีกับนายสุเทพในความผิดฐานกบฏ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันกับการที่มอบหมายให้แม่ทัพภาคที่ 3 แจ้งความเอาผิดกับกลุ่มที่มีแนวคิดในการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ภาคเหนือ ทั้งยังสร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจของภาคเอกชนกว่า 80,000 ล้านบาท ทำให้ภาคเอกชน 7 สถาบัน ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และนายสุเทพยุติการชุมนุม
กองทัพต้องหนักแน่น
พล.อ.ประยุทธ์และผู้นำกองทัพรู้ดีว่ากองทัพเลือกปฏิบัติจริงหรือไม่ระหว่างประชาชนที่คับแค้นใจกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นแล้วแสดงออกอย่างสงบกลับถูกกล่าวโทษ แต่นายสุเทพและ กปปส. กระทำผิดรัฐธรรมนูญ ขัดขวางการเลือกตั้ง ปิดสถานที่ราชการ ข่มขู่บังคับภาคเอกชน แต่ยังลอยหน้าเป็น “คนดี” กล่าวหาและโจมตีคนอื่นว่าไม่รักประเทศ และประกาศว่ามีความชอบธรรมที่จะล้มรัฐบาล
แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์เองก็เคยให้สัมภาษณ์ในเชิงข่มขู่ว่าไม่เปิดไม่ปิดประตูปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งการรัฐประหารถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน ยิ่งกว่าการติดป้ายประชดประชันการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นจริง ถ้าการรัฐประหารไม่ผิดกฎหมาย ทำไมทุกครั้งที่มีการรัฐประหารจึงต้องนิรโทษกรรมให้กับตัวเอง
บทบาทและท่าทีของกองทัพจึงมีความสำ คัญกับสถานการณ์ทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน เพราะนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 กองทัพก็มีบทบาทสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พูดง่ายๆว่าประเทศไทยเป็นการปกครองภายใต้กองทัพหรือระบอบทหาร หากกองทัพมีความจริงใจจะให้มีการแก้ปัญหาตามรัฐธรรมนูญก็ต้องมีความหนักแน่น ไม่ใช่เต้นไปตามนายสุเทพและกลุ่มชนชั้นนำที่ต้องการล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ขณะนี้
ภาพของกองทัพที่ส่งกำลังทหารกางเต็นท์สนาม อยู่ทั่วกรุงเทพฯขณะนี้ก็มีคำถามว่าดูแลประชาชนหรือดูแลกบฏ หรือคอย “แบ็กอัพ” การทำรัฐประ หารเงียบโดยตุลาการ เหมือนม็อบอันธพาลที่มีกองกำลังติดอาวุธสนับสนุน ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของกองทัพยิ่งเสียหาย เพราะกองทัพใช้ภาษีประชา ชน แม้แต่การซื้อรถถังและอาวุธต่างๆก็เพื่อให้ทหารทำหน้าที่เป็นรั้วของชาติ ไม่ใช่มารับจ้างเป็น “ยามรักษาการณ์” คอยปกป้องคนกระทำผิด
ไม่เว้นแม้แต่สื่อดาวเทียมที่ถ่ายทอดสดโดยไม่สนใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะจริงหรือเท็จ ปัจจุบันยังลุกลามไปถึงสื่อมวลชน โดยเฉพาะ “สื่อเสี้ยม” ไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และนิตยสารต่างๆ เสนอข่าวโดยไม่รับผิดชอบ และเป็นส่วนสำคัญในการปลุกระดม แทนที่จะเสนอข่าวอย่างสร้างสรรค์ กลับปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังจนบ้านเมืองเกิดความแตกแยกอย่างรุนแรง ทั้งแบ่งสี แบ่งภาค แบ่งชนชั้น แบ่งอาชีพ
อีกทั้งกระบวนการยุติธรรมที่ “อยุติธรรม” โดยเฉพาะ ป.ป.ช. ที่ใช้เวลาเพียง 27 วัน ก็กล่าวโทษนายกฯยิ่งลักษณ์เรื่องทุจริตโครงการรับจำนำข้าว แต่การสอบสวนคดีทุจริตประกันราคาข้าวตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนถึงขณะนี้กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นทำให้คนจำนวนหนึ่งน้อยใจ ไม่อยากจะอยู่ร่วมประเทศ เพราะฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ผิด แต่อีกฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ไม่ผิด