คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 40
รู้สึกว่าเยอะไปเหมือนกันครับ
คือถ้าอ่านแล้วย่อยข้อมูลมาประยุกต์ใช้ได้ผมว่ามันดีทุกเล่ม แต่ถ้าใครอ่านแล้วเชื่อไปหมดและยังคิดจะทำตามทุกตัวอักษรอันนี้ผมว่าไม่เวิร์ค
เพราะถ้าเขา "บอกหมดทุกอย่างแล้ว" และทำตามแล้วรวยจริง งั้นทำไมบางเล่มถึงมีเล่มต่อเนื่องออกมาอีกมากมาย (เช่นหนังสือตระกูลพ่อสอนลูกอะไรนั่น)
ผมชอบคำถามของ จขกท. ที่ว่า "มันเป็นดัชนี ชี้วัดอะไรในสังคมไทย ในอุตสาหกรรมหนังสือบ้างไหม" ผมว่ามันวัดค่านิยมบางอย่างได้จริงๆ
อย่างเรื่องของการอ่านหนังสือ ผมเคยไปเข้าร่วม -กลุ่มคนรักการอ่าน- กลุ่มหนึ่งในเฟซบุค แล้ววันนึงกลุ่มนี้ก็ลุกขึ้นมาจัดกิจกรรมเชิญนักเขียนมาพูดคุยกับนักอ่าน ทีแรกผมก็รู้สึกเป็นเรื่องที่ดีมากครับที่สามารถเชิญนักเขียนมาได้ แต่พอนานวันผ่านไปก็ยิ่งเห็นอะไรแปลกๆ คือนักเขียนที่คนสร้างกลุ่มเขาเชิญมาทั้งหมด เป็นคนเขียนหนังสือเรื่องทำยังไงให้ธุรกิจสำเร็จหรือชีวิตประสบความสำเร็จ เช่น คนเขียนเรื่องการลาออกครั้งสุดท้าย ทั้งๆที่นักเขียนคนนี้มีผลงานแนวอื่นๆ อีกคือเรื่องท่องเที่ยว แต่ในการคุยทุกคนโฟกัสไปที่เล่มการลาออกครั้งสุดท้ายอย่างเดียวเลย
พอไม่มีนักเขียนมา ก็จัดเป็นงานเชิญคนอ่านมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องหนังสือที่อ่านกัน...เช่นเคยครับ...แทบทุกเล่มเป็นหนังสือทำยังไงให้ประสบความสำเร็จ บางคนทำเป็นกราฟมาเลยว่าเราควรแบ่งเวลาชีวิตยังไงถึงจะใช้ให้คุ้ม จนผมเริ่มรู้สึกว่าเหมือนกำลังเข้าฟังสัมมนา พูดให้ฮึกเหิมเสริมกำลังใจแบบกลุ่มธุรกิจขายตรงเลยครับ มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับความสนุกในการอ่านหนังสือเลย
ยิ่งพอผมหันไปดูไทม์ไลน์ของโพสจากคนอื่นในกลุ่มนี้ แทบทั้งหมดเป็นหนังสือแนวนี้ครับ นานๆ ทีถึงจะมีคนโพสนิยายหรือหนังสือแนวอื่นๆโผล่ขึ้นมา จนผมรู้สึกว่านี่มันไม่ใช่กลุ่มคนที่รักการอ่าน แต่เป็นกลุ่มคนที่อยากทำชีวิตให้ประสบความสำเร็จต่างหาก สุดท้ายผมก็ทนเห็นสภาพแบบนี้ไม่ไหวจนต้องกดออกจากกลุ่มมา
ย้อนกลับไปตรงคำถามที่ว่ามันชี้วัดอะไร
สำหรับผมมันชี้วัดเรื่องนึงว่า หลายๆ คนอ่านหนังสือพวกนี้เพื่ออะไรบางอย่างมากกว่าความรู้สึกชอบหนังสือหรือชอบเรื่องที่เล่า
ถ้าพูดตรงๆ ผมไม่คิดว่าคนที่อ่านหนังสือ "แนวนี้อย่างเดียว" เป็นคนชอบหนังสือ
แต่ผมมองว่าเป็นคนอยากเรียนรู้ในเรื่องที่ตัวเองกำลังทำมากกว่า
ผมคิดว่าคนที่รักการอ่าน คนที่ชอบหนังสือจริงๆจะไม่สนใจหนังสือแนวนี้เป็นหลัก
เพราะกำลังใจ ข้อคิด กลยุทธมากมาย มันไม่ได้มีอยู่แค่ในหนังสือสร้างแรงบันดาลใจจากคนดังแน่ๆ
คือถ้าอ่านแล้วย่อยข้อมูลมาประยุกต์ใช้ได้ผมว่ามันดีทุกเล่ม แต่ถ้าใครอ่านแล้วเชื่อไปหมดและยังคิดจะทำตามทุกตัวอักษรอันนี้ผมว่าไม่เวิร์ค
เพราะถ้าเขา "บอกหมดทุกอย่างแล้ว" และทำตามแล้วรวยจริง งั้นทำไมบางเล่มถึงมีเล่มต่อเนื่องออกมาอีกมากมาย (เช่นหนังสือตระกูลพ่อสอนลูกอะไรนั่น)
ผมชอบคำถามของ จขกท. ที่ว่า "มันเป็นดัชนี ชี้วัดอะไรในสังคมไทย ในอุตสาหกรรมหนังสือบ้างไหม" ผมว่ามันวัดค่านิยมบางอย่างได้จริงๆ
อย่างเรื่องของการอ่านหนังสือ ผมเคยไปเข้าร่วม -กลุ่มคนรักการอ่าน- กลุ่มหนึ่งในเฟซบุค แล้ววันนึงกลุ่มนี้ก็ลุกขึ้นมาจัดกิจกรรมเชิญนักเขียนมาพูดคุยกับนักอ่าน ทีแรกผมก็รู้สึกเป็นเรื่องที่ดีมากครับที่สามารถเชิญนักเขียนมาได้ แต่พอนานวันผ่านไปก็ยิ่งเห็นอะไรแปลกๆ คือนักเขียนที่คนสร้างกลุ่มเขาเชิญมาทั้งหมด เป็นคนเขียนหนังสือเรื่องทำยังไงให้ธุรกิจสำเร็จหรือชีวิตประสบความสำเร็จ เช่น คนเขียนเรื่องการลาออกครั้งสุดท้าย ทั้งๆที่นักเขียนคนนี้มีผลงานแนวอื่นๆ อีกคือเรื่องท่องเที่ยว แต่ในการคุยทุกคนโฟกัสไปที่เล่มการลาออกครั้งสุดท้ายอย่างเดียวเลย
พอไม่มีนักเขียนมา ก็จัดเป็นงานเชิญคนอ่านมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องหนังสือที่อ่านกัน...เช่นเคยครับ...แทบทุกเล่มเป็นหนังสือทำยังไงให้ประสบความสำเร็จ บางคนทำเป็นกราฟมาเลยว่าเราควรแบ่งเวลาชีวิตยังไงถึงจะใช้ให้คุ้ม จนผมเริ่มรู้สึกว่าเหมือนกำลังเข้าฟังสัมมนา พูดให้ฮึกเหิมเสริมกำลังใจแบบกลุ่มธุรกิจขายตรงเลยครับ มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับความสนุกในการอ่านหนังสือเลย
ยิ่งพอผมหันไปดูไทม์ไลน์ของโพสจากคนอื่นในกลุ่มนี้ แทบทั้งหมดเป็นหนังสือแนวนี้ครับ นานๆ ทีถึงจะมีคนโพสนิยายหรือหนังสือแนวอื่นๆโผล่ขึ้นมา จนผมรู้สึกว่านี่มันไม่ใช่กลุ่มคนที่รักการอ่าน แต่เป็นกลุ่มคนที่อยากทำชีวิตให้ประสบความสำเร็จต่างหาก สุดท้ายผมก็ทนเห็นสภาพแบบนี้ไม่ไหวจนต้องกดออกจากกลุ่มมา
ย้อนกลับไปตรงคำถามที่ว่ามันชี้วัดอะไร
สำหรับผมมันชี้วัดเรื่องนึงว่า หลายๆ คนอ่านหนังสือพวกนี้เพื่ออะไรบางอย่างมากกว่าความรู้สึกชอบหนังสือหรือชอบเรื่องที่เล่า
ถ้าพูดตรงๆ ผมไม่คิดว่าคนที่อ่านหนังสือ "แนวนี้อย่างเดียว" เป็นคนชอบหนังสือ
แต่ผมมองว่าเป็นคนอยากเรียนรู้ในเรื่องที่ตัวเองกำลังทำมากกว่า
ผมคิดว่าคนที่รักการอ่าน คนที่ชอบหนังสือจริงๆจะไม่สนใจหนังสือแนวนี้เป็นหลัก
เพราะกำลังใจ ข้อคิด กลยุทธมากมาย มันไม่ได้มีอยู่แค่ในหนังสือสร้างแรงบันดาลใจจากคนดังแน่ๆ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
เขาเขียนมาเพื่อขายเอาเงินครับ
เอาชีวิตคนรวยบางคนมาเขียน ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆ
ผมไม่ค่อยอ่านหรอกครับ เพราะรู้ตัวว่าทำไม่ได้
เคยอ่านการ์ตูนเรื่องหนึ่ง เขียนอย่างนี้ครับ
ครูเห็นนักเรียนนั่งสัปหงกให้ห้องเรียน จึงโขกหัว 1 ทีพร้อมตวาดว่า
ครู : นี่เธอรู้ไหม ตอนปูตินอายุเท่าเธอ ตั้งใจเรียนมาก ไม่เคยหลับในห้องเรียนเลย
นักเรียน : งัวเงียเอามือลูบหัว อ้อมแอ้มตอบ รู้ครับ ว่าปูตินตอนอายุเท่าครู ท่านเป็นประธานาธิบดี
เอาชีวิตคนรวยบางคนมาเขียน ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆ
ผมไม่ค่อยอ่านหรอกครับ เพราะรู้ตัวว่าทำไม่ได้
เคยอ่านการ์ตูนเรื่องหนึ่ง เขียนอย่างนี้ครับ
ครูเห็นนักเรียนนั่งสัปหงกให้ห้องเรียน จึงโขกหัว 1 ทีพร้อมตวาดว่า
ครู : นี่เธอรู้ไหม ตอนปูตินอายุเท่าเธอ ตั้งใจเรียนมาก ไม่เคยหลับในห้องเรียนเลย
นักเรียน : งัวเงียเอามือลูบหัว อ้อมแอ้มตอบ รู้ครับ ว่าปูตินตอนอายุเท่าครู ท่านเป็นประธานาธิบดี
ความคิดเห็นที่ 1
เป็นการตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานครับ เพราะคนอยากรวย อยากประสบความสำเร็จ --> หาอ่านว่าคนอื่นประสบความสำเร็จได้อย่างไร --> ซื้อหนังสือ --> สำนักพิมพ์ขายได้ .... เชิงพานิชย์ล้วนๆครับ ไม่ได้มีนัยยะอะไรมาก ขายอะไรก็ขาย
ส่วนตัว ผมอยากอ่านอัตชีวประวัติของคนที่ 'ไม่ประสบความสำเร็จ' ว่าเขารับมือกับความล้มเหลวได้อย่างไร (จริงๆก็เห็นมีอยู่ในชีวิตผู้ประสบความสำเร็จทุกท่าน อารมณ์พระเอกต้องแพ้ก่อนเพื่อกลับมาชนะด้วยพลังใจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม) แต่อยากอ่านคนที่ ลงทุนจาก 100 เหลือ 0 แล้วต่อมา เขาประคองให้เหลือ 10 แล้วก็คงสภาพนั้นมาเรื่อยๆ (ตกต่ำกว่าตอนเริ่มลงทุนครั้งแรกอีก) .... ว่าเขามีวิธีทำใจ ลดอีโก้ยังไงมากกว่า
ส่วนตัว ผมอยากอ่านอัตชีวประวัติของคนที่ 'ไม่ประสบความสำเร็จ' ว่าเขารับมือกับความล้มเหลวได้อย่างไร (จริงๆก็เห็นมีอยู่ในชีวิตผู้ประสบความสำเร็จทุกท่าน อารมณ์พระเอกต้องแพ้ก่อนเพื่อกลับมาชนะด้วยพลังใจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม) แต่อยากอ่านคนที่ ลงทุนจาก 100 เหลือ 0 แล้วต่อมา เขาประคองให้เหลือ 10 แล้วก็คงสภาพนั้นมาเรื่อยๆ (ตกต่ำกว่าตอนเริ่มลงทุนครั้งแรกอีก) .... ว่าเขามีวิธีทำใจ ลดอีโก้ยังไงมากกว่า
แสดงความคิดเห็น
รู้สึกยังไงกับ หนังสือแนวที่เอาคนประสบความสำเร็จ มาเล่าโน้นนี่นั่น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอ่าน ?