คุณตอบตัวเองได้ไหม ว่าคุณใช้ชีวิตมา คุณภูมิใจไหม ?

.."แม้ที่นั่น มันจะโหดร้าย แต่..มันก็สร้างให้ผมเป็นคน"
ผมเกิดมาในครอบครัวเล็กๆ แถวบ้านนอกครับ บ้านผมตอนนั้นไม่มีไฟฟ้า ไม่มีถนน
ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆเลย แม้แต่ตอนเกิดผมเองก็เกิดมากับหมอตำแย
ครอบครัวผม เรามีอยู่ 3 คน พ่อ แม่ ลูก ครับ แต่เมื่อผมลืมตาขึ้นมา พ่อก็ไม่อยู่แล้ว
เหลือผมกับแม่ 2 คน เรา 2 คนแม่ลูก อาศัยอยู่ในสวนครับ จากบ้านที่เคยมีอยู่ในหมู่บ้าน
ก็โดนแย่งไปจากญาติๆ เราสองคนใช้ชีวิตมาด้วยกันอย่างยากลำบาก กับกระท่อมหลังน้อย
เวลาฝนตกตอนกลางคืน ก็ต้องคอยเอาถุงพลาสติกอุด บังไว้ .. แม่ผมมีอาชีพรับจ้างทั่วไปครับ

(บ้านผมคล้ายๆนี้เลยคับ)

นานาเดินทาง
ตั้งแต่ตัดหญ้า ดำนา เป็นกรรมกร ทำทุกอย่างเลยครับ ทุกๆเช้าแม่ผมจะตื่นมาแต่เช้ามืด หุงข้าว
และทำอาหารเพื่อเตรียมตัวไปรับจ้างทำงาน วันละ 20 บาทเองครับ ทุกๆเช้าแม่ผมจะหุงข้าวด้วยการใส่น้ำเยอะๆ
(ไม่ใช่หม้อไฟฟ้านะครับ) รอน้ำเดือดแม่จะเทน้ำข้าวแบ่งใส่จานไว้ให้ผมทาน ใส่เกลือลงไปก็คือนมดีๆของชีวิตผมแล้วล่ะครับ
เพราะเราไม่ได้ร่ำรวยเหมือนใครเขา แม่จะให้เงินไปโรงเรียนผม วันละ 2 บาท แม่จะวางไว้ที่หม้อหุงข้าว
ก่อนไปทำงานทุกวัน ผมก็ดีใจสุดๆแล้วครับ ไว้กินขนม 1 บาท ซื้อของเล่นอีก 1 บาท
ทุกๆเช้าผมจะเดินไปเรียนแต่เช้าครับ เพราะก่อนที่ผมจะไปถึงโรงเรียน ผมต้องเดินข้ามเขามา
ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีครับ หลังเลิกเรียนผมก็จะกลับไปช่วยแม่เก็บยอดผักไปขาย
มัดละ 5 บาท และให้อาหารหมูครับ เราเลี้ยงหมุไว้ด้วย ทุกเสาร์อาทิตย์ผมก็จะเข้าไปในป่ากับแม่
เราไปเก็บผัก และตัดต้นกล้วย เพื่อนำมาเป็นอาหารหมูครับ (บ้านผมเขาเลี้ยงกันแบบนี้ครับ)
ผมและแม่เราใช้ชีวิตแบบนี้มาเกือบ 6 ปี มีหลายๆครั้งที่ผมกับแม่
ต้องนอนกอดกันร้องให้ บางครั้งแม่ผมไม่สบาย เราก็จะอยู่กันอย่างขัดสน ไม่มีใครเหลียวแล
แต่ทุกวันที่เราอยู่ด้วยกัน ผมกับแม่เรามีความสุขครับ

หมู
แม้ไม่ได้ร่ำรวย แต่ทางจิตใจของเราแล้ว มันมีค่ามากครับ ..บางครั้งเราก็กินแค่ข้าว ใส่น้ำมันนิดนึง แล้วก็เกลือ
เท่านั้นเองแหล่ะครับ จนวันหนึ่งทุกอย่างเหมือนจะแย่ลงครับ เมื่อผมต้องเข้าเรียนระดับชั้นที่สูงขึ้น ค่าใช้จ่าย
ก็เยอะขึ้น แม่ผมเลยตัดสินใจเข้ามาทำงานในกรุงเทพ
เป็นแม่บ้านอยู่ 2 ปี แต่รายได้น้อย แม่ก็เลยต้องไปเป็นคนงานก่อสร้าง
ที่หลับที่นอนก็นอนตามแคมป์คนงานครับ ระหว่างแม่เข้ามาทำงานนั้น แม่ได้ฝากผมไว้กับน้าคนหนึ่ง
ซึ่งเป็นเพื่อนของแม่ แต่ละเดือนแม่จะส่งเงินไปให้ผมครับ ผมก็ร่ำเรียนปกติ และก็ช่วยน้าทำงานครับ
ได้ค่าจ้างวันละ 5 บาท ล้างคอกหมุ อาบน้ำให้หมู

หมู
และรับจ้างขนผักครับ นานๆที แม่จะกลับมาหาผมครับ ผมรู้สึกดีใจทุกครั้งที่ได้อยู่กับแม่ ผมเองก็อยากให้แม่กลับมาอยู่บ้านด้วยกัน
แต่เมื่อความจำเป็น แม่ก็ต้องยอมลำบากตรากตรำ ทำงานหนัก บางครั้งแม่ก็โดนหลอกทำงานเป็นเดือนๆ แต่ไม่ได้เงินก็มีครับ
และอีกครั้งแม่ซื้อทองเก็บไว้ก็โดนโกงไป  (ญาติห่างๆของแม่ก็มีนะครับ แต่เหมือนว่าต่างคน ต่างใช้ชีวิต และมีภาระของตนเอง
เขาก็เลยลืมครอบครัวเล็กๆของเราไปมั้งครับ แต่ผมก็ไม่โกรธครับ ทุกวันนี้ก็เหมือนคนไม่รู้จักกัน) แม่ใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นประมาณ
6 ปีครับ ผมจำได้ว่าตั้งแต่ผมเรียนอนุบาลจนถึง ป.6 ผมไม่เคยมีชุดนักเรียนแม้แต่ชุดเดียว รองเท้าแตะไปโรงเรียนทุกวันครับ
ทุกเช้าผมจะห่อข้าวกลางวันไปโรงเรียน ทุกวันครับ เสาร์อาทิตย์ตอนผมพักอาศัยอยู่กับน้า ผมก็จะไปทำงานรับจ้างปลูกหอม
ดำนา ขนผัก และจับปลาขายครับ ผมทำแบบนี้หลายปีครับ จนผมเรียนจบประถม 6 ผมก็ตัดสินใจไปทำงานกับเพื่อนๆ
เพราะที่นั่นได้รับการปลูกฝัง ไว้แบบนี้ต่อๆกันมาครับ จบประถม 6 แล้วก็ตีตัวออกมาทำงานเป็นกรรมกรแบกหาม
ทำงานต่างๆในต่างจังหวัด และเก็บเงินส่งทางบ้าน

ไก่
ขณะผมไกล้จบ แม่ผมก็กลับมา และพาผมไปอยู่อีกตำบลหนึ่ง แม่ไปทำงานโรงงานกระเทียม และแม่ก็ได้แต่งงานกับพ่อคนใหม่
ผมเลยขอแม่เรียนต่อชั้น ม.ต้น แม่ผมก็ยินยอมให้ผมเข้าเรียน ชีวิตช่วงนั้นเหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิมครับ แต่บางครั้งเราก็ยังขัดสนอย่างเดิม
พ่อใหม่ก็เป็นคนใจดีครับ ขยันทำมาหากิน แต่ก็ไม่ได้รวยนะครับ บางวันแม่ก็จะไปทำสวนกับพ่อคนใหม่ครับปลุกผัก และปลุกข้าว
ส่วนผมจะไปโรงเรียนแต่เช้าเช่นเคยครับ ด้วยที่เรียนใหม่ระยะทาง 7 กิโลเมตร ผมจะตื่นเช้ามาทานข้าว และค่าขนมอีก 5 บาท
(ได้เงินค่าขนมเพิ่มแล้วครับ) จากนั้นผมก็จะปั่นจักรยานไปโรงเรียนทุกวันครับ  ทางขึ้นเขาผมก็จะจูงขึ้น และบ่อยครั้งที่จักยานคับเท่ห์ๆของผม
ใช้งานไม่ได้ (แม่ผมซื้อให้ครับ ราคา 350 บาท) ผมก็จะเดินไปโรงเรียนครับ 7 กม. รู้สึกอาย ไม่อยากเจอเพื่อนๆที่นั่งรถเดือนไปโรงเรียนครับ
ระหว่างเดิน เวลาได้ยินเสียงรถมา ผมก็จะแอบไปอยู่ในพุ่มไม้ข้างทาง รอรถส่งนักเรียนผ่านไปก่อน ถึงจะเดินต่อไปครับผมรู้สึกอาย
และไม่อยากให้เขามองผมด้วยสายตาเหยียบหยาม ผมใช้ชีวิตแบบนี้ 3 ปีครับ  ตอนผมเรียนอยู่ ม.3 แม่ผมก็ป่วยกระทันหัน ด้วยโรคมะเร็ง
ผมเรียนจบ ผมก็ตัดสินใจออกบ้านมาทำงานต่างจังหวัดครับ เสื้อผ้า 2 ชุด เงิน 300 บาท หวังจะหาเงินให้แม่รักษาตัว
ผมออกบ้านมาได้ 1 เดือน ขณะผมทำงานอยู่ เพื่อนบ้านก็โทรมาที่ร้าน บอกว่าแม่ไม่ไหวแล้วนะ กลับมาได้ไหม ผมได้ฟังเท่านั้น
ผมก็ก็รีบเก็บเสื้อผ้าและจ้างวินมอไซต์ไปส่ง เพราะตอนนั้นก็ 3 ทุ่มแล้ว ไม่มีรถเดินทางต่างจังหวัดแล้ว ระยะทาง 300 กม.
ระหว่างเดินทาง น้ำตาของผมก็ไหลตลอดทาง ขอให้แม่อย่าเป็นไร ผมเดินทางมาถึง รพ.
ประมาณ 7 โมงเช้า รีบเข้าถามคุณหมอ แต่คำตอบที่ได้รับ คือ..เสียใจด้วยนะครับ แม่ของน้องเสียไปเมื่อตอน ตี 3 ที่ผ่านมาแล้วครับ
ผมเข่าทรุด  ร้องให้ไม่หยุด จนผมได้สติ ผมก็คิดหาทางทำศพให้แม่ (พ่อใหม่ ก็ไม่สบายครับตอนนั้น) ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ
เงินในกระเป๋าผมตอนนั้นเหลือ 3,000 บาท ผมจึงตัดใจให้โรงพยาบาลทำศพให้แม่ ที่สุสานเทศบาล มีเพื่อนๆแม่มาเยอะพอสมควรครับ
จากนั้นผมเองก็กลับไปที่บ้านพ่อใหม่ ไปอยู่ดูแลหลายวัน และเก็บของแม่ไว้ครับ (ปัจจุบัน ท่านเสียแล้วครับ)
จากนั้นผมก็กลับมาทำงานเหมือนเดิม รู้สึกว่าผมไม่เหลือ สิ่งใดแล้ว ทุกอย่างมันพังลงหมดเเล้ว
แม้แต่ศพของแม่ผมก็ไม่ได้จัดให้เลยครับ ผมรู้สึกเสียใจ และแย่มาก .. จนผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ

อมยิ้ม08
แต่ผมก็จำคำแม่บอกผมตอนเด็กเสมอ ว่า"ชีวิตของลูก ต้องดีกว่านี้" ผมทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหารอยู่ครับตอนนั้น
ผมตื่นทำงานแต่เช้า เริ่มต้นงานด้วยการเป็นเด็กล้างจานอยู่หลายเดือน ทำความสะอาด บ่ายๆไม่มีลุกค้า
ผมก็จะไปทำสวน ดุแลต้นไม้ ผมเลิกงาน 3 ทุ่มครับ หลังจากนั้น ผมก็จะจะทำงานเป็นยามเผ้าร้านต่อครับ (แอบนอนได้)
ช่วงนั้นผมทำงานหนักมากครับ  บางครั้งนั่งทานข้าวไป ร้องให้ไป  คิดไรไปเรื่อยเปื่อย ช่วงนั้นผมมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่งครับ
พอที่จะดาวน์รถมอเตอร์ไซค์ได้ ผมก็ขอดาวน์และผ่อนต่อคนอื่นอีกที เผื่อไว้ใช้งานครับ

อมยิ้ม33
มีอยู่วันนึงครับ เด็กๆนักเรียนพากันมาทานข้าวกับผู้ปกครอง เด็กๆเล่นกันเหมือนจะมีความสุข พูดจาโอ้อวดเรื่องต่างๆกัน
ผมเองพนักงานเสิร์ฟ ตัวเล็กๆคนหนึ่ง คอยเสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟอาหาร ก็แอบอิจฉา ทำไมเขาช่างมีชีวิตที่ดีอย่างนี้นะ ...
เห็นเด็กๆแต่งชุดนักเรียนแล้วผมก็อยากจะเรียนหนังสือกับเขาบ้าง ผมเลยตัดสินใจขอป้าเจ้าของร้านไปเรียนต่อ
แต่ด้วยความใจดีของป้า ป้าก็ให้ผมทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย จะได้มีรายได้ (ผมเรียนสายอาชีวะ)
ผมเรียนได้อยู่ 1 ปีครับ ผมก็รู้สึกว่าไม่ไหว เหมือนจะหนักเกินไป ผมต้องเลือกแล้วล่ะว่าจะไปทางไหน

ชิสุ
เรียนหรืองาน แล้วผมก็ตัดสินใจลาออกจากงาน และมาอยู่หอพักในโรงเรียนครับ เสาร์อาทิตย์ผมก็ทำงานพิเศษกับภารโรง
ฉาบปูน ทาสี สร้างบ้าน เก็บขยะรอบโรงเรียน ขุดดิน ทำทุกอย่างเลยครับ ด้วยความกดดัน มีเงินใช้จ่ายเพียงอาทิตย์ละ
200 บาท ก็ต้องหน้าด้านเข้าไว้ครับ การเรียนผมช่วงนั้นก็ดีครับ และผมก็เป็นคนชอบอ่านครับ อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า
จนผมได้มีโอกาสสอบแข่งขันชิงทุนการศึกษาหลายครั้งครับ
และก็ได้รางวัลมา แม้จะเป็นทุนครั้งเดียว แต่ก็ดีใจมากเลยครับ ที่สังคมยังให้โอกาสผมแสดงความรู้ ความสามารถ
ประกาศนียบัตรต่างๆ ก็ได้มาเยอะเลยครับ ได้รู้จักผู้คนหลายหลายวงการ ผมเรียนและทำแบบนี้จนจบ ปวช.ครับ
จากนั้นผมก็คิดแล้วว่า ผมต้องไปไกลกว่านี้ได้

เข้ามาดู
ผมตัดสินใจไปสอบต่อมหาวิทยาลัยหลายๆที่ครับ  และสอบชิงทุนการศึกษาอีกครับ สอบทุกอย่างครับ
ถึงไม่ได้อย่างน้อยผมก็ได้รู้มาแล้วว่ามันเป็นอย่างไร จนผมได้มีโอกาสเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แน่นอนครับ
ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เวลาน้อยลงผมใช้วิธีเดิมครับ ทำงานพิเศษ และสอบชิงทุนที่เปิดสอบ บางครั้งบางคราวก็สะดุดครับ
ไม่มีแม้แต่เงินทานข้าว ข้าวเหนียว 5 บาท ผมกินได้ 2 วันครับ วันแรกกินเพื่อประทังชีวิตไปก่อนครับ
เผื่อคิดอะไรได้ อีกวันหนึ่งก็เอาข้าวเหนียวเดิมแหล่ะครับ มาต้อมใส่เกลือไปนิดนึง
ก้อยุ่ได้ทั้งวันครับ น้ำดื่มก็น้ำประปาครับ ท้อมากๆ จนไม่อยากเรียนแล้วครับ  เหมือนมันลำบากมาก ค่ากิน ค่าที่พัก จิปาถะครับ
ช่วงนั้นยังไม่พอ รถมอไซค์ก็โดนขโมยไปอีกครับ ไม่เหลือชิ้นดีเลยครับ รู้สึกแย่มาก แต่อีกมุมหนึ่ง
ผมคิดกลับไปถึงเพื่อนๆที่เรียนด้วยกันตอนเด็กๆ ผมก็มาไกลสุดๆแล้ว คิดไปถึงคนในหมู่บ้านที่ดูถูกผมกับแม่ตอนนั้น
ก็มีแรงฮึดขึ้นสู้ได้ทุกครั้งครับ


อมยิ้ม11
ผมก็เลยออกมาทำงานพิเศษตอนเย็นหลังเลิกเรียน หาความรู้สอบชิงทุนต่างๆ จนได้มีเงินหมุนเวียนครับ
ทั้งรายได้จากที่ทำงาน จากทุนการศึกษาที่สอบได้
จวบจนทุกวันนี้ผมเป็นเด็กวิศวะเรียนอยู่ปี 4 แล้วครับ ผมลองผิด ลองถูก มาหลายอย่างในชีวิตครับ
ผมอยากมีอนาคตที่ดี มีความมั่นคง ผมลองทำธุรกิจหลายอย่างครับ ขายหนังสือมือสอง เติมเงิน เทรดหุ้น
ลงทุนต่างๆ ผมอยากมีชีวิตที่มีเวลาในเวลาที่ผมเรียนจบครับ
ชีวิตวัยรุ่นผมอาจไม่เหมือนใครๆ ไม่ได้เที่ยว ไม่ได้สนุกเหมือนใครหลายๆคน แต่ผมก็ภูมิใจในแบบของผมครับ
แม้หลายๆงานที่ได้ลองผิดลองถูก มันจะล้มเหลวสักแค่ไหน แต่ผมก็ยังคงสภาพนักศึกษาเหมือนเดิมครับ
ผมยังมีโอกาสแก้ตัวแต่วันไหนที่ผมรอจนจบการศึกษาแล้ว ค่อยเริ่มทำบางอย่าง วันนั้นมันอาจจะสายไปแล้วก็เป็นได้ครับ
ไม่พร้อมนั่นแหละคือความพร้อมครับ
ถึงแม้วันนี้ผมจะไม่มีใครแล้วก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าทำดีได้ดีเสมอครับ
ผมรักแม่ครับ...ผมจะทำศพให้แม่ ทำบุญให้แม่ และจำไม่ทำให้ให้แม่ผิดหวังในตัวผมครับ รักเสมอ


เพี้ยนออกทริป
ปล.ชีวิตจริง ยิ่งกว่าละครครับ

ไม่ได้เอาไป พูดโอ้อวดให้ใครรู้สึก
แต่คุณเองลองมองย้อนชีวิตตัวคุณเองกลับไปนะ
คุณตอบตัวเองได้ไหม ว่าคุณใช้ชีวิตมา คุณภูมิใจไหม ?
นานาขอบคุณ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่