อยู่อเมริกามาครบ 8 ปีพอดีเดือนนี้ เลยมานั่งดูรูปเก่าๆตอนไปเที่ยว ตอนเรียน ตอนใช้ชีวิตกับเพื่อนๆที่นี่ เลยคิดว่าอยากเล่าประสบการณ์ชีวิตที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายจากการมาเรียนต่อที่อเมริกาให้น้องๆที่วางแผนจะมาเรียนที่นี่ได้ฟัง การมาโดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรนอกจากมาท่องเที่ยวและเรียนภาษาอังกฤษ เริ่มจากเรียนไป เที่ยวไป ทำงานพิเศษเพื่อหาเงินเป็นค่าครองชีพและไว้เที่ยวตอนปิดเทอม ผกผันมาเป็นตั้งใจเรียนจนจบปริญญาโท และได้ทำงานในบริษัทผลิตเครื่องบินยักษ์ใหญ่ของโลก
ขอออกตัวก่อนว่าผู้เขียนไม่ได้เป็นเด็กเรียนจ๋าที่อยู่ติดห้องสมุดตลอด ประสบการณ์ชีวิตที่จะเล่าส่วนใหญ่ก้อมาจากนอกห้องเรียน และที่เจอในชีวิตประจำวัน หรือเวลาเดินทางท่องเที่ยว เรื่องราวที่อยากถ่ายทอดก้อคงมีทั้งเรื่องมีสาระและเรื่องไร้สาระ ที่ช่วยสร้างสีสันในการใช้ชีวิตต่างแดนให้มีรสชาติและสนุกมากขี้น
ไม่เคยเขียนไดอารี่หรือรีวิวบนเวบไชน์มาก่อนนะคะ การเขียนครั้งนี้มาจากความทรงจำล้วนๆ แอบหวังว่าประสบการณ์ของตัวเอง คงจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก้อน้อยต่อคนที่อยากมาเรียนต่อที่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก้อตาม ขอให้มีความฝันความตั้งใจ ความสำเร็จก้อจะตามมาเองคะ

ก่อนจะมาอเมริกา
มารู้จักผู้เขียนกันก่อน ข้าพเจ้ามักแทนตัวเองว่า แอน ทุกคนรู้จักในนามว่าแอนมาตั้งแต่เกิด จนถึงทุกวันนี้เพื่อนร่วมงานที่นี่ก้อเรียกแอน แม่เป็นคนตั้งให้เรียกง่ายๆ แอนก็เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เกิดและโตที่จังหวัดชุมพร มีนิสัยรักการท่องเที่ยวและผจญภัยเป็นชีวิตจิตใจ เริ่มเที่ยวตั้งแต่จำความได้ จำได้ว่าไปจังหวัดอื่นครั้งแรกคือ สงขลา มีพ่อแม่และญาติๆไปหลายคน ยังจำภาพนางเงือกน้อยที่หาดสมิลาได้เสมอ เดินเล่นกับคุณยายบนถนนนางงาม แล้วเจอเหรียญหนึ่งบาท คุณยายบอกให้เก็บไว้นะ แล้วเราจะได้กลับมาที่นี่อีก ก็จำคำบอกนั้นมาตลอด ไปเที่ยวที่ไหนเลยมองหาเหรียญตลอด ฮ่าๆ
มาเที่ยวจริงจังด้วยตัวเองก็ตอนเรียนมัธยมต้น แอนเข้าร่วมชมรมทัศนศิกษา เพราะว่าอยากไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ทางโรงเรียนจัดไปเที่ยวที่ไหน ก็ต้องไปให้ได้ โชคดีที่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยขัด เลยติดนิสัยชอบเที่ยวมาตั้งแต่เด็ก มาเรียนมัธยมปลายที่หาดใหญ่ ก็จัดทริปเที่ยวกับเพื่อนๆตลอด ทริปเสี่ยงๆ พายุฝนคะนองก็ยังไปกัน พ่อแม่ก็ไม่ได้รู้นะทริปนี้ เข้าเรียนมหาลัย เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ เลยกล้าเที่ยวแบบเสี่ยงๆมากขึ้น ว่างก็โบกรถไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ปิดเทอม ฝึกงาน สอบเสร็จ หรือใช้คำว่า อย่าให้มีเวลาว่าง ชั้นหนีเที่ยวก่อนเลย จนเข้ามาถีงช่วงเวลาของการทำงาน โอ๊ย เที่ยวสนุกที่สุดเพราะมีเงินเที่ยวเองแล้วไม่ต้องขอพ่อกับแม่ เลยจัดเที่ยวกันทุกเดือนว่างั้น
ชีวิตการท่องเที่ยวในเมืองไทยมาถึงจุดอิ่มตัว หลังจากตะลอนขึ้นเหนือล่องใต้ ไปมันทุกเกาะทุกแก่ง กี่ภูกี่ดอยไปมาเยอะมาก จนเริ่มอยากไปเที่ยวต่างประเทศแล้วสิ ประเทศที่อยากไปมากที่สุด คือ อเมริกา เพราะว่าได้รับอิทธิพลมาจากที่ทำงาน และน้าๆที่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่โน่น เลยเริ่ิมวางแผนละ ฉันจะไปอเมริกา บอกพ่อกับแม่ก่อน ดูเรตติ้งหน่อยว่าเป็นยังไง แม่ก็บอกว่าไปสิ น้าก็อยู่ที่โน่น แต่จะออกจากงานแล้วไปเที่ยวอย่างเดียว มันก็ดูจะเสียเวลาเสียอนาคตไปมั้ย หาอะไรเรียนไปด้วย ว่างก็เที่ยวไปด้วยน่าจะดีกว่า นั่น เข้าแผนเลย
เลยเริ่มเตรียมตัวทันที เรียนที่ไหนดีอะ เรียนอะไรเหรอ ไม่เห็นอยากเรียนเลย แต่วิธีที่จะไปอเมริกาแล้วอยู่ง่ายที่สุด อยู่นานที่สุดก็นักเรียนนี่แหละ เอ้าๆเรียนก็เรียน งั้นต้องไปเรียนโทเฟลละ สอบให้ผ่านไปจากนี่ จะได้ประหยัดเงินค่าเรียนภาษาด้วย เตรียมตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เลยเริ่มด้วยการไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมก่อน เริ่มกล้าพูดแล้ว ฟังรู้เรื่องบ้าง ดูหนังฝรั่งเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ก็อ่านคำแปลข้างล่างไป อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษบ่อยๆ ให้ชิน แต่ไม่ได้เข้าใจหรอก หลังจากนั้นก็ไปเรียนคอร์สโทเฟล อ๊ากกกก เรียนกันวันละแปดชั่วโมง ผ่านไปหนึ่งเดือนเหมือนขาดใจ ไม่เรียนดีกว่า เตรียมตัวเรื่องวีซ่าดีกว่า เลยเปลี่ยนใจไปลงคลาสเรียนภาษาที่โน่นเลยละกัน เลยสมัครเรียนภาษาไปที่ซานต้าโมนิก้าคอลเลจ โรงเรียนออก I-20 ให้เอามาขอวีซ่า ตอนนี้ก็ปราการสุดท้ายละ เพราะถ้าวีซ่าไม่ผ่าน ฝันก็สลาย แผนที่วางไปทั้งหมดก็ล่ม เลยเข้าไปอ่านพันทิพย์ ห้องไกลบ้านทุกวัน ศึกษาข้อมูลต่างๆ รวบรวมเอกสารด้วยตัวเองจนครบแล้วก็ยิ่นขอวีซ่า ผลออกมา “ยินดีด้วยครับ ผมออกวีซ่านักเรียนให้คุณห้าปี ตั้งใจเรียนนะครับ” คุณฝรั่งใจดีช่อง 10 ช่างทำให้การสัมภาษณ์วีซ่าเป็นไปอย่างราบเรียบ ขอบคุณจากใจจริงนะคะ
จะไปแล้ว ก่อนไปก็เลี้ยงส่งกันตลอดหนึ่งเดือนเต็ม เรียกว่าเมากันทุกคืน วันเดินทางมีเพื่อนๆ พ่อแม่และญาติๆมาส่งกันอย่างอบอุ่น ต่ืนเต้นจัง ซื้อตั๋วเที่ยวเดียวด้วยนะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาอีก

เหยียบแผ่นดินอเมริกา
มาแล้วแลนด์แล้ว เครื่องลงจอดที่มหานครลอสแองเจิ้ลลิส น้ามารับก็ขับรถเที่ยวเล่นฮอลลี่วู้ดก่อนเลย เห็นแล้วอะ ตื่นเต้นๆ นี่เหรอโกดักเทียเตอร์ที่เค้าจัดงานออสก้ากัน ฮอลลี่วู้ดเฟรมรูปดาววางกันกลาดเกลื่อนทั่วทางเท้าเลยแฮะ โรงหนังไชนีสเทียเตอร์แสนเก่า ได้มาเห็นเป็นบุญตาตั้งแต่วันแรกเลยเหรอ ดูตื่นตาตื่นใจไปหมด แล้วน้าก็พาไปทานข้าวที่ไทยทาว์นแอลเอ ตั้งอยู่บนถนนฮอลลี่วู้ดเหมือนกัน จริงๆอยากกินอาหารฝรั่ง เพราะกินอาหารไทยมาตลอดทุกวันก่อนมา แต่ก็ไม่ได้บอกน้า ฮ่าๆ แกอยากจะพาไปกินอะไรเราก็กินได้ทั้งนั้น
ตอนนั้นมาช่วงหน้าหนาวพอดี เดือนกุมภาพันธ์ อากาศที่นี่หนาวจริงๆ ไม่ชินๆ ไม่ได้ซื้ิอเสิ้อกันหนาวหนาๆมาเลย น้าบอกว่าอากาศอบอุ่น แบบแคลิฟอร์เนีย ที่ไหนได้มันหนาวอย่างกับนอนดอยอินทนนท์ช่วงเดือนมกราเลย กลายเป็นว่าต้องไปหาซื้อเสื้อกันหนาวใหม่กันเลยทีเดียว
ปัญหาแรกที่พบ เมื่อมาถึงคือ บ้านน้ากะโรงเรียนอยู่คนละฝากของเมืองเลย แล้วไม่มีใครไปรับไปส่งไปเรียน เพราะทุกคนทำงานกัน เลยโดนจับให้อ่านหนังสือเพื่อสอบใบขับขี่ แล้วน้าก็พาไปสอบข้อเขียนทำใบขับขี่ทันทีหลังจากมาอยู่ที่นี่ได้แค่ 3 วัน แต่ก็ไม่ได้ไปสอบขับ เพราะว่าตัดสินใจย้ายมาอยู่กะเพื่อนที่เรียนที่โรงเรียนเดียวกัน นั่งรถเมล์ไปเรียนแทน ประหยัดดี ได้เพื่อนคุยบนรถด้วย
มีอยู่วันนึงตอนเดินกลับจากป้ายรถเมล์เข้าบ้าน ทางเดินก็เดินสบายเป็นถนนในชอย มีทางเท้าให้เดิน มีหญ้าเขียวปลูกไว้ตลอดทาง ดูสะอาดไม่มีขยะเลยบนถนนหรือทางเท้า และแล้วก็มีรถยนต์คันนึง วิ่งมาหยุดที่เรา แล้วชายหนุ่มนิรนามคนนี้ก็หมุนกระจกลง ถามทางกะเรา ตอนแรกว่าจะเดินหนี เอ๊ะ หนุ่มอเมริกันหน้าตาดี จะได้ฝึกสนทนาไปในตัว
ผู้เขียน: “มีอะไรให้ช่วยเหรอ”
หนุ่มไอกัน: “ถนนวอชิงตันไปทางไหนเหรอ”
ผู้เขียน: รีบตอบไป เพราะว่าจำได้ว่ามันอยู่ไม่ไกลจากนี่ “ตรงไปอีกสองบล๊อกก็เจอนะ”
หนุ่มไอกัน: “แต้งกิ้ว ดูอะไรนี่สิ”
แล้วหนุ่มไอกันก็ชี้ไปที่น้องชายของมันซึ่งตอนนี้ออกมาเป็นเจ้าโลกนอกซิบกางเกง หนุ่มน้อยหน้าตาดีก็เล่นกะน้องโชว์ทันทีทันใด ไอเราก็ตกใจ แต่ก็ตั้งสติได้ เพราะว่าเคยเห็นพวกโรคจิตโชว์บนสะพานลอยสมัยเรียนมัธยม เลยคิดได้ว่าต้องทำให้มันหมดความมั่นใจ
ผู้เขียน: เลยพูดขึ้นมาว่า “เล็กมากเลยนะน้องชายคุณ” แล้วก็หัวเราะร่าเดินเข้าอพาร์ทเม้นไป
ตามตำราหรือพันทิพย์ไม่ได้บอกไว้ว่า ให้ทำยังไงกะสถานการณ์แบบนี้ ก็ต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณส่วนตัว แต่ก็แปลกใจว่าเมืองนอกนี่มันก็มีพวกโรคจิตชอบโชว์เหมือนบ้านเราเลยเหรอ แล้วชีวิตชั้นจะเจออะไรอีกเนี่ย เริ่มต้นก็ท้าทายซะขนาดนี้แล้ว

หลงในวันฝนพรำ
ตอนนั้นเริ่มเรียนมาได้อาทิตย์นึงละ ก็นั่งเมล์สีฟ้า ชาวบ้านเรียก Big Blue Bus ประจำเมือง Santa Monica ราคาแค่ห้าสิบเซนต์ ต่อรถไปสายอื่นได้หมดไม่ต้องเพิ่มเงิน รถเมล์ที่นี่มาตรงเวลามาก แต่ละป้ายจะบอกไว้ว่าเที่ยวนี้มาถึงกี่โมง ถ้าพลาดคันนี้ไปคันต่อไปก็มาภายใน 15 นาที จากอพาร์ทเม้นที่อยู่ต้องนั่งรถเมล์สองต่อ สาย 12 ต่อสาย 7 เวลาเดินทางไปโรงเรียนก็ประมาณ 40 นาที เรียนอาทิตย์ละห้าวัน จันทร์ถึงศุกร์ เริ่มเรียนตอนบ่ายโมงไปถึงหกโมงเย็น ส่วนวันเสาร์อาจารย์ก็จะมีสอนคลาสพิเศษเพิ่มเติมให้ ถ้าใครอยากมาก็มาเรียนได้ ไม่บังคับ ไม่มีผลต่อการเข้าเรียน แต่รถเมล์จะมีแค่ชั่วโมงละคัน ช่วงวันเสาร์อาทิตย์ แล้วก็หยุดวิ่งแค่สองทุ่ม วันเสาร์ไหนไม่ขี้เกียจก็ไปเรียนตลอด
ช่วงหน้าหนาวกลางวันจะสั้น จะมืดเร็ว บางทีฝนก็ตกด้วย โอ๊ย ทั้งหนาวทั้งฝน ไม่อยากจะคิดเลย อาทิตย์ที่สองที่เริ่มเรียนฝนตกหนักตลอด ไปเรียนก็เปียกไปทุกวันเพราะไม่มีร่ม เดินใส่เสื้อฮู้ดดี้ปิดหัวเอาแทน มอมแมมทุกวัน ตอนนั้นยังไม่ได้ซื้อโทรศัพท์มือถือด้วย เพราะไม่ได้คิดว่ามันจำเป็น เพื่อนก็ยังมีไม่เยอะ ค่ารายเดือนก็แพงไม่อยากจ่ายเดือนละสี่สิบเหรียญ โทรศัพท์บ้านก็มี ไว้โทรเฉพาะที่จำเป็น
หลังเลิกเรียนวันนึงหกโมงเย็น ฝนตกตลอดทั้งวัน เดินมารอรถก็นาน เปียกปอนไปแล้วทั้งตัว ไม่รู้ว่ารถสาย 7 หายไปไหนหมด เลยวิ่งขึ้นสาย 8 แทนเพราะคิดว่าน่าจะผ่านไปต่อกะสาย 12 ได้ แต่ปรากฏว่า นั่งไปซักระยะ สาย 8 วิ่งไปไหนไม่รู้เข้าตรอกเข้าซอย ผ่านย่านที่เป็นบ้านคนเยอะๆ ไม่ได้วิ่งบนถนนหลักเหมือนสาย 7 ตายละชั้น หลงแล้ว ทำไงดีวะ โทรศัพท์ก็ไม่มี จำบ้านเลขที่ตัวเองไม่ได้ รีบตัดสินใจลงจากรถก่อนเลย
ฝนก็ตกหนัก อะไรมันจะซวยขนาดนี้วะนี่ แล้วจะถึงบ้านกี่โมง การบ้านก็เพียบ เริ่มวิตกจริต เลยเริ่มเดินทันที เดินย้อนกลับมาสักพักแล้วตัดเข้าถนนเส้นโน้นเส้นนี้ จริงๆคือหลงแล้ว ใจเสียมาก หนาวก็หนาว ไม่รู้จะติดต่อใครยังไงดี หลงอยู่ประมาณชั่วโมงนึง และแล้วก็เห็นถนนเส้นนึงรถวิ่งกันเยอะเชียว มันต้องเป็นเส้นหลักแน่ๆ เลยรีบวิ่งไปดูให้รู้กะตาเลย และแล้วก็ใช่อย่างที่คิด ถนน Pico Blvd. รีบข้ามถนนไปรอที่ป้ายรถเมล์ทันที
ตอนนั้นก็สองทุ่มกว่าๆยังมีรถเมล์ ใจชื้นขึ้นมา รออยู่กะชายแปลกหน้าสองคน ไม่อยากเสวนากะใครตอนนี้ อย่ามาคุยกะชั้นละกันนะ ชั้นหยิ่งใส่แน่ รอจนสามทุ่มนิดๆรถเมล์สาย 7 ก็แล่นมาจอด ยังกะสวรรค์มาโปรด ความรู้สึกตอนนั้นคือโล่งมาก ถึงบ้านแน่ๆ ในที่สุดก็กลับถึงบ้านตอนสี่ทุ่ม และก็ตัดสินใจซื้อโทรศัพท์มือถือทันที ยอมจ่ายรายเดือนแพงๆดีกว่าหลงทางแล้วไม่ได้กลับบ้าน นอนข้างถนนทั้งคืนท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บในเดือนกุมภาพันธ์
Blvd. ย่อมาจาก Boulevard ซึ่งมันก้อคือถนนสายหลักๆในเมืองแอลเอ ที่มีต้นปาล์มปลูกไว้สองข้างทาง
A day in America แชร์ประสบการณ์ 8 ปี จากเด็กบ้านนอกไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ จนได้ทำงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกา
ขอออกตัวก่อนว่าผู้เขียนไม่ได้เป็นเด็กเรียนจ๋าที่อยู่ติดห้องสมุดตลอด ประสบการณ์ชีวิตที่จะเล่าส่วนใหญ่ก้อมาจากนอกห้องเรียน และที่เจอในชีวิตประจำวัน หรือเวลาเดินทางท่องเที่ยว เรื่องราวที่อยากถ่ายทอดก้อคงมีทั้งเรื่องมีสาระและเรื่องไร้สาระ ที่ช่วยสร้างสีสันในการใช้ชีวิตต่างแดนให้มีรสชาติและสนุกมากขี้น
ไม่เคยเขียนไดอารี่หรือรีวิวบนเวบไชน์มาก่อนนะคะ การเขียนครั้งนี้มาจากความทรงจำล้วนๆ แอบหวังว่าประสบการณ์ของตัวเอง คงจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก้อน้อยต่อคนที่อยากมาเรียนต่อที่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก้อตาม ขอให้มีความฝันความตั้งใจ ความสำเร็จก้อจะตามมาเองคะ
มารู้จักผู้เขียนกันก่อน ข้าพเจ้ามักแทนตัวเองว่า แอน ทุกคนรู้จักในนามว่าแอนมาตั้งแต่เกิด จนถึงทุกวันนี้เพื่อนร่วมงานที่นี่ก้อเรียกแอน แม่เป็นคนตั้งให้เรียกง่ายๆ แอนก็เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เกิดและโตที่จังหวัดชุมพร มีนิสัยรักการท่องเที่ยวและผจญภัยเป็นชีวิตจิตใจ เริ่มเที่ยวตั้งแต่จำความได้ จำได้ว่าไปจังหวัดอื่นครั้งแรกคือ สงขลา มีพ่อแม่และญาติๆไปหลายคน ยังจำภาพนางเงือกน้อยที่หาดสมิลาได้เสมอ เดินเล่นกับคุณยายบนถนนนางงาม แล้วเจอเหรียญหนึ่งบาท คุณยายบอกให้เก็บไว้นะ แล้วเราจะได้กลับมาที่นี่อีก ก็จำคำบอกนั้นมาตลอด ไปเที่ยวที่ไหนเลยมองหาเหรียญตลอด ฮ่าๆ
มาเที่ยวจริงจังด้วยตัวเองก็ตอนเรียนมัธยมต้น แอนเข้าร่วมชมรมทัศนศิกษา เพราะว่าอยากไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ทางโรงเรียนจัดไปเที่ยวที่ไหน ก็ต้องไปให้ได้ โชคดีที่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยขัด เลยติดนิสัยชอบเที่ยวมาตั้งแต่เด็ก มาเรียนมัธยมปลายที่หาดใหญ่ ก็จัดทริปเที่ยวกับเพื่อนๆตลอด ทริปเสี่ยงๆ พายุฝนคะนองก็ยังไปกัน พ่อแม่ก็ไม่ได้รู้นะทริปนี้ เข้าเรียนมหาลัย เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ เลยกล้าเที่ยวแบบเสี่ยงๆมากขึ้น ว่างก็โบกรถไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ปิดเทอม ฝึกงาน สอบเสร็จ หรือใช้คำว่า อย่าให้มีเวลาว่าง ชั้นหนีเที่ยวก่อนเลย จนเข้ามาถีงช่วงเวลาของการทำงาน โอ๊ย เที่ยวสนุกที่สุดเพราะมีเงินเที่ยวเองแล้วไม่ต้องขอพ่อกับแม่ เลยจัดเที่ยวกันทุกเดือนว่างั้น
ชีวิตการท่องเที่ยวในเมืองไทยมาถึงจุดอิ่มตัว หลังจากตะลอนขึ้นเหนือล่องใต้ ไปมันทุกเกาะทุกแก่ง กี่ภูกี่ดอยไปมาเยอะมาก จนเริ่มอยากไปเที่ยวต่างประเทศแล้วสิ ประเทศที่อยากไปมากที่สุด คือ อเมริกา เพราะว่าได้รับอิทธิพลมาจากที่ทำงาน และน้าๆที่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่โน่น เลยเริ่ิมวางแผนละ ฉันจะไปอเมริกา บอกพ่อกับแม่ก่อน ดูเรตติ้งหน่อยว่าเป็นยังไง แม่ก็บอกว่าไปสิ น้าก็อยู่ที่โน่น แต่จะออกจากงานแล้วไปเที่ยวอย่างเดียว มันก็ดูจะเสียเวลาเสียอนาคตไปมั้ย หาอะไรเรียนไปด้วย ว่างก็เที่ยวไปด้วยน่าจะดีกว่า นั่น เข้าแผนเลย
เลยเริ่มเตรียมตัวทันที เรียนที่ไหนดีอะ เรียนอะไรเหรอ ไม่เห็นอยากเรียนเลย แต่วิธีที่จะไปอเมริกาแล้วอยู่ง่ายที่สุด อยู่นานที่สุดก็นักเรียนนี่แหละ เอ้าๆเรียนก็เรียน งั้นต้องไปเรียนโทเฟลละ สอบให้ผ่านไปจากนี่ จะได้ประหยัดเงินค่าเรียนภาษาด้วย เตรียมตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เลยเริ่มด้วยการไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมก่อน เริ่มกล้าพูดแล้ว ฟังรู้เรื่องบ้าง ดูหนังฝรั่งเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ก็อ่านคำแปลข้างล่างไป อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษบ่อยๆ ให้ชิน แต่ไม่ได้เข้าใจหรอก หลังจากนั้นก็ไปเรียนคอร์สโทเฟล อ๊ากกกก เรียนกันวันละแปดชั่วโมง ผ่านไปหนึ่งเดือนเหมือนขาดใจ ไม่เรียนดีกว่า เตรียมตัวเรื่องวีซ่าดีกว่า เลยเปลี่ยนใจไปลงคลาสเรียนภาษาที่โน่นเลยละกัน เลยสมัครเรียนภาษาไปที่ซานต้าโมนิก้าคอลเลจ โรงเรียนออก I-20 ให้เอามาขอวีซ่า ตอนนี้ก็ปราการสุดท้ายละ เพราะถ้าวีซ่าไม่ผ่าน ฝันก็สลาย แผนที่วางไปทั้งหมดก็ล่ม เลยเข้าไปอ่านพันทิพย์ ห้องไกลบ้านทุกวัน ศึกษาข้อมูลต่างๆ รวบรวมเอกสารด้วยตัวเองจนครบแล้วก็ยิ่นขอวีซ่า ผลออกมา “ยินดีด้วยครับ ผมออกวีซ่านักเรียนให้คุณห้าปี ตั้งใจเรียนนะครับ” คุณฝรั่งใจดีช่อง 10 ช่างทำให้การสัมภาษณ์วีซ่าเป็นไปอย่างราบเรียบ ขอบคุณจากใจจริงนะคะ
จะไปแล้ว ก่อนไปก็เลี้ยงส่งกันตลอดหนึ่งเดือนเต็ม เรียกว่าเมากันทุกคืน วันเดินทางมีเพื่อนๆ พ่อแม่และญาติๆมาส่งกันอย่างอบอุ่น ต่ืนเต้นจัง ซื้อตั๋วเที่ยวเดียวด้วยนะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาอีก
มาแล้วแลนด์แล้ว เครื่องลงจอดที่มหานครลอสแองเจิ้ลลิส น้ามารับก็ขับรถเที่ยวเล่นฮอลลี่วู้ดก่อนเลย เห็นแล้วอะ ตื่นเต้นๆ นี่เหรอโกดักเทียเตอร์ที่เค้าจัดงานออสก้ากัน ฮอลลี่วู้ดเฟรมรูปดาววางกันกลาดเกลื่อนทั่วทางเท้าเลยแฮะ โรงหนังไชนีสเทียเตอร์แสนเก่า ได้มาเห็นเป็นบุญตาตั้งแต่วันแรกเลยเหรอ ดูตื่นตาตื่นใจไปหมด แล้วน้าก็พาไปทานข้าวที่ไทยทาว์นแอลเอ ตั้งอยู่บนถนนฮอลลี่วู้ดเหมือนกัน จริงๆอยากกินอาหารฝรั่ง เพราะกินอาหารไทยมาตลอดทุกวันก่อนมา แต่ก็ไม่ได้บอกน้า ฮ่าๆ แกอยากจะพาไปกินอะไรเราก็กินได้ทั้งนั้น
ตอนนั้นมาช่วงหน้าหนาวพอดี เดือนกุมภาพันธ์ อากาศที่นี่หนาวจริงๆ ไม่ชินๆ ไม่ได้ซื้ิอเสิ้อกันหนาวหนาๆมาเลย น้าบอกว่าอากาศอบอุ่น แบบแคลิฟอร์เนีย ที่ไหนได้มันหนาวอย่างกับนอนดอยอินทนนท์ช่วงเดือนมกราเลย กลายเป็นว่าต้องไปหาซื้อเสื้อกันหนาวใหม่กันเลยทีเดียว
ปัญหาแรกที่พบ เมื่อมาถึงคือ บ้านน้ากะโรงเรียนอยู่คนละฝากของเมืองเลย แล้วไม่มีใครไปรับไปส่งไปเรียน เพราะทุกคนทำงานกัน เลยโดนจับให้อ่านหนังสือเพื่อสอบใบขับขี่ แล้วน้าก็พาไปสอบข้อเขียนทำใบขับขี่ทันทีหลังจากมาอยู่ที่นี่ได้แค่ 3 วัน แต่ก็ไม่ได้ไปสอบขับ เพราะว่าตัดสินใจย้ายมาอยู่กะเพื่อนที่เรียนที่โรงเรียนเดียวกัน นั่งรถเมล์ไปเรียนแทน ประหยัดดี ได้เพื่อนคุยบนรถด้วย
มีอยู่วันนึงตอนเดินกลับจากป้ายรถเมล์เข้าบ้าน ทางเดินก็เดินสบายเป็นถนนในชอย มีทางเท้าให้เดิน มีหญ้าเขียวปลูกไว้ตลอดทาง ดูสะอาดไม่มีขยะเลยบนถนนหรือทางเท้า และแล้วก็มีรถยนต์คันนึง วิ่งมาหยุดที่เรา แล้วชายหนุ่มนิรนามคนนี้ก็หมุนกระจกลง ถามทางกะเรา ตอนแรกว่าจะเดินหนี เอ๊ะ หนุ่มอเมริกันหน้าตาดี จะได้ฝึกสนทนาไปในตัว
ผู้เขียน: “มีอะไรให้ช่วยเหรอ”
หนุ่มไอกัน: “ถนนวอชิงตันไปทางไหนเหรอ”
ผู้เขียน: รีบตอบไป เพราะว่าจำได้ว่ามันอยู่ไม่ไกลจากนี่ “ตรงไปอีกสองบล๊อกก็เจอนะ”
หนุ่มไอกัน: “แต้งกิ้ว ดูอะไรนี่สิ”
แล้วหนุ่มไอกันก็ชี้ไปที่น้องชายของมันซึ่งตอนนี้ออกมาเป็นเจ้าโลกนอกซิบกางเกง หนุ่มน้อยหน้าตาดีก็เล่นกะน้องโชว์ทันทีทันใด ไอเราก็ตกใจ แต่ก็ตั้งสติได้ เพราะว่าเคยเห็นพวกโรคจิตโชว์บนสะพานลอยสมัยเรียนมัธยม เลยคิดได้ว่าต้องทำให้มันหมดความมั่นใจ
ผู้เขียน: เลยพูดขึ้นมาว่า “เล็กมากเลยนะน้องชายคุณ” แล้วก็หัวเราะร่าเดินเข้าอพาร์ทเม้นไป
ตามตำราหรือพันทิพย์ไม่ได้บอกไว้ว่า ให้ทำยังไงกะสถานการณ์แบบนี้ ก็ต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณส่วนตัว แต่ก็แปลกใจว่าเมืองนอกนี่มันก็มีพวกโรคจิตชอบโชว์เหมือนบ้านเราเลยเหรอ แล้วชีวิตชั้นจะเจออะไรอีกเนี่ย เริ่มต้นก็ท้าทายซะขนาดนี้แล้ว
ตอนนั้นเริ่มเรียนมาได้อาทิตย์นึงละ ก็นั่งเมล์สีฟ้า ชาวบ้านเรียก Big Blue Bus ประจำเมือง Santa Monica ราคาแค่ห้าสิบเซนต์ ต่อรถไปสายอื่นได้หมดไม่ต้องเพิ่มเงิน รถเมล์ที่นี่มาตรงเวลามาก แต่ละป้ายจะบอกไว้ว่าเที่ยวนี้มาถึงกี่โมง ถ้าพลาดคันนี้ไปคันต่อไปก็มาภายใน 15 นาที จากอพาร์ทเม้นที่อยู่ต้องนั่งรถเมล์สองต่อ สาย 12 ต่อสาย 7 เวลาเดินทางไปโรงเรียนก็ประมาณ 40 นาที เรียนอาทิตย์ละห้าวัน จันทร์ถึงศุกร์ เริ่มเรียนตอนบ่ายโมงไปถึงหกโมงเย็น ส่วนวันเสาร์อาจารย์ก็จะมีสอนคลาสพิเศษเพิ่มเติมให้ ถ้าใครอยากมาก็มาเรียนได้ ไม่บังคับ ไม่มีผลต่อการเข้าเรียน แต่รถเมล์จะมีแค่ชั่วโมงละคัน ช่วงวันเสาร์อาทิตย์ แล้วก็หยุดวิ่งแค่สองทุ่ม วันเสาร์ไหนไม่ขี้เกียจก็ไปเรียนตลอด
ช่วงหน้าหนาวกลางวันจะสั้น จะมืดเร็ว บางทีฝนก็ตกด้วย โอ๊ย ทั้งหนาวทั้งฝน ไม่อยากจะคิดเลย อาทิตย์ที่สองที่เริ่มเรียนฝนตกหนักตลอด ไปเรียนก็เปียกไปทุกวันเพราะไม่มีร่ม เดินใส่เสื้อฮู้ดดี้ปิดหัวเอาแทน มอมแมมทุกวัน ตอนนั้นยังไม่ได้ซื้อโทรศัพท์มือถือด้วย เพราะไม่ได้คิดว่ามันจำเป็น เพื่อนก็ยังมีไม่เยอะ ค่ารายเดือนก็แพงไม่อยากจ่ายเดือนละสี่สิบเหรียญ โทรศัพท์บ้านก็มี ไว้โทรเฉพาะที่จำเป็น
หลังเลิกเรียนวันนึงหกโมงเย็น ฝนตกตลอดทั้งวัน เดินมารอรถก็นาน เปียกปอนไปแล้วทั้งตัว ไม่รู้ว่ารถสาย 7 หายไปไหนหมด เลยวิ่งขึ้นสาย 8 แทนเพราะคิดว่าน่าจะผ่านไปต่อกะสาย 12 ได้ แต่ปรากฏว่า นั่งไปซักระยะ สาย 8 วิ่งไปไหนไม่รู้เข้าตรอกเข้าซอย ผ่านย่านที่เป็นบ้านคนเยอะๆ ไม่ได้วิ่งบนถนนหลักเหมือนสาย 7 ตายละชั้น หลงแล้ว ทำไงดีวะ โทรศัพท์ก็ไม่มี จำบ้านเลขที่ตัวเองไม่ได้ รีบตัดสินใจลงจากรถก่อนเลย
ฝนก็ตกหนัก อะไรมันจะซวยขนาดนี้วะนี่ แล้วจะถึงบ้านกี่โมง การบ้านก็เพียบ เริ่มวิตกจริต เลยเริ่มเดินทันที เดินย้อนกลับมาสักพักแล้วตัดเข้าถนนเส้นโน้นเส้นนี้ จริงๆคือหลงแล้ว ใจเสียมาก หนาวก็หนาว ไม่รู้จะติดต่อใครยังไงดี หลงอยู่ประมาณชั่วโมงนึง และแล้วก็เห็นถนนเส้นนึงรถวิ่งกันเยอะเชียว มันต้องเป็นเส้นหลักแน่ๆ เลยรีบวิ่งไปดูให้รู้กะตาเลย และแล้วก็ใช่อย่างที่คิด ถนน Pico Blvd. รีบข้ามถนนไปรอที่ป้ายรถเมล์ทันที
ตอนนั้นก็สองทุ่มกว่าๆยังมีรถเมล์ ใจชื้นขึ้นมา รออยู่กะชายแปลกหน้าสองคน ไม่อยากเสวนากะใครตอนนี้ อย่ามาคุยกะชั้นละกันนะ ชั้นหยิ่งใส่แน่ รอจนสามทุ่มนิดๆรถเมล์สาย 7 ก็แล่นมาจอด ยังกะสวรรค์มาโปรด ความรู้สึกตอนนั้นคือโล่งมาก ถึงบ้านแน่ๆ ในที่สุดก็กลับถึงบ้านตอนสี่ทุ่ม และก็ตัดสินใจซื้อโทรศัพท์มือถือทันที ยอมจ่ายรายเดือนแพงๆดีกว่าหลงทางแล้วไม่ได้กลับบ้าน นอนข้างถนนทั้งคืนท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บในเดือนกุมภาพันธ์
Blvd. ย่อมาจาก Boulevard ซึ่งมันก้อคือถนนสายหลักๆในเมืองแอลเอ ที่มีต้นปาล์มปลูกไว้สองข้างทาง