'The Queen (2006) การปรับตัวของสถาบันกษัตริย์ 'อนุรักษ์นิยม' ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก

'The Queen's Speech
การปรับตัวของสถาบันกษัตริย์ 'อนุรักษ์นิยม' ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก



The Queen (2006)
Genre: Biography, Drama

Director: Stephen Frears
Writer: Peter Morgan

ในยุคปัจจุบันที่ 'สื่อ' สามารถเข้าถึงคนจำนวนมากและมีอิทธิพลชี้นำอารมณ์ความรู้สึกผู้เสพสื่อ เราจึงจะได้เห็นการสร้าง 'เรื่องราว' เพื่อขายข่าว เราได้เห็นหลายคนชอบ 'ตกเป็นข่าว' และในโลกความจริงหลายต่อหลายครั้งที่ผมรู้สึกประหลาดใจที่ผู้คนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของการชี้นำโดย 'สื่อ'

ย้อนไปถึงหนังภาพยนตร์ยอดเยี่ยมออสการ์ปี 2003 'Chicago' ละครเพลงคุณภาพซึ่งมีเนื้อหาว่าด้วยเรื่องของการ 'แย่งชิงความสนใจจากสื่อ' เมื่อนักเต้นชื่อดังและนักเต้นตัวประกอบติดคุกในข้อหาฆาตกรรมเหมือนกัน และเพื่อให้ทนายทำงานกล่อมลูกขุนได้ง่ายขึ้น เธอทั้งสองจึงต้อง 'สร้างภาพลักษณ์เรียกร้องความเห็นใจ' โดยใช้ 'สื่อ' เป็นเครื่องมือ และสุดท้ายหนังก็บอกเราว่า 'สื่อ' สนใจอะไรแค่ชั่วประเดี๋ยวก็ไปหาอะไรใหม่ ๆ มาปั้นขายผู้เสพข่าวต่อไป

'นักเต้น' เป็นดาวเด่นในพริบตา และกลายเป็นหมาหัวเน่าในพริบตาเช่นกัน
'เจ้าหญิงไดอาน่า' ได้รับความสนใจจากสื่อเพราะมีภาพลักษณ์ชีวิตส่วนตัว 'ขายข่าวได้'  
'ควีนเอลิซาเบธที่ 2' จากราชินีในดวงใจเกือบ 50 ปี ถูกสื่อสร้างให้เป็น 'คนร้าย' ในพริบตา และก็เลิกสนใจพริบตาเช่นกัน



Network ปี 1976 ก็สะท้อนภาพของ 'สื่อ' เช่นกัน เมื่อสื่อต้องอาศัย 'เรทติ้ง' เป็นตัวชี้วัดความอยู่รอด การจะเรียกความสนใจจากผู้ชมจึงต้องปั้นตัวละครมาเรียกร้องความสนใจ พวกเขาจึงปั้นนักวิจารณ์ข่าวที่ประกาศจะฆ่าตัวตายออกอากาศหลังโดนปลดให้กลายเป็น 'ดาราดัง' เราจะเห็นว่าเขามีชื่อเสียงขึ้นมาทันทีที่ทำอะไรแปลก ๆ จนคนดูให้ความสนใจ แต่การจะทำให้คนสนใจได้ต่อเนื่องมันต้องมี 'เรื่องราว'

'นักวิจารณ์ข่าว' กลายมาเป็นตัวแทนของชาวอเมริกันในการระบายความอัดอั้นที่มีต่อ สงครามเวียดนาม, คดีวอเตอร์เกท และความตกต่ำของสังคม
'เจ้าหญิงไดอาน่า' กลายเป็นที่สนใจเมื่อเธอเคยเป็น 'คนในวัง' ที่นำเรื่องภายในมาพูดต่อสาธารณชน และกลายมาเป็นตัวแทนของ 'กลุ่มคนต่อต้านระบอบกษัตริย์'



ย้อนไปในเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวที่ 'เฮติ' และ 'ญี่ปุ่น' เราจะได้เห็นบุคคลมีชื่อเสียงออกมากำหนดทิศทางการช่วยเหลือ และฉวยโอกาสวิกฤตินี้ในการทำการตลาด 'แย่งชิงพื้นที่สื่อ' เราจะได้เห็นผู้คนที่ไม่เคยสนใจอะไรมาก่อนต่างก็ถูก 'สื่อ' ครอบงำว่า 'ต้องสนใจช่วยเหลือ' ตามกระแส และมันก็เป็นตลกร้ายที่เมื่อเกิดแผ่นดินไหวที่ 'ฟิลิปปินส์' เมื่อไม่มี 'สื่อ' ออกมาชี้นำการช่วยเหลือ ไม่มีการใช้วิกฤติทำการตลาด ผู้คนเหล่านั้นก็ไม่ได้สนใจใยดี 'ฟิลิปปินส์' แต่อย่างใด

หลังการเสียชีวิตของ 'เจ้าหญิงไดอาน่า' เราจะได้เห็น 'สื่อ' สามารถชี้นำความรู้สึกผู้คนจำนวนมากที่แม้ไม่ได้รู้จักมาก่อน แต่ก็มีอารมณ์เศร้าโศกตามทิศทางที่ 'สื่อ' กำหนด ถึงขนาดหลายคนยอมมานอนข้างถนนเพื่อเข้าร่วมพิธีศพ 'เจ้าหญิงไดอาน่า'

'สื่อ' มีอิทธิพลในการหนด 'กระแส' ได้จริง ๆ



เมื่อ 'สื่อ' รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเจ้าหญิงไดอาน่าจนเกิดอุบัติเหตุทำให้เสียชีวิต
จาก 'สื่อ' ที่มุ่งขาย 'เรื่องส่วนตัว' ของเจ้าหญิงไดอาน่า กลับกลายเป็น 'สื่อ' ที่ขาย 'งานช่วยเหลือสังคม' ของเจ้าหญิงไดอาน่า
และใช้งานศพของเจ้าหญิงไดอาน่าโจมตี 'ธรรมเนียมปฏิบัติ' ของสถาบันกษัตริย์อังกฤษซึ่งเรียกว่าเป็น 'อนุรักษ์นิยม'

ความเป็น 'อนุรักษ์นิยม' ของควีนเอลิซาเบธที่ 2 คือความเชื่อว่าราชินีควรเก็บความรู้สึกตัวเอง 'ไม่แสดงอารมณ์' ต่อหน้าสาธารณชน ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์มายาวนาน
ในขณะที่ 'โลกสมัยใหม่' ต้องการเห็นราชินีของพวกเขา 'มีอารมณ์ร่วมอย่างเปิดเผย'

ความเชื่อมั่นอันยาวนานเกี่ยวกับความเป็น 'อนุรักษ์นิยม' ของ 'ควีนเอลิซาเบธที่ 2' กำลังสั่นคลอนจาก 'โลกสมัยใหม่' ที่ถูกกำหนดทิศทางโดย 'สื่อ'



"เธอไม่ใช่ราชวงศ์แล้ว นี่เป็นเรื่องส่วนตัว" คำกล่าวของ 'ควีนเอลิซาเบธที่ 2' ที่มีต่อการเสียชีวิตของ 'เจ้าหญิงไดอาน่า' แม้เธอจะเป็นมารดาของรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ราชวงศ์อังกฤษ ทำให้จุดยืนของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ไม่สนใจที่จะจัดพิธีศพเธอตามธรรมเนียมปฏิบัติ เพราะเจ้าหญิงไดอาน่าได้กลายเป็นคนนอกไปแล้ว สิ่งที่ควีนเอลิซาเบธที่ 2 สนใจในตอนนี้คือ 'ความห่วงใยต่อผู้ที่ยังอยู่' ด้วยการปกป้องลูกชายทั้งสองคนของเจ้าหญิงไดอาน่าไม่ให้เป็นที่สนใจของสื่อ

ในขณะที่ 'สื่อ' ขายภาพความเป็น 'เจ้าหญิงของประชาชน' และต้องการให้ราชวงศ์อังกฤษทำตามสิ่งที่ 'สื่อ' ต้องการให้เป็น นั่นคือการแสดงออกอย่างเปิดเผยถึงความโศกเศร้าของควีนเอลิซาเบธที่มีต่อเจ้าหญิงไดอาน่า และ 'ประชาชน' ผู้เสพสื่อก็ถูกชี้นำให้ต้องการเห็นภาพเช่นนั้น

การ 'นิ่งเฉย' ของราชวงศ์กลับยิ่งทำให้ 'สื่อ' โจมตีสถาบันรุนแรงขึ้นจนถึงจุดที่โพลล์สำรวจประชาชน 70% คิดว่าการนิ่งเฉยของควีนเป็นภัยต่อสถาบันกษัตริย์ และ 1 ใน 4 ของผู้คนเหล่านั้นเห็นชอบที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ น่าสนใจว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงเพราะ 'การแสดงออกไม่ตรงกับที่ประชาชนผู้ถูกชี้นำโดยสื่อต้องการจะเห็น'



ควีนนิ่งเฉยเก็บอารมณ์ ไม่แสดงออกต่อหน้าสาธารณะตามแบบราชินีที่เคยเป็นมายาวนาน เธอปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกเพื่อปกป้องสมาชิกในครอบครัว หากถามผมว่าผิดไหมที่เธอไม่แสดงความเสียใจอย่างเปิดเผย ผิดไหมที่เธอไม่จัดงานพิธีศพเช่นเดียวกับคนในราชวงศ์ ผมตอบได้เลยว่า 'ไม่ผิด' แต่เมื่อประชาชนถูกชี้นำโดยสื่อให้เห็นว่าสิ่งที่ควีนทำ 'ไม่เป็นที่พอใจ' เพราะพวกเขาไม่สามารถขายข่าวจากความนิ่งเฉยของควีนได้ การสร้างข่าวเสียหายย่อมได้รับความสนใจจากผู้คนมากกว่า เรื่องเหล่านี้พิสูจน์ได้จากพาดหัวข่าวอื้อฉาวที่ได้รับความสนใจอย่างเด่นชัด

ถึงจุดที่ 'ควีนเอลิซาเบธที่ 2' ต้องตัดสินใจด้วยความเข้มแข็ง กล้าหาญ และยอมโอนอ่อนด้วยข้อเสนอแนะ 'เบี่ยงเบนหายนะ' จากโทนี่ แบลร์

ตอนต้นเรื่องมีฉากที่ควีนพูดถึง 'การดำรงอยู่' ของสถาบันกษัตริย์เพื่อใช้ประสบการณ์ในการแนะนำ นำทางและตักเตือนรัฐบาลในเวลานั้น ๆ
ในขณะเดียวกันตลอดทั้งเรื่อง หนังก็แสดงให้เห็นถึง 'คำแนะนำจากรัฐบาล' เพื่อรักษา 'การดำรงอยู่' ของสถาบันกษัตริย์



สิ่งที่จะทำให้ 'ราชอาณาจักร' เดินหน้าไปได้ด้วยดีคือการเกื้อหนุนซึ่งกันและกันระหว่าง 'รัฐบาล' กับ 'สถาบันกษัตริย์'
หนังกำลังนำเสนอภาพความช่วยเหลือเกื้อกุลกันระหว่าง 'รัฐบาล' กับ 'สถาบันกษัตริย์' โดยเฉพาะฉากสุดท้ายของหนังที่แสดงให้เห็น 'ความเข้ากันได้ดี' ของควีนกับโทนี่ แบลร์

คุณค่าของ 'The Queen' ส่วนหนึ่งคือการที่หนัง 'โฆษณาชวนเชื่อ' ได้อย่างเป็นกลาง บุคคลสำคัญในหนังล้วนแล้วแต่ถูกสร้างภาพลักษณ์ด้านบวกโดยใช้ 'สื่อภาพยนตร์'
- 'ควีนเอลิซาเบธที่ 2' จากผู้เคร่งครัดธรรมเนียมปฏิบัติตามแบบอนุรักษ์นิยมได้แสดงความเข็มแข็ง กล้าหาญ ถ่อมตนและยอมปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก แถมหนังยังสื่อให้เห็นจุดยืนของควีนจากจุดเริ่มต้นได้อย่างชัดเจน
- 'โทนี่ แบลร์' ได้รับความนิยมเป็นนายกรัฐมนตรีจากนโยบายปกครองรูปแบบ 'เสรีนิยม' ที่ทันสมัย แต่ยังสนับสนุนการดำรงอยู่ของระบอบกษัตริย์ โดยที่หนังใช้คนรอบตัวโทนี่ แบลร์เป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านสถาบันอย่างชัดเจน
- 'เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์' รัชทายาทลำดับที่ 1 ได้ภาพลักษณ์ 'คนสมัยใหม่' ที่กล้าต่อต้านแนวคิด 'อนุรักษ์นิยม' และได้ใช้ 'สื่อ' นำเสนอภาพความห่วงใยที่มีต่อเจ้าหญิงไดอาน่า (ช่วงนั้นมีข่าวว่าเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุ)
- 'สถาบันกษัตริย์' ถูกหยิบประเด็นที่คนนอกมองว่า 'เย็นชา' ขึ้นมาให้เห็นเหตุผลจากธรรมเนียมปฏิบัติอันยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน speech ของควีนท้ายเรื่องที่สื่อให้เห็นถึงการเก็บอารมณ์เนื่องจาก 'ห่วงใยผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่' และยังแสดงใช้โอกาสนี้บอกกล่าวถึง 'ความพอเพียง' ไม่ฟุ่มเฟือยเกินตัวของสถาบัน รวมทั้งเรื่องราชวงศ์อังกฤษซึ่งดำรงอยู่ด้วย 'ภาษีประชาชน' ก็เสียภาษีเช่นเดียวกับประชาชน ซึ่งในเวลา 3 ปีต่อมาหลังจากภาพยนตร์ออกฉาย เราก็ได้เห็นการที่รัฐสภาอังกฤษมีมติให้สำนักราชวังเปิดวังบัคกิ้งแฮมให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมหารายได้ชดเชยภาษีประชาชนที่เสียไป



เมื่อสถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วย 'ความนิยม' เราจึงได้เห็นควีนเอลิซาเบธที่ 2 'เอาตัวรอด' ด้วยการปรับตัวให้เข้ากับโลกสมัยใหม่

พูดถึงเรื่อง 'ความนิยม' ในฉากสุดท้ายที่ 'ควีนเอลิซาเบธที่ 2' พูดกับ 'โทนี่ แบลร์' ว่า
"คุณเห็นพาดหัวข่าวเหล่านั้น คุณอาจคิดได้ว่าสักวันมันคงเกิดกับเรา และมันเกิดขึ้นแน่คุณแบลร์ แบบปุ๊บปั๊บไม่มีเตือนล่วงหน้าด้วย"
ถึงตอนนี้โทนี่ แบลร์คงเข้าใจแล้วเมื่อ 'คะแนนนิยม' ของเขาลดฮวบฮาบจากการเป็นพันธมิตรสหรัฐอเมริกาบุกประเทศอิรัก



ที่สุดแล้วถ้าเราบอกว่า 'เจ้าหญิงไดอาน่า' ได้ประโยชน์จากสื่อจนกลายเป็น 'เจ้าหญิงในดวงใจประชาชน'
เราก็ได้เห็นราชวงศ์อังกฤษได้ประโยชน์จากสื่อภาพยนตร์ 'The Queen' เช่นเดียวกัน

หรือว่าแท้จริงแล้ว 'ผู้อยู่รอด' คือผู้ที่สามารถใช้สื่อได้อย่างชาญฉลาด เพราะโลกใบนี้ถูกกำหนดกระแสด้วย 'สื่อ' ต่าง ๆ ชี้นำอยู่ตลอดเวลา

9/10

หนังโปรดของข้าพเจ้า: https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่