10 หนังที่สอนคุณในสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการทำหนัง

การทำหนังไม่ใช่แค่ออกไปถ่ายนักแสดงเก่งๆ มันยังเป็นสื่อที่ผสมผสานกันระหว่างการใช้เสียง,เพลง,แสง,การถ่ายภาพ,การจัดองค์ประกอบ(มีส-ออง-แซง),ตัดต่อ,เทคนิคพิเศษ และการเขียนบท บางครั้งคนทำหนังใช้เครื่องมือการทำหนังในสไตล์ที่คล่องแคล่วและเต็มไปด้วยการสร้างสรรค์ใหม่ๆ ซึ่งได้รับแรงดลใจ  และรับอิทธิพลมาจากนักทำหนังที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้า หนังเหล่านี้ไม่ได้มีอิทธิพลเหมือนกันหมด แต่ทั้งนี้หนังแต่ละเรื่องที่ยกตัวอย่างมา แสดงให้เห็นว่า อย่างน้อยๆก็เป็นแบบฝึกหัดการทำหนังซึ่งสอนเราในบทเรียนอันประเมินค่าไม่ได้ที่หนังหนึ่งเรื่องถูกผลิตกันขึ้นมา

1. Citizen Kane (1941)



สอนคุณเกี่ยวกับ : การเคลื่อนกล้อง,มุมภาพ, โฟกัสภาพ และการตัดต่อ

ขณะที่ผู้ชมส่วนใหญ่สนุกกับ Citizen Kane มีคนอีกจำนวนหนึ่งนั่งเกาหัวแกรกๆว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถูกพูดบ่อยครั้งว่าเป็นหนังดีที่สุดตั้งแต่มีการสร้างหนังขึ้นมา เหตุผลเพราะ ออร์สัน เวลส์ ทำลายกฎทั้งหมดในการวางกล้องในมุมที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน และเคลื่อนกล้องในวิธีใหม่ที่ประหลาดและน่าตื่นเต้น เขายังใช้เทคนิคชัดลึกได้ดี นั่นทำให้รักษาการมองเห็นโดยง่ายทั้งพื้นหน้าและพื้นหลัง ขณะที่ตัวหนังยังไม่ถูกพูดถึงมากนักในปี 1940 แต่ต่อมาก็ถูกพูดกันมากว่าเป็นการบุกเบิกที่ใช้กันในปัจจุบัน และเป็นที่ยอมรับกันทางเทคนิคภาพยนตร์

ซีนใคร่พิจารณา : การเห็น เคน ตอนเด็ก กำลังโยนลูกบอลหิมะในวันหิมะตกเหมือนภาพวาด แทนที่จะตัดไปซีนอื่น เวลส์ปล่อยให้การแสดงดำเนินต่อเนื่องไปโดยดึงกล้องเข้ามาข้างในผ่านหน้าต่างกระท่อมเพื่อเผยให้เห็นพ่อแม่ที่กำลังสนทนาเกี่ยวกับอนาคตของลูกชาย ขณะที่กล้องติดตามพ่อแม่ผ่านซีนไป เคน ยังอยู่ในพื้นหลังเสมอ ทั้งไกลห่างและตัดขาดการมีส่วนร่วม มันเรียบง่าย มีประสิทธิภาพ และเป็นการปฎิวัติ(ในเวลานั้น)


2. Breathless (1960)



สอนคุณเกี่ยวกับ : การตัดต่อ, เหตุและผล

เมินเฉยระเบียบปฎิบัติของการตัดต่อ - ภาพยนตร์ Breathless (หรือ À bout de souffle) โดย ฌอง - ลุค โกดาด์ ทั้งสับสนและน่าตื่นเต้น มันทำให้ผู้ชมตื่นตัวในการรับชม ซึ่งใช้รูปแบบการตัดต่อแบบไม่ต่อเนื่องที่เรียกว่า  'จัมพ์ คัทส์' (jump cuts) นักแสดงมีการเปลี่ยนตำแหน่งในฉากหรือห้วงเวลาอย่างกะทันหันเป็นผลให้คล้ายการโผบินไปข้างหน้าอย่างฉับพลัน นักทำหนังอเมริกันจดจำและเริ่มทำหนังของพวกเขาให้ไวและกระชับบ้าง - ส่งผลให้นำไปสู่การเริ่มต้นของหนัง 'อเมริกันนิวเวฟ'  และยังเป็นนิยามของคำว่าภาพยนตร์ร่วมสมัยอีกด้วย

ซีนใคร่พิจารณา : ขณะที่ มิเชล ให้ แพทริเซีย นั่งรถใหม่ที่เพิ่งขโมยมา โกดาด์(ผู้กำกับ) เใช้วิธีตัดต่อที่หนักหน่วง เวลาที่ปรากฎในซีนจึงกระโดดไปข้างหน้าอย่างฉับพลัน ในขณะที่รถและคนเดินถนนก็หายไป อย่างไรก็ตามบทสนทนายังดูไหลลื่นและเข้าใจได้ดีเหมือนเดิม


3. Dark Star (1974)


สอนคุณเกี่ยวกับ : งานทุนต่ำ, ฉากดีไซน์

เสียงคุณภาพต่ำ และภาพดูราคาถูก (เอเลี่ยนดูเหมือนลูกบอลชายหาด) มีสิ่งจำนวนมากที่สามารถเรียนรู้มาจากหนังไซไฟคลาสสิคของ จอห์น คาร์เพนเตอร์ เรื่องนี้ โดยโปรเจ็คต์เริ่มต้นตอนที่เขายังเรียนหนังอยู่ แต่ในที่สุดก็อัพเกรดขึ้นมาเป็นหนังเรื่องแรกของคาร์เพนเตอร์  ก่อนมีหนังเรื่อง Clerks. (1994), El mariachi (1992) หรือ The Blair Witch Project (1999) - Dark Star เคยแสดงให้เห็นมุมกล้องการถ่ายภาพรูปแบบใหม่ และบทภาพยนตร์อันหลักแหลม ทั้งหมดนี้จึงถูกจัดให้กลายเป็นหนังที่ดีในบัดดล

ซีนใคร่พิจารณา : ฉากลิฟท์ใน Dark Star เป็นฉากทั้งน่าหัวร่อ และการประดิษฐ์คิดค้นที่ไม่ธรรมดา มันอาจดูคล้าย แดน โอ แบนนอน(หลังจากนั้นไปเขียนบท Alien) กำลังตกลิฟท์ไปตาย แต่ตามจริงแล้วเขานอนเหยียดบนพื้นด้วยแผ่นไม้ที่วางเท้าของเขาไว้ต่างหาก คาร์เพนเตอร์ เพิ่มความเครียดด้วยการให้ลิฟท์เกือบจะชน แบนนอน แต่มันเป็นเพียงพลาสติกบอร์ดที่ถ่ายระยะใกล้ผสมกับลิฟท์และเสียงเอฟเฟคท์ ทั้งเรียบง่ายและน่าขัน แต่มีประสิทธิภาพได้อย่างน่าแปลกใจ


4. Blow Out (1981)


สอนคุณเกี่ยวกับ : เสียงเอฟเฟคท์

Blow Out ไม่ประสบความสำเร็จทางรายได้จนเกือบเป็นหนังระทึกขวัญที่ต้องลบจากประวัติศาตร์การทำหนังของ ไบรอัน เด พัลม่า ไปเสียแล้ว โชคดีที่ผู้คลั่งหนังส่งเสียงเชิดชูอย่างต่อเนื่อง(ทั้งการเล่าเรื่องและเทคนิค) Blow Out มีกระบวนการสร้างละเอียด โดยเป็นเรื่องราวของคนบันทึกเสียง แจ๊ค เทร์รี่ (จอห์น ทราโวลต้า) พบฆาตรกรที่เขาบันทึกเสียงไว้อย่างไม่ตั้งใจขณะที่เขาตรวจสอบเสียงเอฟเฟคท์อยู่ แม้ว่าหนังจะเป็นเหมือนการเคารพต่อ เรื่อง Blow-Up(1966) โดยผู้กำกับ มีเกลันเจโล อันโตนีโอนี  ซึ่งเป็นหนังที่ทะลายกรอบด้วยการสร้างนวันตกรรมแบบใหม่

ซีนใคร่พิจารณา : ซีนที่ ทราโวลต้า บันทึกเสียงสำคัญของ ‘blow out’ ที่มีเสียงลักษณะสะกดจิต เป็นเวลาเกือบ 5 นาที่ ที่ ไบรอัน เด พัลม่า ให้ผู้ชมนั่งและฟังเสียงสภาพแวดล้อมอย่างเดียว

ทราโวลต้า ยืนอยู่ในความมืดมิดกำลังบันทึกเสียงลมกรอบแกรบของต้นไม้ยามค่ำคืน ในขณะที่เขาย้ายไมโครโฟนไปยังเสียงทะเลาะกันของคู่รัก เสียงรบกวนจ๊อกแจ๊กแปลกประหลาดกวนเขา กล้องตัดไปนับ 100 เมตร ทิ้งให้ ทราโวลต้า ยืนไกลห่างเปิดเผยให้ได้ยินเสียงรบกวนดังมาจากกบตัวเล็ก กบตัวเล็กกระโดดลงน้ำแต่เสียงของน้ำเกยทับกับร่างกายฟังดูเหมือนใหญ่โต ต่อมาเสียงปริศนาปลุกเร้าและน่าสนใจต่อ ทราโวลต้า เสียงรบกวนนี้ไม่ได้ถูกอธิบายในซีน และยังน่าสังเกตว่า ไบรอัน เด พัลม่า ไม่เพียงแนะนำตัวละครได้อย่างผิดแปลกแต่ยังแนะนำอาวุธของฆาตกรอีกด้วย


5. Goodfellas (1990)


สอนคุณเกี่ยวกับ : การใช้เสียงเพลงซาวน์แทร็คเพื่อส่งเสริมการแสดง

มาร์ติน สกอร์เซซี่ ไม่ได้ทำหนังเกี่ยวกับเพลงเท่านั้น (The Last Waltz, No Direction Home) แต่เพลงยังช่วยทำหนังของเขาอีกด้วย เขาเป็นผู้กำกับร็อคแอนด์โรลตัวจริงเสียงจริง ผู้ซึ่งผสานเพลงและการถ่ายภาพให้ดูดีมีราคาและทรงพลัง เพลงซาวน์แทร็คสำหรับแก๊งสเตอร์กลุ่มนี้ถือเป็นอมตะอันเยี่ยมยอด เกือบทั้ง 50 เพลง ที่พูดแทนอารมณ์ของตัวละครบนจอได้

ซีนใคร่พิจารณา : ตัวอย่างที่ดีในความเป็นร็อคแอนด์โรลของ สกอร์เซซี่ มาถึงเมื่อผู้ชมเห็น สุภาพบุรุษจิมมี่ (โรเบิร์ต เดอ นี่โร) จ้องมอง เรย์ ลิออตต้า ที่พร้อมจู่โจม มอร์รี่  กล้องค่อยๆซูมหน้า จิมมี่ อย่างช้าๆ ในขณะที่เพลงไซคีเดลิค Sunshine of Your Love โดย ครีม กำลังเริ่มบรรเลงอย่างเข้ากัน ชัดเจนว่าความคิดของ จิมมี่ เอาแน่เอานอนไม่ได้เกี่ยวกับการสังหาร ขณะที่ผู้ชมได้ยินเนื้อร้องที่ว่า "มันย่างใกล้อรุณรุ่ง ขณะที่แสงสว่างปิดดวงตาอันแสนล้า..." มันเป็นการผสมพลังอำนาจของการแสดง การกำกับ และการเลือกเพลง ที่สุดยอด


-มีต่อ-
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่