สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 425
เมื่อทำงานได้ครบ 1 ปี ก็มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตผม เมื่อเจ้าของร้านได้รับผลกำไรอย่างดี จึงมีโครงการจะเปิดสาขาแห่งใหม่เพิ่มเติมขึ้น ผมจึงได้โอกาสเจรจาต่อรองขอเช่าร้านที่ทำอยู่ ณ ตอนนั้นมาบริหารเอง การต่อรองเป็นไปอย่างเข้มข้นพอสมควร เนื่องจากไม่ได้มีแต่ผมคนเดียวเท่านั้นที่ต้องการ กุ๊กอีกหนึ่งท่านชาวจีน ซึ่งเป็นคนดูแลเรื่องการเงินของร้าน ก็ต้องการเช่าต่อมาบริหารเช่นกัน
ในที่สุดผมซึ่งเป็นผู้กุมสูตรอาหาร และเสนอราคาค่าเช่าสูงกว่า จึงได้รับสิทธิในการเช่าร้าน เริ่มตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นไป
แต่ปัญหาสำคัญก็เกิดขึ้นกับผม เพราะจะต้องหาเงินมาเป็นเงินประกัน+ค่าเช่าล่วงหน้า+เงินค่าตกแต่งและซื้อวัตถุดิบเข้าร้าน
ซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุนรวมทั้งหมด 3.5 ล้านบาทเลยทีเดียว
สำหรับการทำงานอย่างเต็มตัวที่ร้านนี้ผมกับแฟนมีรายได้รับรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 300000 บาทต่อเดือน โดยแบ่งเป็น 150000 จากเงินเดือน และ150000มาจากส่วนแบ่ง ของผมในช่วงหลัง 21.00น. นั่นเอง
การใช้จ่ายเงินของผมจะจ่ายเฉพาะค่าเช่าบ้านและส่งให้ครอบครัวเท่านั้น พยายามกินทุกมื้อที่ร้าน ส่วนแฟนก็มีซื้อกระเป๋าเสื้อผ้าที่เธออยากได้ตามประสาผู้หญิงบ้าง ซึ่งผมก็เห็นดีด้วย เพราะทำงานเหนื่อยมามากแล้ว
ทำให้ครบหนึ่งปีทำให้ผมกับแฟนมีเงินเก็บทั้งสิ้น 2.5 ล้านบาท ซึ่งผมต้องหาเงินอีก 1 ล้านบาทมาเพิ่ม ถึงจะดำเนินการเช่าร้านมาบริหารเองได้ เมื่อเอ่ยปากเรื่องเงิน 1 ล้านบาทจากเพื่อนๆที่นี่ ถึงแม้จะเป็นเงินมากโข แต่กลับมีผู้จะลองเสี่ยงลงทุนกับผมหลายราย
ที่สุดแล้ว ผมได้หุ้นส่วนในการเช่าร้านครั้งนี้อีก 2 คน โดยหนึ่งในนั้น เป็นอดีตหัวหน้าฝ่ายการตลาดบัตรเครดิตของธนาคารสีม่วงในประเทศไทยเลยทีเดียว ที่ยินดีมาตกนรกด้วยกัน
1 มกราคม 2010 เป็นวันแรกของการเริ่มต้นบริหารร้านของพวกเรา โดยเรายังทำงานหนักเหมือนเดิม ต่อมามีการขยายสาขาโดยการเช่าพื้นที่เปิดร้านใหม่บ้าง ซื้อเป็นของเราเองบ้าง ในปี 2011 พวกเรามีสาขารวมกันถึง 9 แห่ง แต่ก็ต้องปิดกิจการไป 2 แห่งในเวลาต่อมา (การเปิดร้านอาหารจริงๆแล้วมีปัญหาและอุปสรรคมากมาย ไว้ผมจะมาเล่ารายละเอียดเรื่องการประกอบธุรกิจร้านอาหารในสวีเดนให้ฟังโอกาสหน้านะครับ)
ในปี 2012 หุ้นส่วนของผมได้ตกลงแยกไปเปิดร้านเป็นของตัวเองอย่างอิสระสองท่าน ปัจจุบันเรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ปี 2013 แฟนผมเรียนจบปริญญาโทใบที่ 3 และกลับเมืองไทยเพื่อรอสอบแข่งขันผู้พิพากษาและอัยการสนามจิ๋ว เราจบสถานะความเป็นแฟนระยะเวลา 8 ปีนับแต่นั้นด้วยเหตุผลส่วนตัวหลายๆประการของเธอ แต่ผมยังคงสถานะพี่ชายที่พร้อมช่วยเหลือเธอเสมอ เรียกว่าจบกันด้วยดี
ปัจจุบันหลังจากแบ่งหุ้นแล้ว ผมเป็นเจ้าของร้านอาหารไทยที่มีสาขามากที่สุดในสต็อกโฮม (เฉพาะที่เจ้าของเป็นคนไทย) จำนวน 5 สาขา มูลค่ารวมประมาณ 20 ล้านบาท โดยไม่นับรวมสาขาแรกที่ผมยังคงเช่าอยู่จนถึงปัจจุบัน (ร้านนี้ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของผมจึงไม่ขอนับรวม)
หวังว่าเรื่องราวของผมจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้าง โชคดีมีความสุขทุกท่านนะครับ
ในที่สุดผมซึ่งเป็นผู้กุมสูตรอาหาร และเสนอราคาค่าเช่าสูงกว่า จึงได้รับสิทธิในการเช่าร้าน เริ่มตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นไป
แต่ปัญหาสำคัญก็เกิดขึ้นกับผม เพราะจะต้องหาเงินมาเป็นเงินประกัน+ค่าเช่าล่วงหน้า+เงินค่าตกแต่งและซื้อวัตถุดิบเข้าร้าน
ซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุนรวมทั้งหมด 3.5 ล้านบาทเลยทีเดียว
สำหรับการทำงานอย่างเต็มตัวที่ร้านนี้ผมกับแฟนมีรายได้รับรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 300000 บาทต่อเดือน โดยแบ่งเป็น 150000 จากเงินเดือน และ150000มาจากส่วนแบ่ง ของผมในช่วงหลัง 21.00น. นั่นเอง
การใช้จ่ายเงินของผมจะจ่ายเฉพาะค่าเช่าบ้านและส่งให้ครอบครัวเท่านั้น พยายามกินทุกมื้อที่ร้าน ส่วนแฟนก็มีซื้อกระเป๋าเสื้อผ้าที่เธออยากได้ตามประสาผู้หญิงบ้าง ซึ่งผมก็เห็นดีด้วย เพราะทำงานเหนื่อยมามากแล้ว
ทำให้ครบหนึ่งปีทำให้ผมกับแฟนมีเงินเก็บทั้งสิ้น 2.5 ล้านบาท ซึ่งผมต้องหาเงินอีก 1 ล้านบาทมาเพิ่ม ถึงจะดำเนินการเช่าร้านมาบริหารเองได้ เมื่อเอ่ยปากเรื่องเงิน 1 ล้านบาทจากเพื่อนๆที่นี่ ถึงแม้จะเป็นเงินมากโข แต่กลับมีผู้จะลองเสี่ยงลงทุนกับผมหลายราย
ที่สุดแล้ว ผมได้หุ้นส่วนในการเช่าร้านครั้งนี้อีก 2 คน โดยหนึ่งในนั้น เป็นอดีตหัวหน้าฝ่ายการตลาดบัตรเครดิตของธนาคารสีม่วงในประเทศไทยเลยทีเดียว ที่ยินดีมาตกนรกด้วยกัน
1 มกราคม 2010 เป็นวันแรกของการเริ่มต้นบริหารร้านของพวกเรา โดยเรายังทำงานหนักเหมือนเดิม ต่อมามีการขยายสาขาโดยการเช่าพื้นที่เปิดร้านใหม่บ้าง ซื้อเป็นของเราเองบ้าง ในปี 2011 พวกเรามีสาขารวมกันถึง 9 แห่ง แต่ก็ต้องปิดกิจการไป 2 แห่งในเวลาต่อมา (การเปิดร้านอาหารจริงๆแล้วมีปัญหาและอุปสรรคมากมาย ไว้ผมจะมาเล่ารายละเอียดเรื่องการประกอบธุรกิจร้านอาหารในสวีเดนให้ฟังโอกาสหน้านะครับ)
ในปี 2012 หุ้นส่วนของผมได้ตกลงแยกไปเปิดร้านเป็นของตัวเองอย่างอิสระสองท่าน ปัจจุบันเรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ปี 2013 แฟนผมเรียนจบปริญญาโทใบที่ 3 และกลับเมืองไทยเพื่อรอสอบแข่งขันผู้พิพากษาและอัยการสนามจิ๋ว เราจบสถานะความเป็นแฟนระยะเวลา 8 ปีนับแต่นั้นด้วยเหตุผลส่วนตัวหลายๆประการของเธอ แต่ผมยังคงสถานะพี่ชายที่พร้อมช่วยเหลือเธอเสมอ เรียกว่าจบกันด้วยดี
ปัจจุบันหลังจากแบ่งหุ้นแล้ว ผมเป็นเจ้าของร้านอาหารไทยที่มีสาขามากที่สุดในสต็อกโฮม (เฉพาะที่เจ้าของเป็นคนไทย) จำนวน 5 สาขา มูลค่ารวมประมาณ 20 ล้านบาท โดยไม่นับรวมสาขาแรกที่ผมยังคงเช่าอยู่จนถึงปัจจุบัน (ร้านนี้ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของผมจึงไม่ขอนับรวม)
หวังว่าเรื่องราวของผมจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้าง โชคดีมีความสุขทุกท่านนะครับ
ความคิดเห็นที่ 143
1. สำหรับบางท่านที่จะขอดูหลักฐาน 20 ล้าน บอกเลยว่า ผมไม่มีเงินสดให้ท่านดูนะครับ เพราะอย่างที่เขียนไว้ที่หัวกระทู้ ผมมีสินทรัพย์มูลค่า 20 ล้านครับ ไม่ได้ถือเงินสด ผมเห็นเพื่อนๆหลายคนในพันทิปอยู่ที่สวีเดน หากอยากมาเยี่ยมที่ร้าน หลังไมค์มา ผมยินดีต้อนรับครับ
2. กระทู้นี้ผมจะเขียนเรื่อยๆถึงเหตุการที่ผ่านเข้ามาสี่ ปีตามหัวข้อกระทู้ ดังนั้น คาดว่า จะยาวนะครับเพราะผมไม่ได้ถูกหวยครับ จะได้เขียนย่อหน้าเดียวจบ
3. ผมจะพยายามเล่าอย่างไม่เครียด เป็นกันเอง เข้าใจง่าย เพื่อนๆจะได้เห็นถึงแนวคิด วิธิการของทำงานของผมว่าทำอย่างไรถึงมีวันนี้ได้ เพราะผมจะเก็บไว้ให้ลูก(ถ้าหาเมียได้)อ่านเช่นกัน
4. สำหรับท่านที่ขี้เกียจรอ เพราะมันจะยาว ผมจะบอกให้เลยครับว่า สุดท้ายแล้ว ผมเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารที่สวีเดน ปัจจุบันเหลือ 5 สาขา มูลค่าสาขาละประมาณ 4 ล้านบาท รวมสินทรัพย์ที่ผมมีมูลค่า 20 ล้านบาทครับ
2. กระทู้นี้ผมจะเขียนเรื่อยๆถึงเหตุการที่ผ่านเข้ามาสี่ ปีตามหัวข้อกระทู้ ดังนั้น คาดว่า จะยาวนะครับเพราะผมไม่ได้ถูกหวยครับ จะได้เขียนย่อหน้าเดียวจบ
3. ผมจะพยายามเล่าอย่างไม่เครียด เป็นกันเอง เข้าใจง่าย เพื่อนๆจะได้เห็นถึงแนวคิด วิธิการของทำงานของผมว่าทำอย่างไรถึงมีวันนี้ได้ เพราะผมจะเก็บไว้ให้ลูก(ถ้าหาเมียได้)อ่านเช่นกัน
4. สำหรับท่านที่ขี้เกียจรอ เพราะมันจะยาว ผมจะบอกให้เลยครับว่า สุดท้ายแล้ว ผมเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารที่สวีเดน ปัจจุบันเหลือ 5 สาขา มูลค่าสาขาละประมาณ 4 ล้านบาท รวมสินทรัพย์ที่ผมมีมูลค่า 20 ล้านบาทครับ
ความคิดเห็นที่ 426
มีเพื่อนๆหลังไมค์มาเยอะมาก ผมจะหาเวลามาตอบให้นะครับ
สำหรับท่านที่อยากได้หนังสือพลิกชีวิต ส่งเสริมกำลังใจ ผมขอแนะนำ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก และ พ่อรวยสอนลูก
สองเล่มนี้ให้แง่คิดในการดำเนินชีวิตให้ก้าวหน้าดีมากครับ
ที่สำคัญ คิดดี ทำดี รักษาศีล5 ท้ายสุดจะนำพาความสุขมายังชีวิตแน่นอนครับ สวัสดี
สำหรับท่านที่อยากได้หนังสือพลิกชีวิต ส่งเสริมกำลังใจ ผมขอแนะนำ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก และ พ่อรวยสอนลูก
สองเล่มนี้ให้แง่คิดในการดำเนินชีวิตให้ก้าวหน้าดีมากครับ
ที่สำคัญ คิดดี ทำดี รักษาศีล5 ท้ายสุดจะนำพาความสุขมายังชีวิตแน่นอนครับ สวัสดี
ความคิดเห็นที่ 7
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญก็คือ ผมต้องผ่อนรถยนต์(ใช้ในการขนของ) ทั้งเงินที่นำมาลงทุน ผมกดมาจากบัตรเครดิตทั้งหมด ดอกเบี้ยมหาศาลบานตะไทมาก จนหลังๆต้องกดใบโน้นมาจ่ายใบนี้ เงินเดือนที่ได้มาต้องนำมาจ่ายบัตรเครดิตรวมทั้งผ่อนรถ หมดตรูดทุกเดือน จึงอยากบอกเพื่อนๆว่า หากจะกดเงินจากบัตรเครดิตมาใช้ โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่อย่างนั้นจะชักหน้าไม่ถึงหลังอย่างผม เพราะนอกจากดอกเบี้ยแล้ว ยังมีค่าปรับ ค่าทวงถามอีกสารพัด โหดมากจริงๆ
เพื่อนฝูงที่เคยมีก็หายไป เมื่อพวกท่านๆ มายืมสตางค์ แรกๆผมก็หยิบยื่นให้ 500 – 1000 หมุนๆกันไป แต่ผมกลับไม่เคยได้คืน เพราะท่านทั้งหลายคิดว่า ผมมีกิจการหลายอย่าง หลายสาขา ไม่คืนผมคงไม่เดือดร้อน ครั้งต่อๆมาผมก็ไม่ได้ให้ เพราะมันไม่มีจริงๆ ก็เลยหายหน้าไปทีละคนสองคน ด้วยทุกคนคิดว่าผมใจดำ แต่แหมจะให้ผมหัวใจสีอื่นคงจะไม่ได้เพราะผมตัวดำหัวใจคงจะไม่สีชมพู 55
แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมาเป็นประสบการณ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งซื้อของราค่าส่ง เรียกได้ว่าบู๊ตขายสินค้าตามโลตัสบิ๊กซี ผมมองปุ๊บนี่รู้เลยว่าต้นทุนต่อชิ้นเท่าไหร่ รู้สึกว่าตัวเองเทพมาก(ทุเรศจริง) เรียนรู้เรื่องการเจรจาต่อรอง การทำสต็อก การทำงานกับคนหมู่มาก การรับมือกับปัญหาจิปาถะรายวัน เช่นโดนโกง ของหาย อุปกรณ์เสีย ตำรวจบุกร้านอินเตอร์เน็ท รวมทั้งได้รับหน้าตาอันแก่กว่าวัยประมาณ สิบปี เพราะเวลาให้ใครทายอายุตอนนั้น ทุกคนจะคิดว่าผมอายุ 35 มันช่างน่าภูมใจจริงๆ เฟดเฟ่
เมื่อทราบแน่นอนว่าผมจะได้มาเรียนต่อ ผมจึงขายสมบัติทุกชิ้นที่มี เซ้งทุกกิจการ เบ็ดเสร็จแทนที่จะมีทุนไปเรียนต่อบ้าง ปรากฏว่าเหลือหนี้ประมาณ 200000 อีกต่างหาก(หนี้บัตรเครดิต) แต่ผมก็ต้องยอมเพราะทุกอย่างกระชั้นชิดมาก ทุกอย่างขายด่วน และหนี้จำนวนนี้ผมไม่ได้จ่ายตอนนั้นแต่ได้ชำระครบในเวลาต่อมา
ในระหว่างนั้น ผมยื่นเรื่องลาออกจากสำนักงาน เมื่อพี่ๆที่สำนักงานทราบว่าผมจะไปเรียนต่อแต่ไม่มีสตางค์ ทุกคนก็เมตตา รวบรวมเงินให้ผมได้ประมาณ 100000 บาท ทั้งบริจาค เสื้อกันหนาว กระเป๋าเดินทาง รวมถึงทางสำนักงานออกเงินค่าตั๋วเครื่องบิน(ราคาประมาณ 50000)ให้ผมฟรีๆอีกด้วย
ต่อมาพ่อกับแม่ทราบเรื่อง(เพราะน้องชายโทรไปบอก) ท่านจึงจัดแจงกู้เงินมาเพิ่มให้ผมอีก 100000 บาททั้งๆที่หนี้ของครอบครัวก็มากจนแทบจะขยับไม่ได้อยู่แล้ว สำหรับพ่อกับแม่ แม้ผมจะเคยทำตัวเกเร เรียนติด ร เพราะไม่ทำการบ้านส่งเนื่องจากเกลียดครู จนเป็นเรื่องให้คุณครูเรียกผู้ปกครองมาพบ ลองคิดดูว่า พ่อผมเป็นผอ.โรงเรียน แต่ถูกครูของลูกชายเรียกมาพบ มันน่าอายขนาดไหน รวมทั้งสร้างปัญหาให้ท่านปวดหัวมากมาย เช่น ไม่ยอมเรียนรามคำแหง เพราะอยากเรียนวิศวะอินเตอร์โดยไม่ดูฐานะทางบ้านขณะนั้นเลยว่ามีปัญญาจ่ายค่าเทอมหรือเปล่า และอีกหลายๆเรื่อง แต่ท่านทั้งสองก็ยังให้อภัยและเป็นกำลังใจให้ผมเสมอ
เพื่อนฝูงที่เคยมีก็หายไป เมื่อพวกท่านๆ มายืมสตางค์ แรกๆผมก็หยิบยื่นให้ 500 – 1000 หมุนๆกันไป แต่ผมกลับไม่เคยได้คืน เพราะท่านทั้งหลายคิดว่า ผมมีกิจการหลายอย่าง หลายสาขา ไม่คืนผมคงไม่เดือดร้อน ครั้งต่อๆมาผมก็ไม่ได้ให้ เพราะมันไม่มีจริงๆ ก็เลยหายหน้าไปทีละคนสองคน ด้วยทุกคนคิดว่าผมใจดำ แต่แหมจะให้ผมหัวใจสีอื่นคงจะไม่ได้เพราะผมตัวดำหัวใจคงจะไม่สีชมพู 55
แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมาเป็นประสบการณ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งซื้อของราค่าส่ง เรียกได้ว่าบู๊ตขายสินค้าตามโลตัสบิ๊กซี ผมมองปุ๊บนี่รู้เลยว่าต้นทุนต่อชิ้นเท่าไหร่ รู้สึกว่าตัวเองเทพมาก(ทุเรศจริง) เรียนรู้เรื่องการเจรจาต่อรอง การทำสต็อก การทำงานกับคนหมู่มาก การรับมือกับปัญหาจิปาถะรายวัน เช่นโดนโกง ของหาย อุปกรณ์เสีย ตำรวจบุกร้านอินเตอร์เน็ท รวมทั้งได้รับหน้าตาอันแก่กว่าวัยประมาณ สิบปี เพราะเวลาให้ใครทายอายุตอนนั้น ทุกคนจะคิดว่าผมอายุ 35 มันช่างน่าภูมใจจริงๆ เฟดเฟ่
เมื่อทราบแน่นอนว่าผมจะได้มาเรียนต่อ ผมจึงขายสมบัติทุกชิ้นที่มี เซ้งทุกกิจการ เบ็ดเสร็จแทนที่จะมีทุนไปเรียนต่อบ้าง ปรากฏว่าเหลือหนี้ประมาณ 200000 อีกต่างหาก(หนี้บัตรเครดิต) แต่ผมก็ต้องยอมเพราะทุกอย่างกระชั้นชิดมาก ทุกอย่างขายด่วน และหนี้จำนวนนี้ผมไม่ได้จ่ายตอนนั้นแต่ได้ชำระครบในเวลาต่อมา
ในระหว่างนั้น ผมยื่นเรื่องลาออกจากสำนักงาน เมื่อพี่ๆที่สำนักงานทราบว่าผมจะไปเรียนต่อแต่ไม่มีสตางค์ ทุกคนก็เมตตา รวบรวมเงินให้ผมได้ประมาณ 100000 บาท ทั้งบริจาค เสื้อกันหนาว กระเป๋าเดินทาง รวมถึงทางสำนักงานออกเงินค่าตั๋วเครื่องบิน(ราคาประมาณ 50000)ให้ผมฟรีๆอีกด้วย
ต่อมาพ่อกับแม่ทราบเรื่อง(เพราะน้องชายโทรไปบอก) ท่านจึงจัดแจงกู้เงินมาเพิ่มให้ผมอีก 100000 บาททั้งๆที่หนี้ของครอบครัวก็มากจนแทบจะขยับไม่ได้อยู่แล้ว สำหรับพ่อกับแม่ แม้ผมจะเคยทำตัวเกเร เรียนติด ร เพราะไม่ทำการบ้านส่งเนื่องจากเกลียดครู จนเป็นเรื่องให้คุณครูเรียกผู้ปกครองมาพบ ลองคิดดูว่า พ่อผมเป็นผอ.โรงเรียน แต่ถูกครูของลูกชายเรียกมาพบ มันน่าอายขนาดไหน รวมทั้งสร้างปัญหาให้ท่านปวดหัวมากมาย เช่น ไม่ยอมเรียนรามคำแหง เพราะอยากเรียนวิศวะอินเตอร์โดยไม่ดูฐานะทางบ้านขณะนั้นเลยว่ามีปัญญาจ่ายค่าเทอมหรือเปล่า และอีกหลายๆเรื่อง แต่ท่านทั้งสองก็ยังให้อภัยและเป็นกำลังใจให้ผมเสมอ
แสดงความคิดเห็น
จากหนี้หลายแสน สู่ทรัพย์สินยี่สิบล้านในสี่ปี ผมทำได้อย่างไร มาดูกัน
ถามว่าทำไม
ขณะนั้นผมมีอาชีพหลักเป็นทนายความอยู่ในสำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่งย่านสาทร และนอกจากเป็นทนายความแล้ว ผมยังมีอาชีพเสริมอีกหลายอย่าง เช่น ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ รับซ่อมคอมพิวเตอร์ ออกบู๊ตขายของตามห้างสรรพสินค้าเช่นโลตัส รวมถึงเปิดท้ายขายของหน้าห้าง เรียกได้ว่า อะไรที่ผมพอจะหารายได้เพิ่ม ผมก็เอาหมด ผมขายมาทุกอย่างตั้งแต่ชั้นในสตรี เครื่องสำอาง เข็มขัด นาฬิกา หรือแม้กระทั่งจตุคามรามเทพ ผมก็ไปซื้อจากท่าพระจันทร์มาขาย ขอบอกว่าจตุคามนี่กำไรดีมาก รับมาองค์ละ 30 บาท ผมขายได้ 99 - 499 เลยทีเดียว ผมทำทุกอย่างในเวลาเดียวกัน มีลูกน้องเกือบสิบคนที่ต้องดูแล
ตั้งแต่เรียนจบ ผมแทบจะไม่เคยมีวันหยุด กิจวัตรประจำวันต้องตื่นแต่เช้าไปทำงาน เลิกงานทนายออกจากสำนักงานประมาณทุ่มครึ่ง กลับออกมาที่ร้านตามห้างต่างๆ ย้ายบู๊ตบ้าง เก็บสตางค์บ้าง เช็คสต็อคบ้าง เรียบร้อยแล้วกลับคอนโด(เช่าอยู่) และลงมาดูแลร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่(อยู่ใต้คอนโด)ต่อจนถึงเที่ยงคืน ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ ต้องไปซื้อของที่สำเพ็งตั้งแต่ตีสาม(ตลาดเช้า) เพื่อนำมาสต็อกไว้ที่คอนโด รอเอาไปขายต่อไป เรียกได้ว่าเวลาทุกนาทีผมมีค่ามาก เพราะไม่อยากยากจนอีกต่อไป
แม้ผมจะทำหลายอย่างแต่งานที่สำนักงานกฎหมายผมไม่เคยบกพร่อง ผมเป็นทนายแต่ผมรับทำหมดทุกหน้าที่ในสำนักงาน เรียกได้ว่า GB เจนเนอรัลเบ๊ อย่างแท้จริง ใครมีอะไรเดือดร้อน ไหว้วาน ผมยินดีรับใช้ช่วยเหลือ ทำให้ต่อมาผมจึงทราบว่าตั้งแต่พาร์ทเนอร์ยันแม่บ้านทุกท่านต่างรักและเมตตาผมกันหมด
แต่ธุรกิจส่วนตัวที่ผมทุ่มเททำกลับไม่ได้ตอบแทนผมด้วยเงิน กิจการของผมทุกอย่างพอไปได้ แต่ก็ครอบคลุมเฉพาะค่าใช้จ่ายเท่านั้น บางเดือนเข้าเนื้อ สาเหตุเพราะผมใจร้อน ไฟแรง คิดว่าตัวเองเก่ง ทุกอย่างดูง่ายดายไปหมด ก่อนเปิดร้านคำนวนรายรับรายจ่ายแล้วคิดว่าจะได้กำไร แต่พอเอาเข้าจริง ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่เปิดได้ 3 เดือนก็มีคนมาเปิดแข่ง สินค้าตามห้างขายดีเฉพาะช่วงแรก ทั้งต้องจ่ายค่าเช่าวันละ 1500 บาท(ต่อบู๊ต)เป็นอย่างต่ำ ดังนั้นกำไรที่ได้ก็ต้องจ่ายค่าเช่า จ่ายค่าแรงลูกน้องหมด เมื่อหักลบแล้ว ผมไม่มีเงินเหลือเลย