คุณแม่อายุ 59 ปี สูง 163 ซม. น้ำหนัก 81.5 ก.ก. คุณแม่มีโรคประจำตัว จึงหาหมอที่โรงพยาบาลในสังกัดประกันสังคม และรับยามาทานเป็นประจำทุกเดือนค่ะ ยาที่คุณแม่ทานมีทั้งหมด 3 กลุ่ม คือ
1) ลดระดับน้ำตาลในเลือด คือ CHLOPROPAMIDE 250 MG, PIOGLITAZONE 30 MG, METFORMIN 500 MG.
2) ลดความดันโลหิต คือ HCTZ 50 MG, DILTIAZEM-30, ATENOLOL 100 MG, PRAZOSIN 2 MG.
3) ลดไขมันในเลือด คือ SIMVASTANIN 40 MG
***แพ้ยา ENALAPRIL และโซเดียม ถ้าทานยากลุ่มนี้จะทำให้เท้าบวมมาก
เมื่อสมัยสาวๆ คุณทำงานหนัก เพื่อส่งลิงซน 4 ตัว เรียนหนังสือสูงๆ จะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนแม่ จนอายุ ประมาณ 45 ปี (น้ำหนัก 87 ก.ก.) ก็ให้คุณแม่ออกจากงานมาอยู่กับบ้านค่ะ ใช่วงนั้นคุณแม่ยังแข็งแรงเดินได้คล่องแคล่ว เดินได้ไกล เดินได้นาน ยิ่งเดินช๊อปปิ้งนี่มาราธอนมาก ไม่มีเมื่อย ไม่มีบ่น
พออายุ 50 ปี คุณแม่เริ่มเจ็บหัวเข่าข้างซ้ายเล็กน้อยเวลาที่ต้องเดินมากๆ แต่ก็ยังเดินคล่อง แต่เดินได้ไม่ไกลมากเหมือนเก่า อีก 1-2 ปีต่อมา คุณแม่เริ่มเจ็บเข่าด้านขวาด้วย เวลาที่ต้องเดินนานๆจะเริ่มปวดตึงที่ขาทั้งสองข้าง ในช่วงนี้ (อายุ 52) คุณแม่เริ่มหาหมอเพื่อรักษาอาการเจ็บเข่า จากนั้นก็มีอาการรอื่นๆตามมา เช่น เป็นตะคริวที่ขาบ่อยในเวลากลางคืน ขากระตุก ยิ่งพออายุเพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งออกอาการเพิ่มมากขึ้น และหนักขึ้น
พออายุประมาณ 54-55 ปีคุณแม่เริ่มเดินได้ระยะทางน้อยลง เนื่องจากอาการเจ็บเข่าที่เพิ่มขึ้น และเริ่มได้ยามารับประทานเพิ่มขึ้นตามลำดับ จนปัจจุบัน อายุ 59 ปี ก็ยังทานยาอยู่ แต่อาการต่างๆดูเหมือนไม่ทุเลาลงเลย มีแต่เพิ่มและรุนแรงขึ้น ทั้งๆที่รักษามาตั้งแต่เริ่มแสดงอาการ ปกติที่คุณแม่ไปพบหมอเป็นประจำทุกเดือนนั้น มีตรวจวัดความดันโลหิต ค่าความดันปกติ (แต่สูง/ต่ำเท่าไหร่ไม่ทราบค่ะ) เจาะเลือดเพื่อดูน้ำตาลในเลือด มีค่าน้ำตาลในเลือดล่าสุดที่ 152 เคยขึ้นสูงสุดที่ 250 และต่ำสุดที่ 110 ระดับน้ำตาลปกติของคุณแม่จะอยู่ระหว่าง 130-150 ค่ะ เคยขอให้หมอ (ประกันสังคม) ตรวจค่าตับ ไต การทำงานของหัวใจ หรืออื่นๆ ที่เห็นว่าสมควร แต่ทางคุณหมอแจ้งว่า คนช่วงอายุนี้ก็มีอาการแบบนี้เป็นเรื่องปกติ (มันปกติจริงหรือ...???)
ตอนนี้คุณแม่เดินเองได้นิดหน่อย แต่ต้องใช้ไม้พยุง เดินมากไม่ได้ ระยะหลังเริ่มให้คุณแม่นั่งรถเข็นบ้างเวลาที่ต้องเดินไกล อาการที่เป็นตอนนี้ คือ
1) เจ็บเข่า
2) เจ็บฝ่าเท้า คุณแม่แม่บอกว่าบางครั้งมันเจ็บจี๊ดๆ เหมือนเข็มจิ้มที่ฝ่าเท้า ไม่สามารถเดินด้วยเท้าเปล่าได้เนื่องจากเจ็บฝ่าเท้า จึงต้องสวมถุงเท้า หรือรองเท้าแตะเดินภายในบ้าน
3) เท้าบวมและตึงบางครั้งมีอาการเท้าบวม (บวมเหมือนสูบลมยาง)
4) มีอาการชาบริเวณหลังเท้า
5) รอยช้ำที่ฝ่าเท้า อันนี้เพิ่งจะเห็นค่ะตอนที่จะตัดเล็บเท้าให้แม่ พอเอานิ้วกดๆ ดู แม่บอกว่าเจ็บค่ะ...น้องสาวเห็นรอบช้ำนี้เมื่อเดือนที่แล้ว บอกว่าตอนนั้นเล็กกว่านี้ค่ะ และไม่ได้เกิดจากการไปกระแทกของแข็งใดๆ
อยากจะรบกวนสอบถามคุณหมอ/ท่านผู้รู้/ท่านที่มีประสบการณ์คล้ายๆกันนี้ ช่วยแนะนำทีค่ะ
1. ว่าที่ผ่านมาเรารักษาถูกทางถูกโรคหรือไม่
2. อาการต่างๆที่คุณแม่เป็นมันน่าจะมีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง
3. ควรตรวจอะไรบ้างเพื่อให้ทราบผลที่ละเอียดขึ้น
4. โรงพยาบาลไหนที่น่าจะเชี่ยวชาญทางด้านนี้ (ไม่ทราบว่าผิดกฎหรือเปล่า ถ้าผิดกฎรบกวนแจ้งหลังไมค์ก็ได้ค่ะ)
5. สีผิวตรงข้อเท้าบริเวณเหนือตาตุ่ม จะมีสีเข้มมากกว่าบริเวณอื่น (ตามรูป) น่าจะมีสาเหตุมาจากอะไรค่ะ
6. รอยช้ำที่ฝ่าเท้า (ตามรูป) น่าจะเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง มีวิธีแก้ไขหรือรักษาไหมค่ะ
สอบถามอาการ “ฝ่าเท้าช้ำ เท้าบวม เท้าชา” ของคุณแม่ค่ะ
1) ลดระดับน้ำตาลในเลือด คือ CHLOPROPAMIDE 250 MG, PIOGLITAZONE 30 MG, METFORMIN 500 MG.
2) ลดความดันโลหิต คือ HCTZ 50 MG, DILTIAZEM-30, ATENOLOL 100 MG, PRAZOSIN 2 MG.
3) ลดไขมันในเลือด คือ SIMVASTANIN 40 MG
***แพ้ยา ENALAPRIL และโซเดียม ถ้าทานยากลุ่มนี้จะทำให้เท้าบวมมาก
เมื่อสมัยสาวๆ คุณทำงานหนัก เพื่อส่งลิงซน 4 ตัว เรียนหนังสือสูงๆ จะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนแม่ จนอายุ ประมาณ 45 ปี (น้ำหนัก 87 ก.ก.) ก็ให้คุณแม่ออกจากงานมาอยู่กับบ้านค่ะ ใช่วงนั้นคุณแม่ยังแข็งแรงเดินได้คล่องแคล่ว เดินได้ไกล เดินได้นาน ยิ่งเดินช๊อปปิ้งนี่มาราธอนมาก ไม่มีเมื่อย ไม่มีบ่น
พออายุ 50 ปี คุณแม่เริ่มเจ็บหัวเข่าข้างซ้ายเล็กน้อยเวลาที่ต้องเดินมากๆ แต่ก็ยังเดินคล่อง แต่เดินได้ไม่ไกลมากเหมือนเก่า อีก 1-2 ปีต่อมา คุณแม่เริ่มเจ็บเข่าด้านขวาด้วย เวลาที่ต้องเดินนานๆจะเริ่มปวดตึงที่ขาทั้งสองข้าง ในช่วงนี้ (อายุ 52) คุณแม่เริ่มหาหมอเพื่อรักษาอาการเจ็บเข่า จากนั้นก็มีอาการรอื่นๆตามมา เช่น เป็นตะคริวที่ขาบ่อยในเวลากลางคืน ขากระตุก ยิ่งพออายุเพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งออกอาการเพิ่มมากขึ้น และหนักขึ้น
พออายุประมาณ 54-55 ปีคุณแม่เริ่มเดินได้ระยะทางน้อยลง เนื่องจากอาการเจ็บเข่าที่เพิ่มขึ้น และเริ่มได้ยามารับประทานเพิ่มขึ้นตามลำดับ จนปัจจุบัน อายุ 59 ปี ก็ยังทานยาอยู่ แต่อาการต่างๆดูเหมือนไม่ทุเลาลงเลย มีแต่เพิ่มและรุนแรงขึ้น ทั้งๆที่รักษามาตั้งแต่เริ่มแสดงอาการ ปกติที่คุณแม่ไปพบหมอเป็นประจำทุกเดือนนั้น มีตรวจวัดความดันโลหิต ค่าความดันปกติ (แต่สูง/ต่ำเท่าไหร่ไม่ทราบค่ะ) เจาะเลือดเพื่อดูน้ำตาลในเลือด มีค่าน้ำตาลในเลือดล่าสุดที่ 152 เคยขึ้นสูงสุดที่ 250 และต่ำสุดที่ 110 ระดับน้ำตาลปกติของคุณแม่จะอยู่ระหว่าง 130-150 ค่ะ เคยขอให้หมอ (ประกันสังคม) ตรวจค่าตับ ไต การทำงานของหัวใจ หรืออื่นๆ ที่เห็นว่าสมควร แต่ทางคุณหมอแจ้งว่า คนช่วงอายุนี้ก็มีอาการแบบนี้เป็นเรื่องปกติ (มันปกติจริงหรือ...???)
ตอนนี้คุณแม่เดินเองได้นิดหน่อย แต่ต้องใช้ไม้พยุง เดินมากไม่ได้ ระยะหลังเริ่มให้คุณแม่นั่งรถเข็นบ้างเวลาที่ต้องเดินไกล อาการที่เป็นตอนนี้ คือ
1) เจ็บเข่า
2) เจ็บฝ่าเท้า คุณแม่แม่บอกว่าบางครั้งมันเจ็บจี๊ดๆ เหมือนเข็มจิ้มที่ฝ่าเท้า ไม่สามารถเดินด้วยเท้าเปล่าได้เนื่องจากเจ็บฝ่าเท้า จึงต้องสวมถุงเท้า หรือรองเท้าแตะเดินภายในบ้าน
3) เท้าบวมและตึงบางครั้งมีอาการเท้าบวม (บวมเหมือนสูบลมยาง)
4) มีอาการชาบริเวณหลังเท้า
5) รอยช้ำที่ฝ่าเท้า อันนี้เพิ่งจะเห็นค่ะตอนที่จะตัดเล็บเท้าให้แม่ พอเอานิ้วกดๆ ดู แม่บอกว่าเจ็บค่ะ...น้องสาวเห็นรอบช้ำนี้เมื่อเดือนที่แล้ว บอกว่าตอนนั้นเล็กกว่านี้ค่ะ และไม่ได้เกิดจากการไปกระแทกของแข็งใดๆ
อยากจะรบกวนสอบถามคุณหมอ/ท่านผู้รู้/ท่านที่มีประสบการณ์คล้ายๆกันนี้ ช่วยแนะนำทีค่ะ
1. ว่าที่ผ่านมาเรารักษาถูกทางถูกโรคหรือไม่
2. อาการต่างๆที่คุณแม่เป็นมันน่าจะมีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง
3. ควรตรวจอะไรบ้างเพื่อให้ทราบผลที่ละเอียดขึ้น
4. โรงพยาบาลไหนที่น่าจะเชี่ยวชาญทางด้านนี้ (ไม่ทราบว่าผิดกฎหรือเปล่า ถ้าผิดกฎรบกวนแจ้งหลังไมค์ก็ได้ค่ะ)
5. สีผิวตรงข้อเท้าบริเวณเหนือตาตุ่ม จะมีสีเข้มมากกว่าบริเวณอื่น (ตามรูป) น่าจะมีสาเหตุมาจากอะไรค่ะ
6. รอยช้ำที่ฝ่าเท้า (ตามรูป) น่าจะเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง มีวิธีแก้ไขหรือรักษาไหมค่ะ