เรื่องเล่านี้เปรียบเสมือนบทบันทึกที่อยู่ในหัวข้อ "เพื่อน" บนหน้าสารบัญชีวิตของผม
หลังจากได้ทราบข่าวเพื่อนจากเฟสบุค หลังจากที่อยู่ดีๆก็นึกถึงเพื่อนคนหนึ่งสมัยเรียนมัธยมโดยไม่ทราบสาเหตุ
ก็ทราบได้ว่าเพื่อนที่เราคิดถึงอยู่พอดี กลายเป็นเจ้าชายนิทราหลังจากการไปผ่าตัดสมองสองครั้ง
ยอมรับว่าได้ยินข่าวครั้งแรกแล้วน้ำตาซึมแล้วนึกถึงอดีตที่เพื่อนคนนี้ทำอะไรดีๆให้กับผม
ผมยังติดงานอยู่ประมาณสัปดาห์ได้ จึงได้มีโอกาสไปเยี่ยมเพื่อนคนนี้ที่ห้องไอซียู
พอไปถึงก็เจอคุณพ่อ คุณแม่และญาติพี่น้องของเขาอยู่หน้าห้องเต็มไปหมด
รออยู่หน้าห้องสักพักก็ถึงเวลาเยี่ยมจึงเข้าไปเยี่ยมโดยทางโรงพยาบาลเปิดให้เข้าเยี่ยมได้ครั้งละสองคน
ผมจึงเข้าไปน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา พอเข้าไปผมก็ถึงกับผงะ! กับภาพของเพื่อนที่นอนอยู่บนเตียงตรงหน้า
เพื่อนของผมที่มีอาการโคม่า ศีรษะของเขาได้บุบหายไปข้างหนึ่งเนื่องจากหมอได้ผ่าตัดเอากระโหลกซีกขวาออกไป
คอที่ถูกเจาะเพื่อสอดท่อหายใจเข้าไป และท่อต่อเข้าช่องปากระโยงระยางเต็มไปหมด
ผมยืนมองทำใจอยู่สักพักแล้วเดินเข้าไปหาเพื่อน ก้มตัวลงไปพูดที่ข้างหูเขา
โดยพูดเรื่องที่เขาชอบเมื่อเขาฟื้นขึ้นมาจะไปทำกิจกรรมนั้นกัน
ผมเองตกใจเล็กน้อยเมื่อเขากระพริบตารัวๆให้เห็น น้องสาวเขาจึงจับมือของเขา
เขาจึงหันมาหาผมแล้วลืมตา มองหน้าผม ผมตั้งตัวไม่ทันถึงกับตัวแข็งทื่อไปสักพัก
ตาเขาจ้องผมเขม็ง เบิกกว้างและยังมีแววตาให้เห็นถึงแม้ตาของเขาจะแห้งไม่มีน้ำ
ผมตั้งสติได้จึงพูดกับเขา ว่าผมรู้แล้วถึงเรื่องที่เขาสั่งเสียไว้(ซึ่งเขาสั่งเสียไว้กับคุณแม่ และเพื่อนสนิท)
ว่า "ไม่ต้องรั้งเขาไว้ ปล่อยให้เขาไป" ผมพูดกับเขาสักพักแล้วก็บอกให้เพื่อนหลับให้สบาย
และสบายใจได้ จะทำตามที่เขาบอกพูดจบเขาก็หลับตาแล้วหันกลับไปหลับในอิริยาบถเดิม
ผมออกมาจากห้องไอซียู ก็ทราบได้ว่าทางบ้านของเขาต้องการให้เปลี่ยนโรงพยาบาลในวันนั้นพอดี
ผมคิดว่าไหนๆก็หาเวลามาแล้วก็อยู่ยาวให้ถึงที่สุดเลยแล้วกัน จนกระทั่งเขาย้ายไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งเสร็จ
ก็เข้าไปดูอาการเขาต่อ แต่ครั้งนี้คุณพ่อของเขาไม่ขอเข้ามาดูลูกชายของตัวเพราะทำใจไม่ได้
ระหว่างที่ผมคอยดูแลอาการเพื่อน สิ่งที่เปลี่ยนไปหลังจากย้ายโรงบาลเสร็จ คือ ดวงตาของเขาค้างไม่สามารถหลับได้
และเขาไม่มีแววตา ตัวเขาเย็นเฉียบก็คิดในใจว่าอาการเข้าขั้นตรีฑูตมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
สักพักหมอก็ได้เดินเข้ามาแล้วให้ผมเรียกคุณแม่ของเพื่อนมา
สิ่งที่คุณหมอพูดมันเป็นเหมือนซีนหนึ่งในหนัง ที่ผมเคยดูแต่ครั้งนี้เกิดขึ้นกับชีวิตจริง
หมอบอกว่า "อาการของเพื่อนผมตอนนี้ อยู่ได้เพราะยา กับเครื่องช่วยหายใจ เพราะสมองของเขาได้ตายไปแล้ว"
หมอพูดกับคุณแม่เพื่อนผม ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือผมเห็นน้ำตาของแม่เพื่อนผมซึมๆ
ผมพยายามให้กำลังใจคุณพ่อคุณแม่ของเขา และอยู่เฝ้าเพื่อนจนทุกคนกลับผมจึงกลับเป็นคนสุดท้าย
ในคืนนั้นเองผมก็กลับมาหลับเลย ช่วงเช้ามืดผมตื่นขึ้นมาแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นเห็นเพื่อนที่เข้าขั้นตรีฑูตผมเดินมาจากความมืด
แล้วมาบอกว่า "เฮ่ย กูไปแล้วนะ" แล้วก็เดินจากไป ผมเองเฉยๆเพราะคิดว่าคิดไปเองหลังจากนั้นก็ตื่นไปทำงานตามปกติ
หลังจากทำงานเสร็จในวันนั้นก็กลับมานอน ตื่นมาตอนเที่ยงคืนงัวเงียแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นก็เห็นเพื่อนที่เข้าขั้นตรีฑูต
เดินมาจากความมืดอีกแล้วบอกว่า "เฮ่ย กูไปแล้วล่ะนะ" ครั้งนี้ผมจำได้ว่าเขาใส่เสื้อผ้าอะไรเสื้อยืดแขนสั้นคอกลม กางเกงขายาว
ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรก็หลับไปเพราะคิดว่าคิดไปเอง จนกระทั่งตอนเช้ามืดผมตื่นขึ้นมาครึ่งหลับครึ่งตื่นนอนอยู่บนเตียง
เห็นเพื่อนที่เข้าขั้นตรีฑูตเดินเข้ามาอีก ครั้งนี้บอกว่า "เฮ้ย! กูไปจริงๆนะโว้ย" ผมเลยตื่นมานั่งคิดสักพักว่าเอ๊ะ! ยังไง
พอสายๆก็ตัดสินใจอาบน้ำแต่งตัว ไม่โทรหาใครไม่ติดต่อใครเพื่อสอบถามว่าเขาเป็นอย่างไรเสี่ยงไปพิสูจน์ว่าที่เห็นสามครั้งนั่นคืออะไร?
ผมไปที่โรงพยาบาลเขา เดินจ้ำไปที่เตียงห้องไอซียูสิ่งที่ผมเห็นอยู่ข้างหน้าคือ เป็นคนแก่ซึ่งไม่ใช่เพื่อนผมนอนอยู่
ในใจก็วูบว่านี่เราโดนซะแล้วใช่ไหม รีบหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเพื่อนเลยทำเป็นเล่นมุกว่าไอ้เพื่อนผมที่นอนโรงบาลนี่อยู่วัดไหน
แต่ดันได้คำตอบที่จริงจังขึ้นมาว่า อยู่วัดนั้นศาลานี้อย่างละเอียดเล่นซะผมพูดไม่ออกเลย
ผมไม่รอช้าไปวัดที่ตั้งศพเพื่อนโดยทันที พอไปถึงก็ไปเล่าให้คุณพ่อ คุณแม่เขาฟังในเรื่องที่ตนเองได้ประสพ
และไปเคารพศพเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย งานศพผ่านไปด้วยความเรียบง่าย
ในวันที่สามที่เขาเสียชีวิต โดยผมเองคิดว่าครั้งนี้เพ้อเจ้อที่สุดคือ ผมได้ฝันเห็นเพื่อนของผมคนนี้
ในลักษณะที่แตกต่างจากที่เป็น แต่ในฝันกลับทราบว่าเป็นเขา คือ
"ร่างกายเขาแต่งองค์ทรงเครื่องคล้าย เครื่องแต่งกายพระจตุคามรามเทพ
นั่งขัดสมาธิ อยู่บนกลุ่มควันจางที่มีลักษณะเหมือนก้อนเมฆ
ร่างกายของเขาเหมือนมีลักษณะโปร่งใสแต่มีแสงสีขาวใสไม่จ้าดูแล้วสบายตา
ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีสีอะไรเลยโปร่งใส แต่มีแสงสีขาวให้เห็นร่างกาย เครื่องแต่งกายไม่พูดไม่จามาให้เห็นเฉยๆสักพักแล้วก็จากไป"
ผมตื่นพอดี
วันที่เขาเผาศพผมก็ไม่ได้ไปแต่ตามข่าวจากเพื่อนๆว่าเป็นอย่างไร ก็ได้ความว่ากระดูกที่เผาเป็นสีชมพู
สัปเหร่อบอกว่าไม่ค่อยได้เจอกระดูกสีชมพูมานานมาก ส่วนใหญ่ถ้าเป็นสีนี้เชื่อกันว่าจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว
สำหรับผมเชื่อในทางวิทยาศาสตร์มากกว่า ในลักษณะตัวยาที่ให้ก่อนเสียชีวิต
ส่วนความเชื่อทางไสยศาสตร์ มันพิสูจน์ไม่ได้ก็ฟังหูไว้หูแล้วกันฟังแล้วสบายใจก็ฟัง ฟังแล้วไม่สบายใจก็ไม่เก็บมาคิด.
ขอให้เพื่อนผมไปสู่สุคติภูมิ
มาเพื่อลา?
หลังจากได้ทราบข่าวเพื่อนจากเฟสบุค หลังจากที่อยู่ดีๆก็นึกถึงเพื่อนคนหนึ่งสมัยเรียนมัธยมโดยไม่ทราบสาเหตุ
ก็ทราบได้ว่าเพื่อนที่เราคิดถึงอยู่พอดี กลายเป็นเจ้าชายนิทราหลังจากการไปผ่าตัดสมองสองครั้ง
ยอมรับว่าได้ยินข่าวครั้งแรกแล้วน้ำตาซึมแล้วนึกถึงอดีตที่เพื่อนคนนี้ทำอะไรดีๆให้กับผม
ผมยังติดงานอยู่ประมาณสัปดาห์ได้ จึงได้มีโอกาสไปเยี่ยมเพื่อนคนนี้ที่ห้องไอซียู
พอไปถึงก็เจอคุณพ่อ คุณแม่และญาติพี่น้องของเขาอยู่หน้าห้องเต็มไปหมด
รออยู่หน้าห้องสักพักก็ถึงเวลาเยี่ยมจึงเข้าไปเยี่ยมโดยทางโรงพยาบาลเปิดให้เข้าเยี่ยมได้ครั้งละสองคน
ผมจึงเข้าไปน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา พอเข้าไปผมก็ถึงกับผงะ! กับภาพของเพื่อนที่นอนอยู่บนเตียงตรงหน้า
เพื่อนของผมที่มีอาการโคม่า ศีรษะของเขาได้บุบหายไปข้างหนึ่งเนื่องจากหมอได้ผ่าตัดเอากระโหลกซีกขวาออกไป
คอที่ถูกเจาะเพื่อสอดท่อหายใจเข้าไป และท่อต่อเข้าช่องปากระโยงระยางเต็มไปหมด
ผมยืนมองทำใจอยู่สักพักแล้วเดินเข้าไปหาเพื่อน ก้มตัวลงไปพูดที่ข้างหูเขา
โดยพูดเรื่องที่เขาชอบเมื่อเขาฟื้นขึ้นมาจะไปทำกิจกรรมนั้นกัน
ผมเองตกใจเล็กน้อยเมื่อเขากระพริบตารัวๆให้เห็น น้องสาวเขาจึงจับมือของเขา
เขาจึงหันมาหาผมแล้วลืมตา มองหน้าผม ผมตั้งตัวไม่ทันถึงกับตัวแข็งทื่อไปสักพัก
ตาเขาจ้องผมเขม็ง เบิกกว้างและยังมีแววตาให้เห็นถึงแม้ตาของเขาจะแห้งไม่มีน้ำ
ผมตั้งสติได้จึงพูดกับเขา ว่าผมรู้แล้วถึงเรื่องที่เขาสั่งเสียไว้(ซึ่งเขาสั่งเสียไว้กับคุณแม่ และเพื่อนสนิท)
ว่า "ไม่ต้องรั้งเขาไว้ ปล่อยให้เขาไป" ผมพูดกับเขาสักพักแล้วก็บอกให้เพื่อนหลับให้สบาย
และสบายใจได้ จะทำตามที่เขาบอกพูดจบเขาก็หลับตาแล้วหันกลับไปหลับในอิริยาบถเดิม
ผมออกมาจากห้องไอซียู ก็ทราบได้ว่าทางบ้านของเขาต้องการให้เปลี่ยนโรงพยาบาลในวันนั้นพอดี
ผมคิดว่าไหนๆก็หาเวลามาแล้วก็อยู่ยาวให้ถึงที่สุดเลยแล้วกัน จนกระทั่งเขาย้ายไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งเสร็จ
ก็เข้าไปดูอาการเขาต่อ แต่ครั้งนี้คุณพ่อของเขาไม่ขอเข้ามาดูลูกชายของตัวเพราะทำใจไม่ได้
ระหว่างที่ผมคอยดูแลอาการเพื่อน สิ่งที่เปลี่ยนไปหลังจากย้ายโรงบาลเสร็จ คือ ดวงตาของเขาค้างไม่สามารถหลับได้
และเขาไม่มีแววตา ตัวเขาเย็นเฉียบก็คิดในใจว่าอาการเข้าขั้นตรีฑูตมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
สักพักหมอก็ได้เดินเข้ามาแล้วให้ผมเรียกคุณแม่ของเพื่อนมา
สิ่งที่คุณหมอพูดมันเป็นเหมือนซีนหนึ่งในหนัง ที่ผมเคยดูแต่ครั้งนี้เกิดขึ้นกับชีวิตจริง
หมอบอกว่า "อาการของเพื่อนผมตอนนี้ อยู่ได้เพราะยา กับเครื่องช่วยหายใจ เพราะสมองของเขาได้ตายไปแล้ว"
หมอพูดกับคุณแม่เพื่อนผม ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือผมเห็นน้ำตาของแม่เพื่อนผมซึมๆ
ผมพยายามให้กำลังใจคุณพ่อคุณแม่ของเขา และอยู่เฝ้าเพื่อนจนทุกคนกลับผมจึงกลับเป็นคนสุดท้าย
ในคืนนั้นเองผมก็กลับมาหลับเลย ช่วงเช้ามืดผมตื่นขึ้นมาแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นเห็นเพื่อนที่เข้าขั้นตรีฑูตผมเดินมาจากความมืด
แล้วมาบอกว่า "เฮ่ย กูไปแล้วนะ" แล้วก็เดินจากไป ผมเองเฉยๆเพราะคิดว่าคิดไปเองหลังจากนั้นก็ตื่นไปทำงานตามปกติ
หลังจากทำงานเสร็จในวันนั้นก็กลับมานอน ตื่นมาตอนเที่ยงคืนงัวเงียแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นก็เห็นเพื่อนที่เข้าขั้นตรีฑูต
เดินมาจากความมืดอีกแล้วบอกว่า "เฮ่ย กูไปแล้วล่ะนะ" ครั้งนี้ผมจำได้ว่าเขาใส่เสื้อผ้าอะไรเสื้อยืดแขนสั้นคอกลม กางเกงขายาว
ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรก็หลับไปเพราะคิดว่าคิดไปเอง จนกระทั่งตอนเช้ามืดผมตื่นขึ้นมาครึ่งหลับครึ่งตื่นนอนอยู่บนเตียง
เห็นเพื่อนที่เข้าขั้นตรีฑูตเดินเข้ามาอีก ครั้งนี้บอกว่า "เฮ้ย! กูไปจริงๆนะโว้ย" ผมเลยตื่นมานั่งคิดสักพักว่าเอ๊ะ! ยังไง
พอสายๆก็ตัดสินใจอาบน้ำแต่งตัว ไม่โทรหาใครไม่ติดต่อใครเพื่อสอบถามว่าเขาเป็นอย่างไรเสี่ยงไปพิสูจน์ว่าที่เห็นสามครั้งนั่นคืออะไร?
ผมไปที่โรงพยาบาลเขา เดินจ้ำไปที่เตียงห้องไอซียูสิ่งที่ผมเห็นอยู่ข้างหน้าคือ เป็นคนแก่ซึ่งไม่ใช่เพื่อนผมนอนอยู่
ในใจก็วูบว่านี่เราโดนซะแล้วใช่ไหม รีบหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเพื่อนเลยทำเป็นเล่นมุกว่าไอ้เพื่อนผมที่นอนโรงบาลนี่อยู่วัดไหน
แต่ดันได้คำตอบที่จริงจังขึ้นมาว่า อยู่วัดนั้นศาลานี้อย่างละเอียดเล่นซะผมพูดไม่ออกเลย
ผมไม่รอช้าไปวัดที่ตั้งศพเพื่อนโดยทันที พอไปถึงก็ไปเล่าให้คุณพ่อ คุณแม่เขาฟังในเรื่องที่ตนเองได้ประสพ
และไปเคารพศพเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย งานศพผ่านไปด้วยความเรียบง่าย
ในวันที่สามที่เขาเสียชีวิต โดยผมเองคิดว่าครั้งนี้เพ้อเจ้อที่สุดคือ ผมได้ฝันเห็นเพื่อนของผมคนนี้
ในลักษณะที่แตกต่างจากที่เป็น แต่ในฝันกลับทราบว่าเป็นเขา คือ
"ร่างกายเขาแต่งองค์ทรงเครื่องคล้าย เครื่องแต่งกายพระจตุคามรามเทพ
นั่งขัดสมาธิ อยู่บนกลุ่มควันจางที่มีลักษณะเหมือนก้อนเมฆ
ร่างกายของเขาเหมือนมีลักษณะโปร่งใสแต่มีแสงสีขาวใสไม่จ้าดูแล้วสบายตา
ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีสีอะไรเลยโปร่งใส แต่มีแสงสีขาวให้เห็นร่างกาย เครื่องแต่งกายไม่พูดไม่จามาให้เห็นเฉยๆสักพักแล้วก็จากไป"
ผมตื่นพอดี
วันที่เขาเผาศพผมก็ไม่ได้ไปแต่ตามข่าวจากเพื่อนๆว่าเป็นอย่างไร ก็ได้ความว่ากระดูกที่เผาเป็นสีชมพู
สัปเหร่อบอกว่าไม่ค่อยได้เจอกระดูกสีชมพูมานานมาก ส่วนใหญ่ถ้าเป็นสีนี้เชื่อกันว่าจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว
สำหรับผมเชื่อในทางวิทยาศาสตร์มากกว่า ในลักษณะตัวยาที่ให้ก่อนเสียชีวิต
ส่วนความเชื่อทางไสยศาสตร์ มันพิสูจน์ไม่ได้ก็ฟังหูไว้หูแล้วกันฟังแล้วสบายใจก็ฟัง ฟังแล้วไม่สบายใจก็ไม่เก็บมาคิด.
ขอให้เพื่อนผมไปสู่สุคติภูมิ