[CR] Review : ตอนที่ 3. การเดินทางสู่ นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง โปรแกรมทริปเชียงใหม่ (วันที่ 26 – 29 ธันวาคม 2556) ต่อค่า

อาหารมื้อเย็นท่ามกลางแสงเทียน (ไม่สามารถถ่ายรูปได้เพราะมันหิวมากจนลืมถ่ายรูป อิอิ) จำได้ว่าเป็นผัดผักเหมือนใส่น้ำมันหอย /แกงเลียงที่มีฟักทองเยอะ/น้ำพริกปลากระป๋อง/และผักอะไรก้ไม่รู้ที่เย็นๆ เหมือนบวบก็ไม่ใช่ แตงก็ไม่เชิงทานเข้าไปแล้วรสชาติจืดๆ แต่ชื่นใจดี   ยังดีนะที่คุณแฟนยังนึกขึ้นได้ว่าไม่มีน้ำเปล่าทานเลยขอคุณแม่ให้เอามาให้ (เดือดร้อนคนสูงวัยเดินไปเดินกลับ ทางก็มืดไม่มีไฟเลย สงสัยแกจะชินถิ่นตนเอง เดินไปได้โดยที่ไม่มีไฟฉายหรือเทียน (ความสามารถเฉพาะบุคคลห้ามลอกเลียนแบบ 555) คุณแม่กลับมาพร่อมน้ำเปล่า 2 ขวด พร้อมแก้วอีก 6 ใบ (เออ...หนูมา 2 คนค่ะ เห็นใครมาด้วยอ่า Smiley) และที่สำคัญคุณแม่เอาไฟฉายแบบที่คาดหัวได้ ประมาณว่าไฟฉายส่องกบไรเงี่ย มาให้ด้วย 1 อัน รักคุณแม่พี่วิชัยจัง มีไฟแล้ววุ้ย จากนั้นเราก็เดินไปดูสวิตซ์ำไฟเจ้าปัญหา โอ้ว...แม่เจ้ามันเป็นแบบใช้แบตเตอร์รี่รถยนต์ขนาดใหญ่ต่อเอา มีสายไฟให้เสียบ มีกล่องบอกระดับไฟ 3 ระดับ คือ สูง/กลาง/ต่ำ (เรื่องแบบนี้พ่อไม่เคยสอนอ่า Smiley ช่างมันละกัน ดันดุรังต่อเองมันจะเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน  งั้นขอลงสำรวจห้องน้ำข้างกระท่อมน้อยก่อนเลย กะว่าจะอาบน้ำเพราะเน่ามากเดินทางปุเลง ปุเลงมาตลอด ปรากฏว่าห้องน้ำไม่มีไฟค่ะ ไม่มีจริงๆ ต้องจุดเทียนอาบ โรแมนติกชะมัด ให้คุณแฟนส่องไฟสำรวจทั่วห้องน้ำไม่มีตัวประหลาดไรอยู่เป็นใช่ได้ ขอเข้าไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันก่อนเหอะ เปิดก๊อกครั้งแรกนี่.....มือชาเลยอ่า น้ำเย็นมาก..กกกกก ยังกะเอาน้ำเย็นแช่น้ำแข็งก้อนมาราดมือ เอาพอประมาณละกัน ถ้าสระผมคงแข็งตายคาห้องน้ำก่อน แค่ชำระล้างส่วนที่สำคัญให้หายเหม็นเหงื่อ (เย็นจะตาย ยังคิดว่าเหงื่อจะออก บ้าไปแล้วกรู) แถมบังคับให้คุณแฟนยืนเฝ้าหน้าประตูห้องน้ำไว้ด้วย เผื่อมีไรฉันก็วิ่งหนีก่อน 5555



เล่ามายาวยืดเอาเป็นว่าห้องน้ำสะอาด น่าจะสร้างขึ้นมาเพื่อให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ แต่ก่อนคงไม่มี หลังจากที่ไฟไม่มีเราก็ทำไรไม่ได้นอกจากนอนเก็บแรงไว้แว๊นขึ้นดอยอินทนนท์ตอนเช้า จะชาร์จแบตกล้องก็ไม่ได้ ดีนะที่เอาแบตสำรองไอโฟนไปด้วย เลยเล่นมือถือแทน สัญญาณอินเตอร์เน็ทน่ารักมากมีอยู่ไม่เกิน 3 ขึด Smiley แต่ก็ยังเล่นได้น่า ดีกว่าไม่มีเลย ช่าแต่ชัวร์  มาดูบรรยากาศตอนเช้ากันดีกว่าค่า ตื่นมา 6.00 น. ฟ้ายังมืดสนิทอยู่เลย จะนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นซะหน่อย กว่าฟ้าจะเริ่มสว่างก็ปาไปอีก 15 นาทีจะ 7.00 น. แหละ



มองไม่เห็นพระอาทิตย์เลยค่ะ มีแต่หมอกและแสงส่องร่ำไร








นี่หน้าต่างห้องนอนเรา เท่ห์ม๊า ระบบไม้ค้ำยันเชียวนะ ฟ้าสว่างขึ้นมาก แต่หมอกยังหนาอยู่ อดเห็นพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งเลย




วิวแบบนี้ จะหาได้ไหมในกรุงเทพฯ ไม่มีค่ะ ไม่มี สวยที่สุด ลืมเมืองกรุงไปเลย คุณพี่วิชัยเดินเอากาแฟ โอวันติล น้ำร้อนมาให้เรา ก่อนทานอาหารเช้าจ้า มาสำรวจรอบๆ บ้านกันดีกว่า




มีป้ายทางขึ้นบ้านเขียนว่า "มาฉิโพ" แปลว่าคนทำนาจ้า  โล่ง โปร่ง สบาย กลางคืนหนาวมากๆๆๆ






เบอร์ติดต่อคุณพี่วิชัยที่มีอยู่เบอร์เดียว




ที่นั่งนอกชานบ้าน หรือระเบียงบ้าน เรียกแบบเก๋ๆ อะนะ (ตรงลูกศรสีแดง คือบ้านคุณพี่วิชัย และครอบครัว พร้อมเพื่อบ้าน
ญาติๆ เขาค่ะ น่าจะห่างจากที่เราพักประมาณ 1-2 กิโลได้ กลางคืนเดินมาแบบไม่มีไฟได้ไงอะ นับถือ)




วิวที่เห็นเมื่อมองจากหน้าระเบียงที่พัก สวยสุดๆ  สีออกน้ำตาล ทองๆ เหลืองอร่าม ไปทั่วท้องทุ่ง (ความจริงเราอยากเห็นต้นข้าวเขียวขจีในตอนหน้าฝนมากกว่า น่าจะสวยแบบรูปข้างบนที่โพสไว้ แต่ก็นะมาช่วงปีใหม่ข้าวออกร่วงท้องแก่หมดแล้ว ภาพที่เห็นเลยเป็นแบบนี้




แสงแดดค่อยๆ ไล่มาเรื่อยๆ ค่ะ




ภายในห้องนอนจ้า ไม่มีตัวไรแอบแฝง




มองไปข้างบ้านมีที่กางเต้นท์ด้วยนะ






ใต้ถุนก็ไป




ลงไปกลางทุ่งนาข้าวก็ไป เราไม่ไปค่ะเพราะเตรียมเก็บของเพื่อออกเดินทางต่อ และรออาหารเช้ามาเสริฟ์




แมงมุมชักใยกะต้นหญ้าน้อยๆ




เราเดินเล่นถ่ายบนบ้านพอ ไม่อยากลงไปเหยียบต้นข้าวที่เขาปลูกไว้








แดดเริ่มจ้าขึ้นละ  คุณแฟนขอเท่ห์กะเขามั่ง






หนาวจนเพี้ยนตาคนนี้  กระท่อม หรือเพิง ที่เห็นอยู่ไม่มีใครเปิดให้พักเลยค่ะ นอกจากของบ้านคุณพี่วิชัยคนเดียว (ตรงลูกศรสีแดงชี้ ไม่รู้ว่าพี่คนนั้นหอบฟาง หรือข้าวกันแน่ แต่ที่รู้ๆ คือแกเดินมาไกลมากผ่านหน้าที่พักเราไปถึงบ้านคุณพี่วิชัยเลย)




อาหารมื้อเช้า ฝีมือคุณแม่พี่วิชัยจ้า มีแกงจืดผักกาดใส่หมู รสชาติออกเปรี้ยวๆ เค็มๆ กำลังร้อนเลย /ไข่เจียว/ อีกสองถ้วยนั่นเป็นน้ำพริกไรก็ไม่รู้เราไม่ได้ทาน/และก็มีผักเหมือนฟักทองก็อร่อยดี  และที่สำคัญคุณแม่ตักข้าวมาให้เยอะมาๆ จนกินกันไม่หมด เสียดายของ แต่กลิ่นข้าวที่นี่จะมีลักษณะพิเศษจนเราจำกลิ่นได้ติดจมูกเลยละ เพราะมันไม่เหมือนข้าวสวยในกรุงเทพฯ ที่ไร้กลิ่น ข้าวสวยที่นี้จะไม่ร่วง ไม่ซุย ไม่เหนียวเกินไป จะนิ่มและเม็ดข้าวจะพองบานแตกออก (ลืมถ่ายรูปอีกละ) กลิ่นหอมแบบแปลกๆ หอมแบบกลิ่นเมล็ดข้าวเขียวๆ ไม่มีกลิ่นสาบนะ สงสัยจะปลูกเอง ผลิตเอง ตำเปลือกข้าวออกเองละมั้ง



ทานอาหารเสร็จ เราจะออกเดินทางกันต่อเวลาตอนนั้น 8.30 น. ละ (ตรงลูกศรชี้ ที่มีวงกลมสีส้ม นั่นคือประตูทางเข้าบ้านกระท่อมน้อยปลายนาของเราจ๊ะ




ให้ตานี่ไปยืนเป็นพรีเซ็นเตอร์ก่อนเลย




จากหน้ารั้วไม้ตามภาพบน เมื่อมองตรงไปอีกทางยังมีคนขี่มอไซต์แบบเรา  (ที่ไม่ใช่ Big Bike) เข้าไปด้วยละ เห็นมีป้ายบอกว่าไป "บ้านตีนผาป่าตึง"  ถ้าอยู่หลายวันว่าจะเดินไปสำรวจให้ทั่วสักหน่อย ครั้งหน้าละกัน



เราต้องเดินลงไปเอารถที่บ้านคุณแม่พี่วิชัยค่ะ แกบอกให้เราจอดไว้ที่นั่น (ความจริงมันมีทางที่เอามอไซต์ขับขึ้นไปถึงรั้วไม้หน้าทางเข้าบ้านได้ แต่คุณแม่คงอยากดูแลรถให้ เลยให้จอดไว้ที่หน้าบ้านแก แล้วให่เราเดินไปที่กระท่อมแทน) ระหว่างเดินลงขาแชะสักรูป แฟลชก็ไม่ได้ช่วยให้คุณแฟนขาวขึ้นเลย 555




เมื่อมองย้อนกลับไปตามทางที่เราเดินลงมา อืม...ไกลได้ใจเหมือนกัน ออกกำลังกายแต่เช้า เดินมาไกลเหงื่อไม่ออกเลย หนาวมาก(คงเพราะแบกเป้มาด้วย
)



ถึงแยกก็จะมีป้ายบอกทางจ้า ขอสักรูปจะได้รู้ว่ามาจริง ไม่ได้โม้






พอหันไปฝั่งตรงข้ามป้ายที่เราถ่ายก็จะเจอป้ายนี่ค่ะ ทางที่จะไป "บ้านตีนผาป่าตึง"




ก่อนจากขอเก็บภาพคุณแม่กับคุณพ่อพี่วิชัย เป็นที่ระลึกหน่อยละกันนะ (โดยเฉพาะคุณแม่ที่เมื่อวานเราถามว่าต้องออกจากบ้านพักก่อนกี่โมง คุณแม่ก็บอกว่า "เมื่อไหร่ก็ได้ ตามสบายเลย" ) อยากอยู่ต่อนานๆ อะนะ ไว้มีโอกาสเราจะกลับมาอีกแน่นอนค่ะ  ทุกคนที่นี้อัธยาศัยดีมาก (แต่คราวนี้จะมาหน้าฝน ค่อนดู 555 )


หมายเหตุ :

1. ค่าที่พัก 1,000 บาท พร้อมอาหาร 2 มื้อที่นี่ไม่แพงเลยบรรยากาศก็ดี (ถ้าใครรักความสบายก้แนะนำให้กางเต็นท์นอน หรือไปที่อื่นดีกว่าค่ะ แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล)

2. ระยะทาง ไม่ไกลอย่างที่คิด ไม่ได้ลำบากขนาดต้องปีนป่ายไปตามทาง มันแค่เป็นถนนลูกรังแดง ที่มีหลุม มีบ่อบ้างก็เท่านั้น (แอบเห็นว่าบางช่วงมีการลาดยางแต่คงนานมากแล้ว เพราะกร่อนหมด จึงเป็นเหตุให้ทางขรุขระบางช่วง

3. ความปลอดภัย ณ สถานที่ที่ไกลปืนเที่ยงแบบนี้คุณคิดว่าจะมีโจรดั้นด้นมาขโมยของเพื่อ..... ถ้ามีจะคุ้มค่าน้ำมันรถไหมอะ ถ้ากลัวคนพื้นที่ขอบอกได้คำเดียวค่ะว่า ถ้าเราเข้าไปในเขตหมู้บ้านพวกเขา เขาจะมองหน้าเรา แบบว่าเป็นคนแปลกหน้านี่หว่า มาทำไรฟะ พอเขารู้จักเรา ว่าเรามาพักบ้านคุณพี่วิชัย ก็จะไม่มีใครสนใจเรา และยิ้มให้เราอย่างเป็นมิตร แถมยังช่วยอำนวยความสะดวกให้เราด้วย ถามอะไรก็ตอบหมดไม่มีกั๊ก เดินถ่ายรูปบ้านเขาก็ไม่ว่า (กรุงเทพฯ สิน่ากลัวกว่า หรือพวกถิ่นที่ความเจริญเริ่มครอบครองนั่นแหละตัวดีเลย)

4. บ้านพัก หรือกระท่อมน้อยปลายนา ไม่มีอะไรน่ากลัวค่ะ ไม่มียุง ไม่มีแมลงใดๆ เลย (หรือมันหนาวจนแข็งตาย) มีแต่น้องควาย 5-7 ตัว ที่อยู่หน้าที่พักเราที่ทุ่งนาข้าว ชาวบ้านเขาก้ปล่อยมันไว้แบบนั่น ไม่มีกรงขัง หน้าต่าง/ประตูมีกลอนให้ล๊อคจากข้างในจ้า ไฟฟ้า/แสงสว่างมีใช้ (ถ้าเราต่อเป็น 555) น้ำประปา เห็นมีท่อสีฟ้าต่อลงมาจากยอดเขาที่มีลำธาร มีน้ำตกด้วย น้ำใส ไม่มีกลิ่นเหม็น และที่สำคัญไม่มีกลิ่นคลอรีนแบบเมืองกรุง

**** ที่นี่ไม่มีอะไรให้กลัว นอกจากกลัวไปเอง เพราะเราเคยชิน เคยอยู่กับความสบาย *****
ชื่อสินค้า:   ตะลอนเที่ยว แอ่วเหนือ ม่วนอก ม่วนใจ๋ จังหวัดเชียงใหม่ เน้อจ้าว...วว
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่