Warm Bodies เล่าเรื่องของโลกช่วงเวลา 8 ปีหลังจากถูกโจมตีด้วยเชื้อโรคประหลาดที่ทำให้ผู้คนกลายเป็นซอมบี้ ในโลกอันซ้ำซากของการเดินอย่างไร้จุดหมายในสนามบิน ซอมบี้ที่ทนเบื่อไม่ไหวถอดใจพ่ายแพ้ไปก่อน ก็ละทิ้งมโนสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์เสี้ยวสุดท้ายแล้วกลายร่างอีกระดับ เป็นโบนนี่--ขั้นสูงสุดของซอมบี้ที่ไร้จิตวิญญาณอย่างสิ้นเชิงซึ่งกินทุกอย่างที่ขวางหน้า
ชาวโลกส่วนที่เหลือซึ่งยังปกติดี ใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงสูงที่สร้างขึ้นเพื่อกั้นแบ่งเขตแดนระหว่างซอมบี้และมนุษย์ เสียแต่ว่าต้องมีการส่งคนหนุ่มสาวเข้าไปในแดนซอมบี้เป็นครั้งคราวเพื่อหาอาหารและยารักษาโรคในถิ่นที่มีซอมบี้เดินเพ่นพ่าน นัยว่าโลกของคนปกติไม่สามารถผลิตปัจจัยยังชีพเหล่านี้ได้ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของความรักข้ามเผ่าพันธุ์ระหว่างแวมไพร์ เอ๊ย! ซอมบี้กับมนุษย์ต่างหาก!
จูลี่ สาวสวยลูกสาวผู้พันกริจิโอ หัวหน้าของมนุษย์ที่เหลืออยู่ จำต้องออกไปหาอาหารร่วมกับเพื่อนสาวและแพร์รี่แฟนหนุ่ม ซึ่งดูจะเทิดทูนพ่อของเธอมาก จูลี่ดูไม่ปลื้มกับเรื่องนี้เท่าไหร่เพราะเธอคิดว่าพ่อตัวเองไร้หัวใจแทบไม่ต่างจากซอมบี้ ระหว่างหาอาหาร ซอมบี้ฝูงหนึ่งโผล่เข้ามาโจมตี อาร์ ซอมบี้หนุ่ม (มาไม่รู้กี่ปีแล้ว) ที่มีความรู้สึกแปลกแยกจากพวกพ้องก็อยู่ในฝูงนี้ด้วย เขาตกหลุมรักจูลี่เพียงแวบแรกที่ได้เห็น เขาได้ฆ่าและกินสมองแพร์รี่จึงได้ความทรงจำของแพร์รี่มาด้วย (เป็นสิ่งเดียวที่ใกล้เคียงกับความฝันของซอมบี้ที่ไม่รู้จักการนอน) หนึ่งในนั้นคือความทรงจำถึงจูลี่นั่นเอง
ขณะฝูงซอมบี้กำลังขย้ำคนทั้งกลุ่มอย่างเมามัน อาร์กลับพยายามหาทางปกป้องจูลี่ด้วยการป้ายกลิ่นแล้วพากลับ “เครื่องบิน” อันเป็นเหมือนบ้านส่วนตัวของเขา (ว่าแต่ซอมบี้ตัวอื่นไปอยู่ที่ไหนกัน!) อาร์ทำความรู้จักเธอให้มากขึ้นด้วยการกินสมองแพร์รี่ที่จิ๊กใส่กระเป๋าเสื้อมา เขาพยายามแสดงความเป็นมิตร ห่มผ้า หาอาหารให้ แต่จูลี่ต้องการจะหนีกลับบ้าน จึงไปเจอกับฝูงซอมบี้ที่ทำจมูกฟุดฟิดได้กลิ่นมนุษย์ที่ด้านนอก สถานการณ์คับขัน อาร์กลับมาช่วยทันพอดีด้วยการป้ายกลิ่นซอมบี้ให้และสอนท่าเดินเซอร์ๆ
เวลาต่อจากนั้นเป็นช่วงสานสัมพันธ์สามัคคีที่สองคนได้ทำความรู้จักกันและกันมากขึ้น จูลี่ ผ่านทางของที่อาร์สะสม (แผ่นเสียง แว่นตา ภาพยนตร์ ฯลฯ) ขณะที่อาร์เรียนรู้เธอจากการฟังเธอจ้อและกินสมองแพร์รี่ไปด้วย (บรื๋ยยยย!)
แต่โลกไม่อาจสงบสุขได้นาน จูลี่ต้องการกลับบ้านจึงหนีอีกครั้ง ร้อนถึงอาร์และเพื่อนๆ ต้องพากันช่วยเธอหนีอย่างทุลักทุเลจนออกจากโซนผีชุมได้ อาร์และจูลี่บึ่งรถหนีไปจนถึงชานเมืองร้างใกล้เขตกำแพงและเข้าพักที่บ้านร้างหลังหนึ่ง ที่นั่นเป็นครั้งแรกที่อาร์รู้จัก “ความฝัน” ที่แท้จริงโดยไม่ต้องกินสมอง แต่พอตื่นขึ้น สาวเจ้าก็ควบรถจากไปซะนานแล้วโดยไม่บอกไม่กล่าว อาร์จึงต้องหันหลังเดินตากฝนกลับแดนซอมบี้
เรื่องราวน่าจะจบแค่นั้นแต่มันจะเป็นหนังรักได้ยังไงล่ะ! ถ้าไม่มีใครสักคนที่ตัดใจไม่ลง แล้วลงมือทำอะไรบางอย่าง!
อาร์พกหัวใจช้ำๆ ที่เพิ่งจะรู้จักเต้นตึ๊กตั๊กกับเขาเป็นครั้งแรกกลับไปหาเพื่อนรัก และก็ต่างพบว่าการมาของจูลี่ทำให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ถึงซอมบี้ตัวอื่นๆ ...พวกเขาเริ่มมีความทรงจำและความรู้สึกแล้ว... อาร์จึงวางแผนจะบอกมนุษย์ว่าซอมบี้ยังไม่สายเกินจะเยียวยาหรอกนะ เขาลอบเข้าเมืองผ่านความทรงจำของแพร์รี่เพื่อไปขอความช่วยเหลือจากจูลี่ ฉากที่อาร์ไปเรียกจูลี่ที่นั่งเหงาอยู่ริมระเบียง มันช่างเหมือนโรมิโอกับจูเลียตอะไรเยี่ยงนี้!
จูลี่และเพื่อนสาวช่วยกันแต่งหน้าอาร์ให้ดูเป็นผู้เป็นคน ลักลอบพาเข้าไปในโซนทหาร กะจะบอกกับพ่อว่านี่คือซอมบี้ดีเด่น เอ๊ย! ตัวอย่างของซอมบี้ที่กลับมาเป็นคนได้ต่างหาก แต่น่าเสียดาย บทเรียนในอดีตทำให้พ่อฝังใจว่าซอมบี้ไม่อาจเปลี่ยนเป็นคนได้และจะระเบิดหัวอาร์ จูลี่ต้องพาอาร์หนีกลับไปโลกซอมบี้อีกครั้ง ทั้งสองถูกโบนนี่ไล่ล่า เมื่อจวนตัว อาร์สละตัวเองเป็นเกราะกำบัง กอดจูลี่แล้วหันหลังกระโดดลงจากตึกสูงสู่สระน้ำเบื้องล่าง เมื่อทั้งสองผุดขึ้นจากน้ำ อาร์เหมือนได้เกิดใหม่ เขากลายเป็นคนที่มีเลือดเนื้อ แต่กลับถูกพ่อของจูลี่ยิง ทว่าการโดนยิงจนเลือดไหลกลับช่วยพิสูจน์คำกล่าวของจูลี่ ท่านผู้พันยอมเชื่อในที่สุด เย่!
โลกเหมือนพลิกกลับตาลปัตร โบนนี่ถูกล่าโดยคนร่วมมือกับซอมบี้กลับใจ กำแพงสูงถูกทำลายลง สังคมมนุษย์เปิดใจรับซอมบี้ ให้ความรักและอดทนอดกลั้นต่อความแปลกแยกแตกต่าง (Tolerance) ช่วย “เยียวยา” พวกเขาให้กลับเป็นคนอีกครั้ง
หันกลับมามองสังคมไทยในปี 2557 บางปัญหาพยายามใช้เหตุผลกลับยิ่งไม่เข้าใจกัน ต่างฝ่ายต่างก็ถือว่าตัวเองเป็น “คน” อีกฝ่ายเป็น “ซอมบี้” จนลืมไปว่า ในฝั่งตรงข้ามนั้นก็มีพ่อแม่ พี่น้อง ญาติๆ เพื่อนรัก เพื่อนร่วมงานของเราอยู่ในนั้นด้วย
เมื่อไหร่เรายังเห็นอีกฝ่ายเป็นคน...คนที่เราเคยรัก เคยนับถือ เคยเชื่อใจ เคยเล่นหัว เคยคิดถึง ถึงจะมีปัญหาก็ยังน่าจะมีความหวังที่จะกลับมาคุยกันได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่เห็นอีกฝ่ายเป็นซอมบี้ จ้องแต่จะยิงทิ้งเสียเท่านั้น คงหมดหวังแน่ๆ และเราเองนี่แหละที่กำลังจะกลายเป็นโบนนี่ทีละเล็กทีละน้อย...
Warm Bodies อาจเป็นหนังรักเกรด B สำหรับคอหนัง hard core ทั่วไป แต่สำหรับเรา เมื่อได้มาดูในช่วงเวลาแตกแยกของสังคมจนถึงขีดสุดอย่างนี้ มันก็กลายเป็นหนังรักสมานฉันท์ที่มีความหมาย เป็นหนังซอมบี้โลกสวยสำหรับโลกสีเทา ที่ที่ทุกอย่างเหมือนจะมีไว้เพื่อแบ่งประเภทเป็นเรา-เขา ฆ่าได้-ฆ่าไม่ได้ โง่-ฉลาด ฯลฯ
หน้าหนังดี พระเอกหล่อหลอน เพลงประกอบเพราะ พอละ สรุปว่าชอบ

ป.ล. 1 พระเอก Nicholas Hoult โคตะระของความหล่อ ขนาดมีรอยแผลเป็นพาดบนหน้าซีดๆ แล้วในเรื่องแจ๊กผู้ฆ่ายักษ์จะหล่อขนาดไหน (ว่าแล้วก็ยังไม่ได้ดูเลย)
ป.ล. 2 นางเอก Teresa Palmer เสี้ยวหน้าบางส่วนคล้ายคริสเตน สจ๊วตอย่างบอกไม่ถูก ไม่บอก ดิฉันก็คิดว่ากำลังดูเรื่องแวมไพร์ทไวไลท์อยู่นะเนี่ย!
[CR] Warm Bodies อุบัติรักข้ามกำแพง {สปอยล์หมดจด}
ชาวโลกส่วนที่เหลือซึ่งยังปกติดี ใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงสูงที่สร้างขึ้นเพื่อกั้นแบ่งเขตแดนระหว่างซอมบี้และมนุษย์ เสียแต่ว่าต้องมีการส่งคนหนุ่มสาวเข้าไปในแดนซอมบี้เป็นครั้งคราวเพื่อหาอาหารและยารักษาโรคในถิ่นที่มีซอมบี้เดินเพ่นพ่าน นัยว่าโลกของคนปกติไม่สามารถผลิตปัจจัยยังชีพเหล่านี้ได้ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของความรักข้ามเผ่าพันธุ์ระหว่างแวมไพร์ เอ๊ย! ซอมบี้กับมนุษย์ต่างหาก!
จูลี่ สาวสวยลูกสาวผู้พันกริจิโอ หัวหน้าของมนุษย์ที่เหลืออยู่ จำต้องออกไปหาอาหารร่วมกับเพื่อนสาวและแพร์รี่แฟนหนุ่ม ซึ่งดูจะเทิดทูนพ่อของเธอมาก จูลี่ดูไม่ปลื้มกับเรื่องนี้เท่าไหร่เพราะเธอคิดว่าพ่อตัวเองไร้หัวใจแทบไม่ต่างจากซอมบี้ ระหว่างหาอาหาร ซอมบี้ฝูงหนึ่งโผล่เข้ามาโจมตี อาร์ ซอมบี้หนุ่ม (มาไม่รู้กี่ปีแล้ว) ที่มีความรู้สึกแปลกแยกจากพวกพ้องก็อยู่ในฝูงนี้ด้วย เขาตกหลุมรักจูลี่เพียงแวบแรกที่ได้เห็น เขาได้ฆ่าและกินสมองแพร์รี่จึงได้ความทรงจำของแพร์รี่มาด้วย (เป็นสิ่งเดียวที่ใกล้เคียงกับความฝันของซอมบี้ที่ไม่รู้จักการนอน) หนึ่งในนั้นคือความทรงจำถึงจูลี่นั่นเอง
ขณะฝูงซอมบี้กำลังขย้ำคนทั้งกลุ่มอย่างเมามัน อาร์กลับพยายามหาทางปกป้องจูลี่ด้วยการป้ายกลิ่นแล้วพากลับ “เครื่องบิน” อันเป็นเหมือนบ้านส่วนตัวของเขา (ว่าแต่ซอมบี้ตัวอื่นไปอยู่ที่ไหนกัน!) อาร์ทำความรู้จักเธอให้มากขึ้นด้วยการกินสมองแพร์รี่ที่จิ๊กใส่กระเป๋าเสื้อมา เขาพยายามแสดงความเป็นมิตร ห่มผ้า หาอาหารให้ แต่จูลี่ต้องการจะหนีกลับบ้าน จึงไปเจอกับฝูงซอมบี้ที่ทำจมูกฟุดฟิดได้กลิ่นมนุษย์ที่ด้านนอก สถานการณ์คับขัน อาร์กลับมาช่วยทันพอดีด้วยการป้ายกลิ่นซอมบี้ให้และสอนท่าเดินเซอร์ๆ
เวลาต่อจากนั้นเป็นช่วงสานสัมพันธ์สามัคคีที่สองคนได้ทำความรู้จักกันและกันมากขึ้น จูลี่ ผ่านทางของที่อาร์สะสม (แผ่นเสียง แว่นตา ภาพยนตร์ ฯลฯ) ขณะที่อาร์เรียนรู้เธอจากการฟังเธอจ้อและกินสมองแพร์รี่ไปด้วย (บรื๋ยยยย!)
แต่โลกไม่อาจสงบสุขได้นาน จูลี่ต้องการกลับบ้านจึงหนีอีกครั้ง ร้อนถึงอาร์และเพื่อนๆ ต้องพากันช่วยเธอหนีอย่างทุลักทุเลจนออกจากโซนผีชุมได้ อาร์และจูลี่บึ่งรถหนีไปจนถึงชานเมืองร้างใกล้เขตกำแพงและเข้าพักที่บ้านร้างหลังหนึ่ง ที่นั่นเป็นครั้งแรกที่อาร์รู้จัก “ความฝัน” ที่แท้จริงโดยไม่ต้องกินสมอง แต่พอตื่นขึ้น สาวเจ้าก็ควบรถจากไปซะนานแล้วโดยไม่บอกไม่กล่าว อาร์จึงต้องหันหลังเดินตากฝนกลับแดนซอมบี้
เรื่องราวน่าจะจบแค่นั้นแต่มันจะเป็นหนังรักได้ยังไงล่ะ! ถ้าไม่มีใครสักคนที่ตัดใจไม่ลง แล้วลงมือทำอะไรบางอย่าง!
อาร์พกหัวใจช้ำๆ ที่เพิ่งจะรู้จักเต้นตึ๊กตั๊กกับเขาเป็นครั้งแรกกลับไปหาเพื่อนรัก และก็ต่างพบว่าการมาของจูลี่ทำให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ถึงซอมบี้ตัวอื่นๆ ...พวกเขาเริ่มมีความทรงจำและความรู้สึกแล้ว... อาร์จึงวางแผนจะบอกมนุษย์ว่าซอมบี้ยังไม่สายเกินจะเยียวยาหรอกนะ เขาลอบเข้าเมืองผ่านความทรงจำของแพร์รี่เพื่อไปขอความช่วยเหลือจากจูลี่ ฉากที่อาร์ไปเรียกจูลี่ที่นั่งเหงาอยู่ริมระเบียง มันช่างเหมือนโรมิโอกับจูเลียตอะไรเยี่ยงนี้!
จูลี่และเพื่อนสาวช่วยกันแต่งหน้าอาร์ให้ดูเป็นผู้เป็นคน ลักลอบพาเข้าไปในโซนทหาร กะจะบอกกับพ่อว่านี่คือซอมบี้ดีเด่น เอ๊ย! ตัวอย่างของซอมบี้ที่กลับมาเป็นคนได้ต่างหาก แต่น่าเสียดาย บทเรียนในอดีตทำให้พ่อฝังใจว่าซอมบี้ไม่อาจเปลี่ยนเป็นคนได้และจะระเบิดหัวอาร์ จูลี่ต้องพาอาร์หนีกลับไปโลกซอมบี้อีกครั้ง ทั้งสองถูกโบนนี่ไล่ล่า เมื่อจวนตัว อาร์สละตัวเองเป็นเกราะกำบัง กอดจูลี่แล้วหันหลังกระโดดลงจากตึกสูงสู่สระน้ำเบื้องล่าง เมื่อทั้งสองผุดขึ้นจากน้ำ อาร์เหมือนได้เกิดใหม่ เขากลายเป็นคนที่มีเลือดเนื้อ แต่กลับถูกพ่อของจูลี่ยิง ทว่าการโดนยิงจนเลือดไหลกลับช่วยพิสูจน์คำกล่าวของจูลี่ ท่านผู้พันยอมเชื่อในที่สุด เย่!
โลกเหมือนพลิกกลับตาลปัตร โบนนี่ถูกล่าโดยคนร่วมมือกับซอมบี้กลับใจ กำแพงสูงถูกทำลายลง สังคมมนุษย์เปิดใจรับซอมบี้ ให้ความรักและอดทนอดกลั้นต่อความแปลกแยกแตกต่าง (Tolerance) ช่วย “เยียวยา” พวกเขาให้กลับเป็นคนอีกครั้ง
หันกลับมามองสังคมไทยในปี 2557 บางปัญหาพยายามใช้เหตุผลกลับยิ่งไม่เข้าใจกัน ต่างฝ่ายต่างก็ถือว่าตัวเองเป็น “คน” อีกฝ่ายเป็น “ซอมบี้” จนลืมไปว่า ในฝั่งตรงข้ามนั้นก็มีพ่อแม่ พี่น้อง ญาติๆ เพื่อนรัก เพื่อนร่วมงานของเราอยู่ในนั้นด้วย
เมื่อไหร่เรายังเห็นอีกฝ่ายเป็นคน...คนที่เราเคยรัก เคยนับถือ เคยเชื่อใจ เคยเล่นหัว เคยคิดถึง ถึงจะมีปัญหาก็ยังน่าจะมีความหวังที่จะกลับมาคุยกันได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่เห็นอีกฝ่ายเป็นซอมบี้ จ้องแต่จะยิงทิ้งเสียเท่านั้น คงหมดหวังแน่ๆ และเราเองนี่แหละที่กำลังจะกลายเป็นโบนนี่ทีละเล็กทีละน้อย...
Warm Bodies อาจเป็นหนังรักเกรด B สำหรับคอหนัง hard core ทั่วไป แต่สำหรับเรา เมื่อได้มาดูในช่วงเวลาแตกแยกของสังคมจนถึงขีดสุดอย่างนี้ มันก็กลายเป็นหนังรักสมานฉันท์ที่มีความหมาย เป็นหนังซอมบี้โลกสวยสำหรับโลกสีเทา ที่ที่ทุกอย่างเหมือนจะมีไว้เพื่อแบ่งประเภทเป็นเรา-เขา ฆ่าได้-ฆ่าไม่ได้ โง่-ฉลาด ฯลฯ
หน้าหนังดี พระเอกหล่อหลอน เพลงประกอบเพราะ พอละ สรุปว่าชอบ
ป.ล. 1 พระเอก Nicholas Hoult โคตะระของความหล่อ ขนาดมีรอยแผลเป็นพาดบนหน้าซีดๆ แล้วในเรื่องแจ๊กผู้ฆ่ายักษ์จะหล่อขนาดไหน (ว่าแล้วก็ยังไม่ได้ดูเลย)
ป.ล. 2 นางเอก Teresa Palmer เสี้ยวหน้าบางส่วนคล้ายคริสเตน สจ๊วตอย่างบอกไม่ถูก ไม่บอก ดิฉันก็คิดว่ากำลังดูเรื่องแวมไพร์ทไวไลท์อยู่นะเนี่ย!