คนดังแผ่นดินจิ๋น
ฮ่องเต้ผู้ก่อกำแพงยักษ์
ตอนที่ ๖ วาระสุดท้าย
“ เล่าเซี่ยงชุน “
เมื่อหมายเกณฑ์ราษฎรไปสร้างกำแพง มาถึงเมืองไพก้วน เจ้าเมืองก็มอบให้เล่าปั๋งคุมชาวบ้านไปส่งมงเทียมผู้ควบคุมการก่อสร้าง เล่าปั๋งก็ลาเจ้าเมืองคุมผู้คนไปตามคำสั่ง จนถึงตำบลฮองไซชาวเมืองก็เหลือน้อย เพราะต่างก็หลบหนีเข้าป่าไปเป็นอันมาก เล่าปั๋งจึงบอกกับคนที่ยังอยู่ว่า
“……..ซึ่งมีหนังสือรับสั่งเกณฑ์คนไปทำการครั้งนี้ เรากับท่านทั้งปวงจะรอดชีวิตมา หรือจะตายก็มิได้รู้ ถ้าท่านยอมไปด้วยกันเราก็จะพาไป แม้นย่อท้ออยู่มิไปก็ตามใจ…..”
คนทั้งปวงได้ฟังจึงว่า
“……ถ้าข้าพเจ้าจะหลบหนีมิไปด้วย ท่านจะไปแต่ผู้เดียว เขาจะเร่งเอาคนท่านจะเอาที่ไหนมาให้……”
เล่าปั๋งจึงว่าเมื่อไม่ไปพร้อมกันแล้ว ตนก็จะหลบหนีไปด้วย คนทั้งปวงก็ดีใจหนีไปซุ่มซ่อนอยู่ในป่า เหลืออยู่กับเล่าปั๋งสิบแปดคนเท่านั้น ครั้นถึงเวลาพลบค่ำลง เล่าปั๋งก็พาคนสนิทออกจากทางใหญ่ไปตามทางน้อย ให้คนสนิทนำทางไปเขามังตั๋ง คนสนิทเดินไปพบงูใหญ่ตัวหนึ่ง ยาวสิบห้าวาศอกคืบ นอนขวางทางอยู่ ก็กลับมาบอกเล่าปั๋งว่า งูยาวใหญ่นอนกั้นทางขวางหน้าอยู่ จำจะหลีกไปทางอื่น เล่าปั๋งก็ว่าเกิดมาเป็นชายกลัวอะไรกับสัตว์เดียรัจฉาน แล้วชักกระบี่ออกจากฝักออกเดินนำหน้าพาคนทั้งปวงไป พบงูใหญ่ก็ฟันด้วยกระบี่ขาดกลางตัวเป็นสองท่อน คนทั้งปวงเห็นก็สรรเสริญเล่าปั๋งว่า มีกำลังมากใจองอาจยิ่งนัก เล่าปั๋งจึงพาคนทั้งปวงขึ้นไปอยู่บนเขามังตั๋ง
เมื่อผู้คนซึ่งหลบหนีซุกซ่อนอยู่ ได้รู้ข่าวว่าเล่าปั๋งมีใจโอบอ้อมอารี ก็พากันออกจากป่ามาอยู่ด้วยเล่าปั๋งหลายร้อยคน
ฝ่ายพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ให้หวาดหวั่นพระทัยอยู่เป็นนิจ เมื่อเสด็จออกขุนนางก็ตรัสปรึกษาว่า
“……..เราจะใคร่ไปเลียบพระนครดูราษฎรชาวเมือง จะกำเริบประทุษร้ายแก่เราบ้างหรือประการใด ท่านจงจัดทหารเป็นกระบวนทัพ พร้อมไปด้วยเครื่องศัสตราวุธ แต่รถทรงนั้นจัดสองรถให้เหมือนกัน…….”
ขุนนางเจ้าพนักงานคำนับลาออกมาจัดการ เตรียมไว้พร้อมตามทำนองกระบวนศึก ครั้นเวลาเช้าพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ขึ้นทรงรถที่สอง แล้วยกพลออกจากพระนครไปถึงเมืองศัวตั๋ง แต่ที่เมืองนี้ฝนแล้งมาหลายปีแล้ว ข้าวก็แพง ชาวเมืองต้องเลี้ยงกองทัพสิ้นเงินวันละสิบหมื่นตำลึง เจ้าเมืองเรี่ยไรเอาแก่ราษฎร ไพร่บ้านพลเมืองได้ความเดือดร้อน คิดแค้นจิ๋นซีฮ่องเต้ทั้งแผ่นดิน
เวลานั้นมีโรงขายสุราอยู่เชิงเขา ทางทิศตะวันตกนอกเมืองหัน ทางไกลประมาณสามร้อยเส้น เตียวซำก๋งกับพวกหกคนไปกินสุราพูดกันว่า
“……แผ่นดินแต่หลังล่วงมาห้าร้อยปี มีความสุขฝนตกลมพัดต้องตามฤดู ข้าวปลาอาหารผลไม้ก็บริบูรณ์ ไม่มีโจรผู้ร้ายจะฉกลักช่วงชิงกัน ประตูเมืองก็เปิดอยู่ทั้งสี่ทิศ การศึกไม่มีมา……..”
ผู้หนึ่งจึงว่า ทุกวันนี้เห็นบ้านเมืองเป็นประการใดบ้าง เตียวซำก๋งจึงว่า ซึ่งจะเอาการบ้านเมืองมาพูดนั้นไม่ได้ ห้ามปรามกวดขันนัก อีกผู้หนึ่งจึงว่า เราพูดกันไกลเมืองอยู่ ผู้ใดจะล่วงรู้เห็น เตีวเหลียงยืนฟังอยู่ข้างนอก ก็เดินเข้ามาพูดด้วยเสียงอันดังว่า
“……ท่านจะใคร่รู้หรือเราจะบอกให้ อันบ้านเมืองทุกวันนี้ จิ๋นซีฮ่องเต้ไม่อยู่ในยุติธรรม หญิงชายทั้งนั้นมิได้ทำมาหากินโดยปกติ ด้วยทิศใต้ก็ให้สอบภูเขาตั้งตำหนัก ทิศตะวันออกให้ถมทะเลต่อแผ่นดินออกไป ทิศตะวันตกให้ปลูกตำหนักอาปงจ๋งเป็นที่รโหฐาน แต่ทิศเหนือได้ก่อกำแพงยาวถึงสองร้อยหกสิบโยชน์ แลตำรับซึ่งมีมาแต่โบราณ เป็นวิชาการสิ่งใดก็ให้เผาไฟเสีย คนที่รู้หนังสือเล่าก็เอาตัวไปจำไว้ ทำให้ผิดอย่างกษัตริย์แต่ก่อน ราษฎรจึงล้มตายหนีไปเป็นอันมาก…”
ผู้คนที่นั่งเสพสุราอยู่หลายคน ได้ยินเตียวเหลียงพูดดังนั้นก็ตกใจกลัวความผิด ต่างคนต่างก็หนีไป เตียวเหลียงก็หัวเราะว่า พากันหนีไปแล้วเมื่อใดจึงจะได้แก้แค้น ขณะนั้นมีชายผู้หนึ่งสูงหกศอกเศษยืนอยู่ข้างหลัง ก็เดินออกมาคำนับเตียวเหลียงแล้วว่า ท่านจะคิดกำจัดจิ๋นซีฮ่องเต้หรือ ข้าพเจ้าจะเป็นแรงช่วยท่าน เตียงเหลียงจึงเชิญไปปรึกษากันที่บ้าน เมื่อถามชื่อแซ่กันแล้ว ก็รู้ว่าชายผู้นั้นชื่อซังไหก๋ง บ้านอยู่ปากน้ำเมืองหัน มีกระบองคู่มือหนักร้อยชั่ง และว่าเตียว เหลียงพูดที่โรงสุรานั้น ตนคิดว่าเป็นคนมีสติปัญญา ถ้าเตียวเหลียงจะคิดกำจัดคนร้าย ตนจะร่วมคิดด้วย เตียวเหลียงจึงว่า
“……แต่ปู่ชวดข้าพเจ้าลงมา ได้เป็นไจเสียงอยู่เมืองหัน ถึงห้าชั่วจนบิดาข้าพเจ้าบัดนี้จิ๋นซีฮ่องเต้ แต่งทัพมาตีเมืองหัน จนบ้านเมืองยับเยินได้ความเจ็บแค้นนัก ข้าพเจ้าจะสู้เสียเงินทองก็ไม่ว่า แต่จะหาคู่คิดกำจัดจิ๋นซีฮ่องเต้ ก็ยังมิได้พบผู้ใด บัดนี้พึ่งมาพบท่าน เห็นรูปร่างล่ำสันมีกำลังสมควรเป็นทหาร แลวาจาซึ่งพูดมาพอจะช่วยแก้แค้นทั้งหกเมืองได้ ข้าพเจ้ามีใจยินดีนัก ถ้าท่านทำสมคงวามคิดข้าพเจ้าครั้งนี้แล้ว ชื่อท่านจะปรากฎไปภายหน้า…..”
ซังไหก๋งจึงว่าเตียวเหลียงจะคิดประการใด ตนจะทำตามให้สมความคิด เตียวเหลียงจึงให้ซังไหก๋งไปอยู่กับตนที่บ้าน และเลี้ยงดูอย่างดี ครั้นถึงวันหนึ่งได้ยินคนลือว่า พระเจ้าจิ๋นซี่องเต้เสด็จมาทางเมืองเอียงปู๊กวาน เตียวเหลียงจึงพาซังไหก๋งไปคอยอยู่บนเนินสูง ตามทางที่ขบวนจะเสด็จมา แลลงไปเห็นกรดและเครื่องสูงแห่ห้อมกันมาแต่ไกล ก็รู้ว่าฮ่องเต้เสด็จมาแล้ว ซังไหก๋งจึงลงจากเนินเขาเลียบชายป่าดักอยู่ พอรถทรงของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้มาถึง เห็นได้ที ซังไหก๋งก็โถมเข้าตีรถคันหน้าหักพังไป แต่ฮ่องเต้ไม่ทรงเป็นอันตราย ด้วยเสด็จอยู่รถคันที่สอง ฝ่ายทหารก็ล้อมจับเอาตัวซังไหก๋งมัดเข้ามาถวาย ฮ่องเต้รับสั่งถามว่าใครใช้ให้มาทำการครั้งนี้ ซังไหก๋งก็กัดฟันตอบว่า
“……..ท่านไม่อยู่ในยุติธรรม คนคิดจะฆ่าท่านทั้งแผ่นดิน มิใช่แต่เราผู้เดียว ซึ่งเรามาทำการทั้งนี้ไม่มีผู้ใดใช้ เพราะท่านทำผิด เทพยดาจึงใช้ให้เรามาฆ่าท่านเสีย…..”
ฮ่องเต้ไม่ทรงเชื่อ จึงให้เตียวโก๋ขุนนางผู้ใหญ่ที่ตามเสด็จ กระทำโทษและซักถามเอาความจริงให้ได้ ซังไหก๋งมีความเจ็บและผูกใจแค้น คิดว่าเกิดมาเป็นชายได้กระทำความผิด สู้ตายแต่ผู้เดียวดีกว่า เตียวเหลียงเป็นผู้มีสติปัญญา แม้นชีวิตยังอยู่จะได้แก้แค้นเมื่อปลายมือ จึงลุกขึ้นกระโดดไปด้วยกำลังแรง เอาศรีษะกระแทกศิลาถึงแก่ความตาย ฮ่องเต้ก็หยุดขบวนอยู่ที่นั้น มีรับสั่งให้สืบหาผู้ร่วมทำการกับซังไหก๋ง แต่อยู่ถึงสิบวันก็ไม่ได้ความ จึงเดินทางต่อไป
ฝ่ายเตียวเหลียงเห็นการไม่สมคิด ก็หนีไปถึงเมืองพีแฮ อาศัยอยู่กับเพื่อชื่อ ห้างเป๊กผู้เป็นหลานห้างเอี๋ยง ขุนนางผู้ใหญ่เมืองฌ้อ วันหนึ่งเตียวเหลียงเดินออกมานอกเมือง ยืนอยู่ริมสะพานกี๋เกี๋ยว มีผู้เฒ่าคนหนึ่งนุ่งห่มเสื้อเหลือง เดินข้ามสะพานมาแล้วทำรองเท้าหล่นลงไปในน้ำ จึงบอกให้เตียวเหลียงเก็บมาให้ เตียวเหลียงก็ลงไปเก็บรองเท้ามาส่งให้ แต่ผู้เฒ่าก็แกล้งทำหล่นลงไปอีก เตียวเหลียงก็เก็บมาให้ถึงสามหน และไม่แสดงกิริยาโกรธ ผู้เฒ่าจึงสั่งว่าอีกห้าวันจงมาหาที่ต้นไม้นี้ ตนจะให้ของวิเศษสักสิ่งหนึ่ง
พอครบห้าวันเวลาเช้าเตียวเหลียงมาถึงที่นัด ก็เห็นผู้เฒ่ามานั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว เตียวเหลียงเข้าไปคุกเข่าคำนับ ผู้เฒ่าก็ว่าตนนัดไว้ให้มาเช้า ทำไมจึงมาต่อสาย จงกลับไปบ้านเสียก่อน อีกห้าวันจึงใหม่ ครั้งต่อมาเตียวเหลียงมาแต่เช้ามืด ก็เห็นผู้เฒ่ามาคอยอยู่ก่อน และว่าตนสั่งให้มาตอนค่ำทำไมจึงมาป่านนี้ แล้วก็ขับไปอีกห้าวันจึงมาใหม่ ครั้งหลังเตียวเหลียงกินอาหารเย็นแล้วก็ออกมาคอยผู้เฒ่าอยู่ จนถึงเวลาค่ำเดือนขึ้นสว่างผู้เฒ่าจึงมา เตียวเหลียงเข้าไปคำนับแล้วพินิจดูรูปร่างเห็นงามเหมือนเทวดา จึงว่าตนมาคอยอยู่นานแล้ว ช่วยสั่งสอนวิชาให้ตนด้วย
ผู้เฒ่าจึงว่าเจ้าเป็นหนุ่ม กำลังที่จะทำราชการ นานไปเบื้องหน้าจะเป็นที่ปรึกษาท่านผู้มีบุญ แล้วก็หยิบหนังสือจากแขนเสื้อออกมาส่งให้เตียวเหลียง แล้วว่า
“……..ถึงตำราซุยหงอครั้งแผ่นดินเลียดก๊ก ซึ่งผู้วิเศษให้นั้น จะเอามาเปรียบกับตำราของเรานี้ไม่ได้ จงเอาไปอ่านเล่าท่องให้ชำนาญไว้สำหรับตัว สืบไปเมื่อหน้าเจ้าจะได้บำรุงผู้มีคุณ ช่วยแก้แค้นเมืองหัน ซึ่งพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้กระทำให้ยับเยิน กิตติศัพท์จะลือคุณวิชาจะสว่างไป ดุจแสงพระจันทร์พระอาทิตย์ ทั้งชื่อเจ้าจะปรากฎอยู่ได้ถึงหมื่นปี…….”
เตียวเหลียงก็คุกเข่าลงคำนับ แล้วขอชื่อแซ่เอาไว้เป็นที่บูชาแห่งตน แต่ผู้เฒ่าบอกว่า เจ้าจงไปข้างหน้าอีกสามสิบปี จึงค่อยพบกันที่เมืองตั้วก๊กเสีย เตียวเหลียงก็กลับมาบ้าน และอ่านหนังสือนั้นซึ่งเป็นตำรา ดูได้ทั้งดาวและฤกษ์ชัดเจน จึงแนะนำให้ห้างเป๊กดูหาความรู้ไว้บ้าง
ฝ่ายพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ ครั้นเสด็จมาถึงเมืองชีจิ๋ว ไพร่บ้านพลเมืองเอาสิ่งของและโภชนสาลีมาถวาย ก็มีพระทัยยินดี พระราชทานรางวัลแล้วก็ยกจากเมืองชีจิ๋วไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงเมืองไพก้วน ก็ให้คนเที่ยวไปสืบดูว่าผู้ใดหน้าตาประหลาดให้จับมาฆ่าเสีย ขุนนางผู้ใหญ่ก็ทูลทัดทานไว้ว่า
“……พระองค์เสด็จมาครั้งนี้หวังจะระงับกิจ สุขทุกข์ราษฎรทั้งปวง ซึ่งพระองค์จะให้สืบจับเอาคนมาฆ่าเสียนั้น ข้าพเจ้าเห็นพลเมืองจะสะดุ้งตกใจยิ่งนัก………”
ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงเสด็จจากเมืองไพก้วนไปประทับแรมอยู่ที่เมืองก้วยกี๋ ในเมืองนี้ก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งชื่อห้างอี๋ รู้ว่าพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เสด็จมาถึง ก็ฉวยกระบี่ได้จะไปฆ่าฮ่องเต้เสีย ห้างเหลียงผู้อาก็ห้ามว่า
“…….ตัวเป็นผู้ชายควรจะหาความชอบไว้ในแผ่นดิน ชื่อเสียงจะได้ปรากฏไปภายหน้า จะมาทำเป็นคนหาปัญญามิได้ ลอบลักทิ่มแทงไม่บังควร จะให้เรียนหนังสือและเพลงอาวุธ ก็ไม่มีความเพียร จะร่ำเรียนสิ่งใดก็สอนยาก…….”
ห้างอี๋ก็เถียงว่า
“……..เรียนหนังสือ ถ้ารู้ก็จะปรากฏแต่ชื่อ จะเรียนเพลงอาวุธเล่า จะสู้ได้ก็แต่ตัวต่อตัว ป่วยการเสียเปล่า ข้าพเจ้าจะเที่ยวเรียนวิชา คนเดียวสู้ได้หมื่นคน……”
ห้างเหลียงเห็นหลานชายดื้อดึง ก็มิได้ว่ากล่าวตักเตือนอีกต่อไป ห้างอี๋ก็กำเริบจิต คิดจะทำร้ายพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ จึงเที่ยวดูภูมิฐานท่าทางทุกตำบล จนสิ้นแดนเมืองฌ้อต่อเมืองเหงา เพื่อคอยดักทำอันตรายแก่ฮ่องเต้
เมื่อพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เสด็จมาถึงเมืองตังกุ๋นนั้น เห็นแผ่นศิลาจารึกอักษรหกตัวว่า พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์ แผ่นดินจะปันซีกออก ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ขุนนางนายทหารไปหาตัวชาวบ้านมาซักถาม ก็ไม่ได้ความว่าผู้ใดทำไว้ ฮ่องเต้ก็จะให้จับเอาชาวบ้านใกล้เรือนเคียงแถวนั้นมาฆ่าเสีย ขุนนางผู้ใหญ่ก็ทักท้วงว่า
“……พระองค์เสด็จออกมาเที่ยวนานาประเทศ ได้เห็นการวิปริตต่าง ๆ จะเชื่อถืออันใดกับอักษรในแผ่นศิลา ชอบแต่ได้ตัวผู้ทำความผิดมาฆ่าเสียก็ควรอยู่ นี่ยังสืบสวนไม่ได้ จะให้ฆ่าคนทั้งปวงเสียนั้น ไม่สมควร ขอเชิญพระองค์เสด็จคืนเข้าพระนคร จัดคนไปพิทักษ์รักษาเมืองหน้าด่านไว้ให้มั่นคงจะดีกว่า…..”
ฮ่องเต้ก็เห็นชอบด้วย จึงเสด็จกลับมาถึงเมืองซองจิ๋ว รับสั่งให้หยุดรถประทับแรมอยู่ ครั้นเพลากลางคืนทรงบรรทมหลับแล้วฝันร้าย ตกพระทัยตื่นจากบรรทม ก็ให้ครั่นพระองค์เมื่อยมึนไปทั่วสรรพางค์กาย จึงรับสั่งให้ยกไปจากเมืองซองจิ๋ว ถึงตำบลสาขิวก็ประชวรหนักลง หมอหลวงประกอบยาถวายหลายหนโรคมิฟัง ฮ่องเต้มีความวิตกคิดถึงความหลังว่า พระองค์ให้ถมทะเลตะวันออก คงจะถูกต้องเทพยดาซึ่งสิงสู่อยู่ในท้องทะเลเป็นมั่นคง อันความเจ็บป่วยครั้งนี้เห็นจะจากราชสมบัติ จึงตรัสกับลิสือขุนนางผู้ใหญ่ว่า
“……..แต่ก่อนหาทันคิดไม่ ให้ฮูโซราชบุตรคนใหญ่ไปจากเมือง อันบุตรคนนี้เห็นพอจะบำรุงแผ่นดินได้ ถ้าหาบุญเราไม่แล้ว ท่านจงไปเชิญฮูโซมาครองราชสมบัติ มอบเครื่องกษัตริย์ให้สืบวงศ์ ซึ่งท่านดีต่อเราโดยสุจริตมาช้านาน กิจธุระบ้านเมืองมีมาประการใด ก็วางใจแต่ท่านผู้เดียว แม้นฮูโซขึ้นเป็นกษัตริย์ ท่านจงจัดแจงบำรุงช่วยรักษาพระนครด้วย……..”
คนดังแผ่นดินจิ๋น ๒๓ ม.ค.๕๗
ฮ่องเต้ผู้ก่อกำแพงยักษ์
ตอนที่ ๖ วาระสุดท้าย
“ เล่าเซี่ยงชุน “
เมื่อหมายเกณฑ์ราษฎรไปสร้างกำแพง มาถึงเมืองไพก้วน เจ้าเมืองก็มอบให้เล่าปั๋งคุมชาวบ้านไปส่งมงเทียมผู้ควบคุมการก่อสร้าง เล่าปั๋งก็ลาเจ้าเมืองคุมผู้คนไปตามคำสั่ง จนถึงตำบลฮองไซชาวเมืองก็เหลือน้อย เพราะต่างก็หลบหนีเข้าป่าไปเป็นอันมาก เล่าปั๋งจึงบอกกับคนที่ยังอยู่ว่า
“……..ซึ่งมีหนังสือรับสั่งเกณฑ์คนไปทำการครั้งนี้ เรากับท่านทั้งปวงจะรอดชีวิตมา หรือจะตายก็มิได้รู้ ถ้าท่านยอมไปด้วยกันเราก็จะพาไป แม้นย่อท้ออยู่มิไปก็ตามใจ…..”
คนทั้งปวงได้ฟังจึงว่า
“……ถ้าข้าพเจ้าจะหลบหนีมิไปด้วย ท่านจะไปแต่ผู้เดียว เขาจะเร่งเอาคนท่านจะเอาที่ไหนมาให้……”
เล่าปั๋งจึงว่าเมื่อไม่ไปพร้อมกันแล้ว ตนก็จะหลบหนีไปด้วย คนทั้งปวงก็ดีใจหนีไปซุ่มซ่อนอยู่ในป่า เหลืออยู่กับเล่าปั๋งสิบแปดคนเท่านั้น ครั้นถึงเวลาพลบค่ำลง เล่าปั๋งก็พาคนสนิทออกจากทางใหญ่ไปตามทางน้อย ให้คนสนิทนำทางไปเขามังตั๋ง คนสนิทเดินไปพบงูใหญ่ตัวหนึ่ง ยาวสิบห้าวาศอกคืบ นอนขวางทางอยู่ ก็กลับมาบอกเล่าปั๋งว่า งูยาวใหญ่นอนกั้นทางขวางหน้าอยู่ จำจะหลีกไปทางอื่น เล่าปั๋งก็ว่าเกิดมาเป็นชายกลัวอะไรกับสัตว์เดียรัจฉาน แล้วชักกระบี่ออกจากฝักออกเดินนำหน้าพาคนทั้งปวงไป พบงูใหญ่ก็ฟันด้วยกระบี่ขาดกลางตัวเป็นสองท่อน คนทั้งปวงเห็นก็สรรเสริญเล่าปั๋งว่า มีกำลังมากใจองอาจยิ่งนัก เล่าปั๋งจึงพาคนทั้งปวงขึ้นไปอยู่บนเขามังตั๋ง
เมื่อผู้คนซึ่งหลบหนีซุกซ่อนอยู่ ได้รู้ข่าวว่าเล่าปั๋งมีใจโอบอ้อมอารี ก็พากันออกจากป่ามาอยู่ด้วยเล่าปั๋งหลายร้อยคน
ฝ่ายพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ให้หวาดหวั่นพระทัยอยู่เป็นนิจ เมื่อเสด็จออกขุนนางก็ตรัสปรึกษาว่า
“……..เราจะใคร่ไปเลียบพระนครดูราษฎรชาวเมือง จะกำเริบประทุษร้ายแก่เราบ้างหรือประการใด ท่านจงจัดทหารเป็นกระบวนทัพ พร้อมไปด้วยเครื่องศัสตราวุธ แต่รถทรงนั้นจัดสองรถให้เหมือนกัน…….”
ขุนนางเจ้าพนักงานคำนับลาออกมาจัดการ เตรียมไว้พร้อมตามทำนองกระบวนศึก ครั้นเวลาเช้าพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ขึ้นทรงรถที่สอง แล้วยกพลออกจากพระนครไปถึงเมืองศัวตั๋ง แต่ที่เมืองนี้ฝนแล้งมาหลายปีแล้ว ข้าวก็แพง ชาวเมืองต้องเลี้ยงกองทัพสิ้นเงินวันละสิบหมื่นตำลึง เจ้าเมืองเรี่ยไรเอาแก่ราษฎร ไพร่บ้านพลเมืองได้ความเดือดร้อน คิดแค้นจิ๋นซีฮ่องเต้ทั้งแผ่นดิน
เวลานั้นมีโรงขายสุราอยู่เชิงเขา ทางทิศตะวันตกนอกเมืองหัน ทางไกลประมาณสามร้อยเส้น เตียวซำก๋งกับพวกหกคนไปกินสุราพูดกันว่า
“……แผ่นดินแต่หลังล่วงมาห้าร้อยปี มีความสุขฝนตกลมพัดต้องตามฤดู ข้าวปลาอาหารผลไม้ก็บริบูรณ์ ไม่มีโจรผู้ร้ายจะฉกลักช่วงชิงกัน ประตูเมืองก็เปิดอยู่ทั้งสี่ทิศ การศึกไม่มีมา……..”
ผู้หนึ่งจึงว่า ทุกวันนี้เห็นบ้านเมืองเป็นประการใดบ้าง เตียวซำก๋งจึงว่า ซึ่งจะเอาการบ้านเมืองมาพูดนั้นไม่ได้ ห้ามปรามกวดขันนัก อีกผู้หนึ่งจึงว่า เราพูดกันไกลเมืองอยู่ ผู้ใดจะล่วงรู้เห็น เตีวเหลียงยืนฟังอยู่ข้างนอก ก็เดินเข้ามาพูดด้วยเสียงอันดังว่า
“……ท่านจะใคร่รู้หรือเราจะบอกให้ อันบ้านเมืองทุกวันนี้ จิ๋นซีฮ่องเต้ไม่อยู่ในยุติธรรม หญิงชายทั้งนั้นมิได้ทำมาหากินโดยปกติ ด้วยทิศใต้ก็ให้สอบภูเขาตั้งตำหนัก ทิศตะวันออกให้ถมทะเลต่อแผ่นดินออกไป ทิศตะวันตกให้ปลูกตำหนักอาปงจ๋งเป็นที่รโหฐาน แต่ทิศเหนือได้ก่อกำแพงยาวถึงสองร้อยหกสิบโยชน์ แลตำรับซึ่งมีมาแต่โบราณ เป็นวิชาการสิ่งใดก็ให้เผาไฟเสีย คนที่รู้หนังสือเล่าก็เอาตัวไปจำไว้ ทำให้ผิดอย่างกษัตริย์แต่ก่อน ราษฎรจึงล้มตายหนีไปเป็นอันมาก…”
ผู้คนที่นั่งเสพสุราอยู่หลายคน ได้ยินเตียวเหลียงพูดดังนั้นก็ตกใจกลัวความผิด ต่างคนต่างก็หนีไป เตียวเหลียงก็หัวเราะว่า พากันหนีไปแล้วเมื่อใดจึงจะได้แก้แค้น ขณะนั้นมีชายผู้หนึ่งสูงหกศอกเศษยืนอยู่ข้างหลัง ก็เดินออกมาคำนับเตียวเหลียงแล้วว่า ท่านจะคิดกำจัดจิ๋นซีฮ่องเต้หรือ ข้าพเจ้าจะเป็นแรงช่วยท่าน เตียงเหลียงจึงเชิญไปปรึกษากันที่บ้าน เมื่อถามชื่อแซ่กันแล้ว ก็รู้ว่าชายผู้นั้นชื่อซังไหก๋ง บ้านอยู่ปากน้ำเมืองหัน มีกระบองคู่มือหนักร้อยชั่ง และว่าเตียว เหลียงพูดที่โรงสุรานั้น ตนคิดว่าเป็นคนมีสติปัญญา ถ้าเตียวเหลียงจะคิดกำจัดคนร้าย ตนจะร่วมคิดด้วย เตียวเหลียงจึงว่า
“……แต่ปู่ชวดข้าพเจ้าลงมา ได้เป็นไจเสียงอยู่เมืองหัน ถึงห้าชั่วจนบิดาข้าพเจ้าบัดนี้จิ๋นซีฮ่องเต้ แต่งทัพมาตีเมืองหัน จนบ้านเมืองยับเยินได้ความเจ็บแค้นนัก ข้าพเจ้าจะสู้เสียเงินทองก็ไม่ว่า แต่จะหาคู่คิดกำจัดจิ๋นซีฮ่องเต้ ก็ยังมิได้พบผู้ใด บัดนี้พึ่งมาพบท่าน เห็นรูปร่างล่ำสันมีกำลังสมควรเป็นทหาร แลวาจาซึ่งพูดมาพอจะช่วยแก้แค้นทั้งหกเมืองได้ ข้าพเจ้ามีใจยินดีนัก ถ้าท่านทำสมคงวามคิดข้าพเจ้าครั้งนี้แล้ว ชื่อท่านจะปรากฎไปภายหน้า…..”
ซังไหก๋งจึงว่าเตียวเหลียงจะคิดประการใด ตนจะทำตามให้สมความคิด เตียวเหลียงจึงให้ซังไหก๋งไปอยู่กับตนที่บ้าน และเลี้ยงดูอย่างดี ครั้นถึงวันหนึ่งได้ยินคนลือว่า พระเจ้าจิ๋นซี่องเต้เสด็จมาทางเมืองเอียงปู๊กวาน เตียวเหลียงจึงพาซังไหก๋งไปคอยอยู่บนเนินสูง ตามทางที่ขบวนจะเสด็จมา แลลงไปเห็นกรดและเครื่องสูงแห่ห้อมกันมาแต่ไกล ก็รู้ว่าฮ่องเต้เสด็จมาแล้ว ซังไหก๋งจึงลงจากเนินเขาเลียบชายป่าดักอยู่ พอรถทรงของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้มาถึง เห็นได้ที ซังไหก๋งก็โถมเข้าตีรถคันหน้าหักพังไป แต่ฮ่องเต้ไม่ทรงเป็นอันตราย ด้วยเสด็จอยู่รถคันที่สอง ฝ่ายทหารก็ล้อมจับเอาตัวซังไหก๋งมัดเข้ามาถวาย ฮ่องเต้รับสั่งถามว่าใครใช้ให้มาทำการครั้งนี้ ซังไหก๋งก็กัดฟันตอบว่า
“……..ท่านไม่อยู่ในยุติธรรม คนคิดจะฆ่าท่านทั้งแผ่นดิน มิใช่แต่เราผู้เดียว ซึ่งเรามาทำการทั้งนี้ไม่มีผู้ใดใช้ เพราะท่านทำผิด เทพยดาจึงใช้ให้เรามาฆ่าท่านเสีย…..”
ฮ่องเต้ไม่ทรงเชื่อ จึงให้เตียวโก๋ขุนนางผู้ใหญ่ที่ตามเสด็จ กระทำโทษและซักถามเอาความจริงให้ได้ ซังไหก๋งมีความเจ็บและผูกใจแค้น คิดว่าเกิดมาเป็นชายได้กระทำความผิด สู้ตายแต่ผู้เดียวดีกว่า เตียวเหลียงเป็นผู้มีสติปัญญา แม้นชีวิตยังอยู่จะได้แก้แค้นเมื่อปลายมือ จึงลุกขึ้นกระโดดไปด้วยกำลังแรง เอาศรีษะกระแทกศิลาถึงแก่ความตาย ฮ่องเต้ก็หยุดขบวนอยู่ที่นั้น มีรับสั่งให้สืบหาผู้ร่วมทำการกับซังไหก๋ง แต่อยู่ถึงสิบวันก็ไม่ได้ความ จึงเดินทางต่อไป
ฝ่ายเตียวเหลียงเห็นการไม่สมคิด ก็หนีไปถึงเมืองพีแฮ อาศัยอยู่กับเพื่อชื่อ ห้างเป๊กผู้เป็นหลานห้างเอี๋ยง ขุนนางผู้ใหญ่เมืองฌ้อ วันหนึ่งเตียวเหลียงเดินออกมานอกเมือง ยืนอยู่ริมสะพานกี๋เกี๋ยว มีผู้เฒ่าคนหนึ่งนุ่งห่มเสื้อเหลือง เดินข้ามสะพานมาแล้วทำรองเท้าหล่นลงไปในน้ำ จึงบอกให้เตียวเหลียงเก็บมาให้ เตียวเหลียงก็ลงไปเก็บรองเท้ามาส่งให้ แต่ผู้เฒ่าก็แกล้งทำหล่นลงไปอีก เตียวเหลียงก็เก็บมาให้ถึงสามหน และไม่แสดงกิริยาโกรธ ผู้เฒ่าจึงสั่งว่าอีกห้าวันจงมาหาที่ต้นไม้นี้ ตนจะให้ของวิเศษสักสิ่งหนึ่ง
พอครบห้าวันเวลาเช้าเตียวเหลียงมาถึงที่นัด ก็เห็นผู้เฒ่ามานั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว เตียวเหลียงเข้าไปคุกเข่าคำนับ ผู้เฒ่าก็ว่าตนนัดไว้ให้มาเช้า ทำไมจึงมาต่อสาย จงกลับไปบ้านเสียก่อน อีกห้าวันจึงใหม่ ครั้งต่อมาเตียวเหลียงมาแต่เช้ามืด ก็เห็นผู้เฒ่ามาคอยอยู่ก่อน และว่าตนสั่งให้มาตอนค่ำทำไมจึงมาป่านนี้ แล้วก็ขับไปอีกห้าวันจึงมาใหม่ ครั้งหลังเตียวเหลียงกินอาหารเย็นแล้วก็ออกมาคอยผู้เฒ่าอยู่ จนถึงเวลาค่ำเดือนขึ้นสว่างผู้เฒ่าจึงมา เตียวเหลียงเข้าไปคำนับแล้วพินิจดูรูปร่างเห็นงามเหมือนเทวดา จึงว่าตนมาคอยอยู่นานแล้ว ช่วยสั่งสอนวิชาให้ตนด้วย
ผู้เฒ่าจึงว่าเจ้าเป็นหนุ่ม กำลังที่จะทำราชการ นานไปเบื้องหน้าจะเป็นที่ปรึกษาท่านผู้มีบุญ แล้วก็หยิบหนังสือจากแขนเสื้อออกมาส่งให้เตียวเหลียง แล้วว่า
“……..ถึงตำราซุยหงอครั้งแผ่นดินเลียดก๊ก ซึ่งผู้วิเศษให้นั้น จะเอามาเปรียบกับตำราของเรานี้ไม่ได้ จงเอาไปอ่านเล่าท่องให้ชำนาญไว้สำหรับตัว สืบไปเมื่อหน้าเจ้าจะได้บำรุงผู้มีคุณ ช่วยแก้แค้นเมืองหัน ซึ่งพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้กระทำให้ยับเยิน กิตติศัพท์จะลือคุณวิชาจะสว่างไป ดุจแสงพระจันทร์พระอาทิตย์ ทั้งชื่อเจ้าจะปรากฎอยู่ได้ถึงหมื่นปี…….”
เตียวเหลียงก็คุกเข่าลงคำนับ แล้วขอชื่อแซ่เอาไว้เป็นที่บูชาแห่งตน แต่ผู้เฒ่าบอกว่า เจ้าจงไปข้างหน้าอีกสามสิบปี จึงค่อยพบกันที่เมืองตั้วก๊กเสีย เตียวเหลียงก็กลับมาบ้าน และอ่านหนังสือนั้นซึ่งเป็นตำรา ดูได้ทั้งดาวและฤกษ์ชัดเจน จึงแนะนำให้ห้างเป๊กดูหาความรู้ไว้บ้าง
ฝ่ายพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ ครั้นเสด็จมาถึงเมืองชีจิ๋ว ไพร่บ้านพลเมืองเอาสิ่งของและโภชนสาลีมาถวาย ก็มีพระทัยยินดี พระราชทานรางวัลแล้วก็ยกจากเมืองชีจิ๋วไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงเมืองไพก้วน ก็ให้คนเที่ยวไปสืบดูว่าผู้ใดหน้าตาประหลาดให้จับมาฆ่าเสีย ขุนนางผู้ใหญ่ก็ทูลทัดทานไว้ว่า
“……พระองค์เสด็จมาครั้งนี้หวังจะระงับกิจ สุขทุกข์ราษฎรทั้งปวง ซึ่งพระองค์จะให้สืบจับเอาคนมาฆ่าเสียนั้น ข้าพเจ้าเห็นพลเมืองจะสะดุ้งตกใจยิ่งนัก………”
ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงเสด็จจากเมืองไพก้วนไปประทับแรมอยู่ที่เมืองก้วยกี๋ ในเมืองนี้ก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งชื่อห้างอี๋ รู้ว่าพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เสด็จมาถึง ก็ฉวยกระบี่ได้จะไปฆ่าฮ่องเต้เสีย ห้างเหลียงผู้อาก็ห้ามว่า
“…….ตัวเป็นผู้ชายควรจะหาความชอบไว้ในแผ่นดิน ชื่อเสียงจะได้ปรากฏไปภายหน้า จะมาทำเป็นคนหาปัญญามิได้ ลอบลักทิ่มแทงไม่บังควร จะให้เรียนหนังสือและเพลงอาวุธ ก็ไม่มีความเพียร จะร่ำเรียนสิ่งใดก็สอนยาก…….”
ห้างอี๋ก็เถียงว่า
“……..เรียนหนังสือ ถ้ารู้ก็จะปรากฏแต่ชื่อ จะเรียนเพลงอาวุธเล่า จะสู้ได้ก็แต่ตัวต่อตัว ป่วยการเสียเปล่า ข้าพเจ้าจะเที่ยวเรียนวิชา คนเดียวสู้ได้หมื่นคน……”
ห้างเหลียงเห็นหลานชายดื้อดึง ก็มิได้ว่ากล่าวตักเตือนอีกต่อไป ห้างอี๋ก็กำเริบจิต คิดจะทำร้ายพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ จึงเที่ยวดูภูมิฐานท่าทางทุกตำบล จนสิ้นแดนเมืองฌ้อต่อเมืองเหงา เพื่อคอยดักทำอันตรายแก่ฮ่องเต้
เมื่อพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เสด็จมาถึงเมืองตังกุ๋นนั้น เห็นแผ่นศิลาจารึกอักษรหกตัวว่า พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์ แผ่นดินจะปันซีกออก ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ขุนนางนายทหารไปหาตัวชาวบ้านมาซักถาม ก็ไม่ได้ความว่าผู้ใดทำไว้ ฮ่องเต้ก็จะให้จับเอาชาวบ้านใกล้เรือนเคียงแถวนั้นมาฆ่าเสีย ขุนนางผู้ใหญ่ก็ทักท้วงว่า
“……พระองค์เสด็จออกมาเที่ยวนานาประเทศ ได้เห็นการวิปริตต่าง ๆ จะเชื่อถืออันใดกับอักษรในแผ่นศิลา ชอบแต่ได้ตัวผู้ทำความผิดมาฆ่าเสียก็ควรอยู่ นี่ยังสืบสวนไม่ได้ จะให้ฆ่าคนทั้งปวงเสียนั้น ไม่สมควร ขอเชิญพระองค์เสด็จคืนเข้าพระนคร จัดคนไปพิทักษ์รักษาเมืองหน้าด่านไว้ให้มั่นคงจะดีกว่า…..”
ฮ่องเต้ก็เห็นชอบด้วย จึงเสด็จกลับมาถึงเมืองซองจิ๋ว รับสั่งให้หยุดรถประทับแรมอยู่ ครั้นเพลากลางคืนทรงบรรทมหลับแล้วฝันร้าย ตกพระทัยตื่นจากบรรทม ก็ให้ครั่นพระองค์เมื่อยมึนไปทั่วสรรพางค์กาย จึงรับสั่งให้ยกไปจากเมืองซองจิ๋ว ถึงตำบลสาขิวก็ประชวรหนักลง หมอหลวงประกอบยาถวายหลายหนโรคมิฟัง ฮ่องเต้มีความวิตกคิดถึงความหลังว่า พระองค์ให้ถมทะเลตะวันออก คงจะถูกต้องเทพยดาซึ่งสิงสู่อยู่ในท้องทะเลเป็นมั่นคง อันความเจ็บป่วยครั้งนี้เห็นจะจากราชสมบัติ จึงตรัสกับลิสือขุนนางผู้ใหญ่ว่า
“……..แต่ก่อนหาทันคิดไม่ ให้ฮูโซราชบุตรคนใหญ่ไปจากเมือง อันบุตรคนนี้เห็นพอจะบำรุงแผ่นดินได้ ถ้าหาบุญเราไม่แล้ว ท่านจงไปเชิญฮูโซมาครองราชสมบัติ มอบเครื่องกษัตริย์ให้สืบวงศ์ ซึ่งท่านดีต่อเราโดยสุจริตมาช้านาน กิจธุระบ้านเมืองมีมาประการใด ก็วางใจแต่ท่านผู้เดียว แม้นฮูโซขึ้นเป็นกษัตริย์ ท่านจงจัดแจงบำรุงช่วยรักษาพระนครด้วย……..”