คนดังแผ่นดินจื๋น๒๒ ม.ค.๕๗

กระทู้สนทนา
คนดังแผ่นดินจิ๋น

ฮ่องเต้ผู้ก่อกำแพงยักษ์

ตอนที่ ๕ ฮ่องเต้ใจโหด                        

“ เล่าเซี่ยงชุน “

        เมื่อพระเจ้าจิ๋นอ๋องเจ๋งแจ้งว่า พวกหัวเมืองทั้งปวงพากันมาคำนับลิปุดอุย ซึ่งได้คืนยศเป็นที่เสียงก๊กจังฮู ก็นึกเกรงว่าจะคิดกันกับพวกหัวเมืองกำเริบต่อแผ่นดิน จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า
        
                        “…….ลิปุดอุยผู้นี้มีความชอบ คิดแก้ไขพระบิดาเรามาได้จากเมืองเตียว พระบิดาเราก็ชุบเลี้ยงถึงขนาด ตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการ ก็สมควรอยู่แล้ว ใช่ลิปุดอุยจะมีความชอบโดยฝีมือรบพุ่งกล้าแข็ง ได้ราชสมบัติถวายก็หาไม่ เราเลี้ยงเป็นที่เสียงก๊กจังฮูก็เกินความชอบอยู่ เราคิดจะให้ไปอยู่เมืองซกเต้เสฉวน ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด…..”

        ขุนนางทั้งปวงครั้นจะทูลทัดทาน ก็กลัวจะไม่ชอบพระอัชฌาสัย ครั้นจะทูลตามรับสั่งก็เกรงจะขัดใจเสียงก๊กจังฮู ต่างคนก็นิ่งอยู่มิได้ว่าประการใด พระเจ้าจิ๋นอ๋องเจ๋งจึงเขียนหนังสือ ให้เจ้าพนักงานเอาไปให้เสียงก๊กจังฮู

        ลิปุดอุยเปิดหนังสือรับสั่งออกดูเห็นมีความว่า เสียงก๊กจังฮูมีความชอบมาแต่หลัง พระบิดาก็ตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการ ทุกวันนี้แผ่นดินเป็นของเรา ท่านใจเบาทำให้ได้ความอัปยศ หากคิดถึงพระบิดาซึ่งสวรรคาลัย จึงจะให้ไปเมืองซกเต้เสฉวน รักษาขอบขัณฑเสมา

        ลิปุดอุยอ่านทราบความแล้วก็ร้องไห้ รำพันว่า

        “……..ควรหรือพระเจ้าจิ๋นอ๋องเจ๋ง มาแคลงหมายจะเอาผิด แม้นมิไปก็จะตายด้วยขัดรับสั่ง เห็นจะต้องตามคำโบราณว่ามา ถ้าพระมหากษัตริย์แคลงผู้ใด มิได้เคลื่อนคลาย ความตายก็จะเยี่ยมเยือนอยู่เป็นนิจ เราก็แก่ถึงเพียงนี้จะสิ้นชีวิตอยู่ บุตรภรรยาและญาติจะพลอยเป็นอันตรายด้วยมั่นคง จำจะตายแต่เราผู้เดียวดีกว่า……..”

         ว่าแล้วก็กินยาพิษตายเสียในวันนั้นเอง พระเจ้าจิ๋นอ๋องเจ๋งครั้นแจ้งว่าเสียงก๊ก        จังฮูตายแล้ว ก็สั่งให้เอาศพไปฝังไว้นอกเมือง ข้างทิศเหนือแดนเมืองโฮหลำ

        ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้าจิ๋นอ๋องเจ๋งก็มีใจกำเริบ ให้หาขุนนางทั้งปวงเข้ามาพร้อมแล้วตรัสว่า

        “………เมืองใหญ่ทั้งหกเมือง ก็เป็นเมืองขึ้นเราแล้ว บุญเราก็มากเหมือนสามอ๋อง กษัตริย์สามพระองค์ หงอเต้กษัตริย์ห้าพระองค์ ซึ่งปราบแผ่นดินราบคาบ เราจะเปลี่ยนนามเป็นจิ๋นซีฮ่องเต้ ต้นกษัตริย์เชื้อวงศ์เรา จะได้เป็นยี่ซีฮ่องเต้ ซาซีฮ่องเต้ ลำดับกันลงไปจนสิ้นวงศ์……”

        และทรงเปลี่ยนชื่อเมืองจิ๋นเป็นเมืองห้ำเอี๋ยง ตั้งเป็นเมืองเอกสามสิบหกเมือง จัดเขตแดนผู้คนทแกล้วทหารไว้บริบูรณ์ทุกเมือง  เลือกจัดคนที่มีสติปัญญา เอาเข้ามาไว้ในเมืองห้ำเอี๋ยงเป็นอันมาก แล้วเอาทองคำหล่อรูปคนไว้สิบสองคน หวังจะให้กิตติศัพท์ปรากฏไปแก่หัวเมืองทั้งปวงว่า เมืองห้ำเอี๋ยงบริบูรณ์ไปด้วยสมบัติ กับให้ก่อตึกตำบลเซียงหลิม เป็นแถวเนื่องกันไปจนถึงตำบลเซียงปั่น ให้ทำถนนศิลาโดยตลอดถึงกัน แล้วให้เก็บบุตรีหัวเมืองเอก และบุตรีขุนนางที่รูปงาม มาไว้ที่ตำหนักเซียงหลิม

        พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นกษัตริย์ ครองราชสมบัติบริบูรณ์ได้สิบห้าปี มีพระชนมายุได้ยี่สิบเจ็ดปี อยู่มาวันหนึ่งเสด็จออกปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า

        “…….กษัตริย์มีบุญยาธิการสืบมาแต่ก่อน ย่อมเที่ยวเลียบพระนครตามอาณาเขตประเทศ และอาณาประชาราษฎรทั้งปวง จะมีความสุขหรือเดือดร้อน เราจะไปเลียบพระนคร ท่านจะเห็นประการใด…….”    

        ขุนนางทั้งปวงก็เห็นชอบด้วย จึงกราบทูลว่า

        “………ประเพณีกษัตริย์เสวยราชสมบัติสืบมา ย่อมออกเที่ยวทุกหัวเมือง เพราะว่ามีพระทัยกรุณาแก่นานาประเทศ และหัวเมืองราษฎรทั้งปวง ถ้ากษัตริย์พระองค์ใดมิได้ออกเลียบพระนคร เหมือนอยู่ในที่มืด หาเห็นเหตุการณ์อันใดไม่…….”

        พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ จัดรถและทหารโดยขบวนเสด็จ ครั้นเพลารุ่งพอได้ฤกษ์ ฮ่องเต้ก็ทรงรถเสด็จออกประตูฝ่ายทิศตะวันตก ถึงเมืองไพไส แล้วบ่ายรถไปทิศใต้ถึงภูเขาเกเถา แล้วให้ชักรถมาทางตะวันออก ถึงเขาตังเงงักทายสาน ลงจากภูเขาข้ามแม่น้ำฮวยปูกั๋ง ประทับเมืองลำกุ๋น แล้วเสด็จกลับมาใกล้เมืองห้ำเอี๋ยง ขุนนางทั้งหลายก็ออกมาคำนับรับเสด็จเข้าเมือง แต่นั้นมาพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ก็ไม่ค่อยจะมีความสุข แม้แต่เสด็จไปเที่ยวชมสวนดอกไม้สวยงาม ก็ไม่สบายพระทัย ครั้งลงไปทรงน้ำในสระก็ไม่สว่างพระอารมณ์ จนมาหยุดพักที่ตำหนักในสวน ก็เผลอหลับไป และฝันประหลาด ครั้นตื่นบรรทมแล้วก็ไม่สบายพระทัย ดำริว่าฝันนี้ประหลาดอยู่ นานไปเห็นแผ่นดินเมืองเรา จะได้แก่ผู้อื่นเป็นมั่นคง คิดเสียดายสมบัติยิ่งนัก

        ครั้นอยู่มาวันหนึ่งจึงตรัสถามขุนนางว่า ผู้ใดรู้จักสรรพยาซึ่งจะให้เจริญอายุขึ้นไป ถึงหมื่นปีมีบ้างหรือไม่ ขุนนางโหรก็บอกว่ามีเพื่อนชื่อซืออกเล่าให้ฟังว่า ในทะเลตะวันออกมีเกาะชื่อสำสินสาน บนเกาะนั้นมีภูเขาใหญ่ตั้งอยู่เป็นสามเส้า มีวัดและฤาษีอยู่บนเกาะ ที่นั้นมียาอายุยืน ถ้าผู้ใดได้กินยานั้นก็จะมีอายุนับพัน ฮ่องเต้ก็ให้หาตัวซืออกเข้ามาเฝ้า แล้วรับสั่งให้ไปหายาอายุวัฒนะนั้นมาให้ได้

        ซืออกก็ขอสำเภาสิบลำ เด็กชายห้าร้อย เด็กหญิงห้าร้อย เงินทองเครื่องใช้เบ็ดเสร็จ เสบียงอาหารให้พอสำหรับเลี้ยงกันในทะเล กว่าจะกลับมา ฮ่องเต้ก็ประทานให้ตามที่ขอ ซืออกก็ยกขบวนเรือออกจากเมืองห้ำเอี๋ยงไป แต่ฮ่องเต้รออยู่ประมาณสามปี ก็ไม่เห็นซืออกกลับมา จึงมีรับสั่งให้หล่อเสงไปตามสืบเสาะดูว่า ซืออกไปอยู่แห่งใดจะได้สรรพยาหรือไม่

        หล่อเสงก็คำนับลาออกมาจัดสำเภาลำใหญ่ แล้วก็ใช้ใบออกไปในทะเล ครั้นถึงที่แห่งหนึ่งจอดเรือชายฝั่งแล้วก็ขึ้นไปดูลงมาในทะเล เห็นแต่คลื่นใหญ่กลิ้งเป็นภูเขา ลมก็แรงเป็นหมอกมืดคลุ้ม ก็ทอดใจใหญ่อยู่ไม่รู้ที่จะติดตามซืออกไปทางใด แล้วก็กลับมาลงเรือคิดว่า ตนมาครั้งนี้ไพร่พลลำบากนัก ซืออกลวงฮ่องเต้ให้เสียทรัพย์ และคนหลวงเป็นอันมาก ครั้นตนจะกลับไปมิได้ราชการก็คงจะไม่พ้นโทษ จึงชวนคนสนิทสิบคนลงจากสำเภาเข้าไปในป่า ถึงภูเขาลูกหนึ่งก็ขึ้นไปพบผู้เฒ่าคนหนึ่ง นอนอยู่บนแผ่นศิลาประหลาด คิดว่าเป็นผู้วิเศษ จึงเข้าไปคำนับ

        ผู้เฒ่าก็ลุกขึ้นนั่งถามชื่อแซ่และว่าเหตุใดจึงมาถึงที่นี่ หล่อเสงก็บอกชื่อให้ และว่าตนถือรับสั่งพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ ให้มาสืบหายาอายุวัฒนะ ผู้เฒ่าก็หัวเราะแล้วว่า

        “……..อันสรรพยาจะบำบัดได้ก็แต่โรคในกาย ซึ่งจะให้เจริญอายุถึงพันนั้นไม่มี เกิดมาถึงกำหนดแล้วก็จะตายเป็นเที่ยง จิ๋นซีฮ่องเต้คนนี้จะมิโฉดเสียแล้วหรือ……..”

        หล่อเสงก็คลานเข้าไปอ้อนวอนว่า

        “……ท่านจงกรุณาข้าพเจ้า จะกลับไปไม่มีสิ่งใดเป็นสำคัญ กลัวอาญาพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ยิ่งนัก……”

        ผู้เฒ่าจึงเอามือผลักแผ่นศิลาประตูถ้ำเปิดออก แล้วหยิบหนังสือมาส่งให้เล่มหนึ่ง แล้วว่า จงเอาไปให้จิ๋นซีฮ่องเต้ ก็จะแจ้งความดีร้าย อยู่ในหนังสือนี้ทุกประการ หล่อเสงรับหนังสือแล้ว ก็อ้อนวอนขอยาอีก แต่ผู้เฒ่าก็หลับตานอนนิ่งเสีย หล่อเสงจึงคำนับลาผู้เฒ่าลงเรือสำเภากลับมาเมืองห้ำเอี๋ยง ครั้นถึงก็ขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ ทูลความซึ่งตามซืออกไม่พบ แต่ได้หนังสือจากผู้วิเศษบนยอดเขา ฝากมาถวาย

        ฮ่องเต้รับหนังสือมาคลี่ดู เห็นเป็นตำราลำดับกษัตริย์ มีตัวหนังสือแต่อ่านไม่ออก ให้ขุนนางอ่านก็ไม่ตลอด พอได้ความว่า
เมืองจิ๋นจะเสียเพราะปักเฮา พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ก็ตกพระทัยคิดว่าคำเทวดามาบอกเหตุ จึงมีรับสั่งให้มงเทียมขุนนางผู้ใหญ่ คุมไพร่แปดสิบหมื่น ไปทำกำแพงกั้นแดนด้านเหนือ ยาวหมื่นเส้น ข้างตะวันออกให้ถมทะเลเสีย ทิศตะวันตกให้ทำตำหนัก        อาปงจ๋งอันรโหฐาน บนเขาสีลานเป็นที่ประทับ ส่วนด้านใต้ให้ถมช่องว่างระหว่าภูเขาห้าลูกให้ประจบกัน ป้องกันข้าศึกไม่ให้เข้ามาทั้งสี่ทิศ มงเทียมก็มีหนังสือไปทุกหัวเมืองทั้งสี่ทิศ เกณฑ์คนมาทำการ ครั้งนั้นอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน หนีไปซ่องสุมอยู่ป่าดงเป็นอันมาก

        อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางผู้ใหญ่ผู้หนึ่งกราบทูลว่า

        “………ซึ่งมีรับสั่งให้ไปทำการปลูกตำหนัก แต่งงามประหลาด ก่อกำแพง ถมทะเล สอบภูเขา จะป้องกันได้แต่ศัตรูภายนอก อันศัตรูภายในนั้นจะป้องกันมิได้ ด้วยคนเรียนรู้ดูฤกษ์และตำรากลศึก ในใจกำเริบต่อแผ่นดิน…….”

        พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้จึงให้เก็บหนังสือตำราแต่โบราณ ทั้งตำรับกลศึกมาเผาเสียสิ้น แล้วให้จับคนซึ่งเรียนรู้ดูตำรา มาใส่คุกเสียสี่ร้อยหกสิบเศษ แล้วแคลงพระทัยกลัวคนจะนินทา จึงสั่งให้แจกกฎหมายจนทั่ว ถ้าผู้ใดไม่เกรงกลัวกล่าวขวัญให้จับตัวมาฆ่าเสีย

        ฝ่ายฮูโซราชบุตรผู้ใหญ่ จึงทูลว่า

        “……ซึ่งพระองค์ให้จับคนที่มีปัญญา เรียนรู้ตำรับโบราณมาจำไว้ดังนี้ เห็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจะมีแต่ความเดือดร้อนนัก…….”

        ฮ่องเต้ก็ทรงพระโกรธว่าลูกคนนี้ให้อยู่ในเมืองมิได้ จึงสั่งให้ฮูโซไปกำกับมงเทียม ก่อกำแพงจนกว่าจะแล้ว ฮูโซก็คำนับลาไปกำกับดูการก่อกำแพงตามรับสั่ง

###########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่