สามก๊กฉบับอ่านซ้ำ
อัศวินจากภาคบูรพา
“ เล่าเซี่ยงชุน “
เมื่อลิฉุยกับกุยกียกทหารตามฮ่องเต้ มาถึงริมฝั่งแม่น้ำฮองโหนั้น พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ข้ามฟากไปแล้ว ยังเหลือแต่ขุนนางผู้น้อยนางสนมและขันที เท่านั้น จึงสั่งให้ทหารจับไว้ทั้งหมด ก็พอดีฮองอิบเจ้าเมืองโฮต๋องซึ่งเป็นคนที่สองทรชนนับถืออยู่ ข้ามน้ำมาห้ามไว้ว่า
“.........ซึ่งท่านยกติดตามมาจะทำร้ายพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นไม่ควร ราษฎรทั้งปวงจะนินทาได้ ท่านจงยกกลับไปเสียเถิด แม้นฟังคำเราความสรรเสริญก็จะมีแก่ท่าน ไปชั่วนี้ชั่วหน้า.....”
ทั้งสองก็เห็นชอบด้วย จึงปล่อยขุนนางและพระสนมกับขันทีทั้งนั้นไป ส่วนเจ้าเมืองโฮต๋องกับเจ้าเมืองโห้ลาย ก็จัดแจงข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงดูฮ่องเต้และผู้ติดตาม ให้อยู่เป็นสุขสบาย แต่เอียวฮองกับตังสินปรึกษากับขุนนางผู้ใหญ่แล้ว เห็นควรพาฮ่องเต้เสด็จไปอยู่ที่เมือง ลกเอี๋ยงเมืองหลวงเก่า ที่ถูกตั๋งโต๊ะเผาทิ้งไปแล้ว ลิงักนายโจรนั้นไม่เห็นด้วย จะอยู่ที่ตำบลอันอิบ ตังสินกับเอียวฮองจึงเชิญฮ่องเต้และมเหสีขึ้นเกวียน ยกขบวนเสด็จไปเมืองลกเอี๋ยง
แต่ลิงักกลับแจ้งข่าวให้ลิฉุยกับกุยกีทราบ ว่าขบวนเสด็จจะไปเมืองลกเอี๋ยง และตนเองก็พาลิ่วล้อของตนติดตามไปปล้นขบวนเสด็จด้วยความโลภ เมื่อไปทันที่เขากิสาน เอียวฮองก็ให้ซิหลงระวังหลังคอยรบกับลิงัก จนฆ่าลิงักฆ่าตาย แล้ว จึงติดตามขบวนไปจนถึงเมืองลกเอี๋ยง ซึ่งพระราชวังตำหนักและตึกรามที่ถูกเพลิงไหม้สิ้นทั้งเมือง มีต้นไม้และหญ้าขึ้นรกอยู่ดังป่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็นก็ทรงพระกันแสง ว่าเมืองนี้พระมหากษัตริย์สร้างไว้เป็นบรมสุขมาแต่ก่อน ครั้งนี้มาสูญเสียแล้ว
ขุนนางทั้งปวงจึงคุมพลให้แผ้วถางป่ารกให้ราบเรียบ แล้วปลูกตำหนักข้างหน้าข้างใน แลที่เสด็จออกว่าราชการริมพระที่นั่งใหญ่ซึ่งเพลิงไหม้นั้น เสร็จแล้วก็เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ขึ้นประทับ ขุนนางทั้งปวงเข้ามาเฝ้าตามอย่างตามธรรมเนียม เมื่อราษฎรรู้ข่าวก็กลับเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ประมาณห้าร้อยหลังคาเรือน ในขณะนั้นข้าวปลาอาหารขาดแคลน ราษฎรทั้งปวงก็อดอยาก ชวนกันไปขุดรากหญ้าแลเปลือกไม้มากินต่างอาหาร ขุนนางผู้น้อยแลทหารกับราษฎร ซึ่งเที่ยวซอกซอนเข้าไปเก็บผักหักฟืน ในตึกและช่องกุฏิและคลังที่เพิงไหม้มาแต่ก่อน ผนังตึกแลซุ้มประตูถล่มลงทับตายไปเป็นอันมาก
อยู่มาเอียวปิวขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลประเจ้าเหี้ยนเต้ว่า
“.........พระองค์ทรงพระอักษรมอบข้าพเจ้าไว้นั้น ข้าพเจ้ายังมิได้เอาไปให้โจโฉ....”
ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้เร่งแต่งคนเอาไปให้โจโฉ ให้หาตัวมาช่วยราชการในเมืองลกเอี๋ยง เอียวปิวจึงแต่งทหารให้ถือพระอักษรไปให้โจโฉที่เมืองกุนจิ๋ว ซึ่งโจโฉได้ตั้งเป็นเมืองเอกปกครองภาคตะวันออกอยู่ แต่ยังไม่ทันได้ทราบข่าว ลิฉุยกับกุยกีก็ยกกองทัพมาใกล้ด่านเมือง ลกเอี๋ยง พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงพระดำริว่า บ้านเมืองก็ยังมิได้ตกแต่ง ค่ายคูประตูหอรบก็ไม่มั่นคง ทหารในเมืองก็มีน้อย ทั้งผู้ถือหนังสือไปหาโจโฉนั้นก็ยังมิได้กลับมา จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่าจะคิดประการใด
เอียวฮองกับหันเซียมจึงทูลว่า
“............ซึ่งลิฉุย กุยกียกมานั้น พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปรบป้องกัน สนองพระคุณกว่าจะสิ้นชีวิต.........”
ตัวสินก็แย้งว่า
“............ในเมืองลกเอี๋ยงนี้ ก็ยังมิได้แต่งค่ายคูประตูหอรบ ซึ่งท่านทั้งสองจะยกออกไปต่อรบด้วยลิฉุย กุยกีนั้น เราเห็นจะเสียแก่มันฝ่ายเดียว เราคิดจะเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ หนีไปข้างหัวเมืองตะวันออก...........”
ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นชอบด้วย ตังสินกับขุนนางทั้งปวงก็เชิญเสด็จฮ่องเต้กับพระมเหสีขึ้นรถออกจากเมืองลกเอี๋ยง เมื่อไปได้ประมาณห้าสิบเส้น ก็เห็นกองทัพยกมาจากทิศตะวันออก ทหารทั้งปวงโห่ร้องอื้ออึงเป็นอันมาก ผู้ถือหนังสือรับสั่งก็ควบม้านำมาถึงหน้ารถที่ประทับของฮ่องเต้ กราบทูลว่า
“..............บัดนี้โจโฉยกกองทัพมาถึงกลางทาง รู้กิตติศัพท์ว่าลิฉุยกุยกี ยกเข้ามาใกล้ด่านเมืองลกเอี๋ยง โจโฉจึงให้แฮหัวตุ้น เคาทู เตียนอุย คุมทหารห้าหมื่นเป็นทัพหน้ารีบยกมา หวังจะป้องกันรักษาพระองค์ก่อน...........”
พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็มีความยินดี แฮหัวตุ้น ก็พา เคาทู กับ เตียนอุย เข้าไปกราบถวายบังคม ยังมิทันจะได้ตรัสถามความประการใด ก็มีกองทัพยกตามมาจากทางทิศตะวันออกอีกหนึ่งกอง แฮหัวตุ้นก็ออกไปต้อนรับ พาเอาโจหอง ลิเตียน และงักจิ้น เข้ามาเฝ้าฮ่องเต้ โจหองก็กราบทูลว่า
“............โจโฉให้แฮหัวตุ้น เคาทู เตียนอุยยกมาก่อนนั้น เห็นว่าทหารน้อยนัก จึงให้ข้าพเจ้าทั้งสามนี้ คุมทหารยกมาเติมหวังจะได้ช่วยรบด้วย ฆ่าอ้ายพวกเหล่าร้ายเสีย.........”
ฮ่องเต้ก้ตรัสว่า
“............โจโฉมีสติปัญญาเป็นอันมาก แล้วก็มีใจสัตย์ซื่อต่อเรา ควรที่จะทำนุบำรุงแผ่นดิน..........”
ฝ่ายม้าใช้ข้างทิศตะวันตก ก็เข้ามารายงานว่าทัพลิฉุยกุยแกเข้ามาในแดนแล้ว หาผู้ใดต้านทานมิได้ แฮหัวตุ้นจึงกราบทูลว่า
“.............ซึ่งพวกเหล่าร้ายยกเข้ามานั้น พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้าทั้งปวงผู้เป็นทัพหน้าโจโฉ จะขออาสายกออกไปรบให้เหล่าร้ายแตกไปจงได้...........”
แล้วก็กราบถวายบังคมลา ยกพลออกไปต่อสู้กับลิฉุยกุยกี แฮหัวตุ้นเป็นกองขวา โจหองเป็นกองซ้าย ยกทหารเข้าตีกระหนาบ ฆ่าฟันทหารของ ลิฉุยกุยกีแตกพ่ายยับเยิน ทั้งสอง ต้านทานมิได้ก็พาทหารที่เหลือหนีไป แฮหัวตุ้นกับโจหองก็ยกกลับมาเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กลับเข้าไปอยู่ในเมืองลกเอี๋ยง แล้วจัดแจงทหารทั้งปวงตั้งล้อมวงอยู่นอกกำแพง
อีกไม่นานโจโฉก็ยกกองทัพสามสิบหมื่นมาถึงเมืองลกเอี๋ยง เมื่อเข้าไปคุกเข่าถวายบังคมฮ่องเต้แล้ว ก็กราบทูลว่า
“.............ซึ่งพระองค์ชุบเลี้ยงข้าพเจ้ามาแต่ก่อนนั้น ก็คิดอยู่ว่าจะสนองพระคุณมิได้ขาด ครั้งนี้ลิฉุย กุยกี ทำการหยาบช้าต่อพระองค์นั้น อย่าได้ทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดอ่านฆ่าลิฉุยกุยกีเสียให้ได้.........”
พระเจ้าเหี้ยนเต้มีความยินดีนัก จึงตั้งให้โจโฉเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมือง ว่าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน
ฝ่ายลิฉุยกับกุยกีซึ่งแตกไปตั้งรวบรวมทหารอยู่นั้น ก็ปรึกษากันว่า
“...........ถ้าเราละไว้ช้าทหารโจโฉก็จะมีกำลังมากขึ้น จำเราจะยกเข้าตีเอาอย่าให้ทันตั้งตัวได้ เห็นจะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง.........”
กาเซี่ยงที่ปรึกษาจึงว่า
“...........ท่านคิดทั้งนี้ไม่ควร ด้วยโจโฉมีทหารเอกทหารเลวเป็นอันมาก ทหารเราก็มีน้อยเห็นจะต้านทานมิได้ อุปมาดั่งเนื้อไปสู้เสือ ขอให้แต่งคนไปขอโทษ แล้วว่าจะเข้าเกลี้ยกล่อมยอมทำราชการด้วย เห็นโจโฉจะมีใจเมตตาท่านทั้งสอง.........”
ทั้งสองนายได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่า
“...เราจะทำสงครามแก่โจโฉอยู่ ตัวมาว่ากล่าวทั้งนี้หวังจะให้ทหารเราเสียใจ ...”
ว่าแล้วก็ชักกระบี่จะฟันกาเซี่ยงเสีย ทหารทั้งปวงก็เข้าขอโทษไว้ กาเซี่ยงมีความน้อยใจนัก พอถึงเวลาค่ำก็ขึ้นม้าหนีกลับบ้าน แล้วเลยออกจากเมืองลกเอี๋ยง ไปอยู่กับเตียวสิ้วที่เมืองอ้วนเซีย
วันรุ่งขึ้นลิฉุยกับกุยกีก็จัดแจงทหารให้ลิเซียมกับลิเป๊กเป็นทัพหน้า เคลื่อนทัพไปรบกับโจโฉ ฝ่ายโจโฉก็ให้เคาทูเตียนอุยและโจหยิน คุมทหารออกไปต่อสู้ รบกันได้ไม่กี่เพลงเคาทูก็ฆ่าแม่ทัพหน้าตายทั้งสองคน แล้วโจโฉจึงให้แฮหัวตุ้นเป็นกองหน้า โจโฉเป็นกองหลวง ยกเป็นหน้ากระดานขึ้นมาไล่ขยี้ทหารของลิฉุยกุยกีล้มตายเป็นอันมาก ทหารที่เหลือก็ทิ้งอาวุธยอมแพ้โจโฉสิ้น ตัวนายทัพทั้งสองก็พากันขับม้าหนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ที่หลังเขาแห่งหนึ่ง ไม่มีโอกาสกลับมาแก้แค้นได้อีกเลย
โจโฉได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาดแล้ว ก็เป็นใหญ่ในเมืองหลวง แต่เอียวฮองกับซิหลง และ หันเซียม ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของโจโฉจึงพาทหารของตนหนีออกจากเมืองลกเอี๋ยง ต่อมาโจโฉเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ ย้ายไปอยู่ที่เมืองฮูโต๋ในเขตปกครองของตน เอียวฮองก็พาพวกมาโจมตีขบวนเสด็จของฮ่องเต้ แต่ถูกโจโฉตีแตกพ่าย และโจโฉให้คนไปเกลี้ยกล่อมซิหลงให้ยอมอ่อนน้อมด้วย ส่วนเอียวฮองกับหันเซียม ต้องหนีไปอยู่กับอ้วนสุด ที่เมืองลำหยง
สุดท้ายโจโฉก็ได้เป็นมหาอุปราช สำเร็จราชการแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ต่อมาอีกนานหลายสิบปี ส่วนลิฉุยกับกุยกีนั้นหนีไปกบดานอยู่เป็นเวลานาน แต่ลงท้ายก็ถูก ตวนอุย กับงอสิบจับตัวได้ จึงตัดศรีษะคนทั้งสอง แล้วคุมสมัครพรรคพวกไปให้โจโฉที่เมืองฮูโต๋ โจโฉก็ยินดีมาก ให้ทหารเอาศรีษะลิฉุยและกุยกี กับสมัครพรรคพวก เสียบประจานไว้ทุกประตูเมือง แล้วเอาเนื้อความไปกราบทูลฮ่องเต้ทรงทราบ
พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ดีพระทัยตรัสว่า
“...........แผ่นดินของเราครั้งนี้จะอยู่เย็นเป็นสุข มิได้มีเสี้ยนหนามแล้ว.........”
สี่ทรชนสมุนของตั๋งโต๊ะทรราชย์ผู้มีชื่อเสียงในทางชั่วร้าย จึงสิ้นชีพลงสามนาย คงเหลือแต่เตียวเจซึ่งรับราชการเป็นนายทหารอยู่ที่เมืองเตียงฮันเพียงผู้เดียว และก็ไม่มีเรื่องราวให้เอ่ยถึงอีกต่อไป
แต่แผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็มิได้อยู่เย็นเป็นสุขอย่างที่คิด คงรบราฆ่าฟันกันต่อไปอีกหลายสิบปี จนสุดท้ายฮ่องเต้เองก็ถูกทายาทของโจโฉชิงราชสมบัติเสียจนได้.
##########
อัศวืยจากภาคบูรพา ๒๓ ก.พ.๕๗
อัศวินจากภาคบูรพา
“ เล่าเซี่ยงชุน “
เมื่อลิฉุยกับกุยกียกทหารตามฮ่องเต้ มาถึงริมฝั่งแม่น้ำฮองโหนั้น พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ข้ามฟากไปแล้ว ยังเหลือแต่ขุนนางผู้น้อยนางสนมและขันที เท่านั้น จึงสั่งให้ทหารจับไว้ทั้งหมด ก็พอดีฮองอิบเจ้าเมืองโฮต๋องซึ่งเป็นคนที่สองทรชนนับถืออยู่ ข้ามน้ำมาห้ามไว้ว่า
“.........ซึ่งท่านยกติดตามมาจะทำร้ายพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นไม่ควร ราษฎรทั้งปวงจะนินทาได้ ท่านจงยกกลับไปเสียเถิด แม้นฟังคำเราความสรรเสริญก็จะมีแก่ท่าน ไปชั่วนี้ชั่วหน้า.....”
ทั้งสองก็เห็นชอบด้วย จึงปล่อยขุนนางและพระสนมกับขันทีทั้งนั้นไป ส่วนเจ้าเมืองโฮต๋องกับเจ้าเมืองโห้ลาย ก็จัดแจงข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงดูฮ่องเต้และผู้ติดตาม ให้อยู่เป็นสุขสบาย แต่เอียวฮองกับตังสินปรึกษากับขุนนางผู้ใหญ่แล้ว เห็นควรพาฮ่องเต้เสด็จไปอยู่ที่เมือง ลกเอี๋ยงเมืองหลวงเก่า ที่ถูกตั๋งโต๊ะเผาทิ้งไปแล้ว ลิงักนายโจรนั้นไม่เห็นด้วย จะอยู่ที่ตำบลอันอิบ ตังสินกับเอียวฮองจึงเชิญฮ่องเต้และมเหสีขึ้นเกวียน ยกขบวนเสด็จไปเมืองลกเอี๋ยง
แต่ลิงักกลับแจ้งข่าวให้ลิฉุยกับกุยกีทราบ ว่าขบวนเสด็จจะไปเมืองลกเอี๋ยง และตนเองก็พาลิ่วล้อของตนติดตามไปปล้นขบวนเสด็จด้วยความโลภ เมื่อไปทันที่เขากิสาน เอียวฮองก็ให้ซิหลงระวังหลังคอยรบกับลิงัก จนฆ่าลิงักฆ่าตาย แล้ว จึงติดตามขบวนไปจนถึงเมืองลกเอี๋ยง ซึ่งพระราชวังตำหนักและตึกรามที่ถูกเพลิงไหม้สิ้นทั้งเมือง มีต้นไม้และหญ้าขึ้นรกอยู่ดังป่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็นก็ทรงพระกันแสง ว่าเมืองนี้พระมหากษัตริย์สร้างไว้เป็นบรมสุขมาแต่ก่อน ครั้งนี้มาสูญเสียแล้ว
ขุนนางทั้งปวงจึงคุมพลให้แผ้วถางป่ารกให้ราบเรียบ แล้วปลูกตำหนักข้างหน้าข้างใน แลที่เสด็จออกว่าราชการริมพระที่นั่งใหญ่ซึ่งเพลิงไหม้นั้น เสร็จแล้วก็เชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ขึ้นประทับ ขุนนางทั้งปวงเข้ามาเฝ้าตามอย่างตามธรรมเนียม เมื่อราษฎรรู้ข่าวก็กลับเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ประมาณห้าร้อยหลังคาเรือน ในขณะนั้นข้าวปลาอาหารขาดแคลน ราษฎรทั้งปวงก็อดอยาก ชวนกันไปขุดรากหญ้าแลเปลือกไม้มากินต่างอาหาร ขุนนางผู้น้อยแลทหารกับราษฎร ซึ่งเที่ยวซอกซอนเข้าไปเก็บผักหักฟืน ในตึกและช่องกุฏิและคลังที่เพิงไหม้มาแต่ก่อน ผนังตึกแลซุ้มประตูถล่มลงทับตายไปเป็นอันมาก
อยู่มาเอียวปิวขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลประเจ้าเหี้ยนเต้ว่า
“.........พระองค์ทรงพระอักษรมอบข้าพเจ้าไว้นั้น ข้าพเจ้ายังมิได้เอาไปให้โจโฉ....”
ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้เร่งแต่งคนเอาไปให้โจโฉ ให้หาตัวมาช่วยราชการในเมืองลกเอี๋ยง เอียวปิวจึงแต่งทหารให้ถือพระอักษรไปให้โจโฉที่เมืองกุนจิ๋ว ซึ่งโจโฉได้ตั้งเป็นเมืองเอกปกครองภาคตะวันออกอยู่ แต่ยังไม่ทันได้ทราบข่าว ลิฉุยกับกุยกีก็ยกกองทัพมาใกล้ด่านเมือง ลกเอี๋ยง พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงพระดำริว่า บ้านเมืองก็ยังมิได้ตกแต่ง ค่ายคูประตูหอรบก็ไม่มั่นคง ทหารในเมืองก็มีน้อย ทั้งผู้ถือหนังสือไปหาโจโฉนั้นก็ยังมิได้กลับมา จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่าจะคิดประการใด
เอียวฮองกับหันเซียมจึงทูลว่า
“............ซึ่งลิฉุย กุยกียกมานั้น พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปรบป้องกัน สนองพระคุณกว่าจะสิ้นชีวิต.........”
ตัวสินก็แย้งว่า
“............ในเมืองลกเอี๋ยงนี้ ก็ยังมิได้แต่งค่ายคูประตูหอรบ ซึ่งท่านทั้งสองจะยกออกไปต่อรบด้วยลิฉุย กุยกีนั้น เราเห็นจะเสียแก่มันฝ่ายเดียว เราคิดจะเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ หนีไปข้างหัวเมืองตะวันออก...........”
ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นชอบด้วย ตังสินกับขุนนางทั้งปวงก็เชิญเสด็จฮ่องเต้กับพระมเหสีขึ้นรถออกจากเมืองลกเอี๋ยง เมื่อไปได้ประมาณห้าสิบเส้น ก็เห็นกองทัพยกมาจากทิศตะวันออก ทหารทั้งปวงโห่ร้องอื้ออึงเป็นอันมาก ผู้ถือหนังสือรับสั่งก็ควบม้านำมาถึงหน้ารถที่ประทับของฮ่องเต้ กราบทูลว่า
“..............บัดนี้โจโฉยกกองทัพมาถึงกลางทาง รู้กิตติศัพท์ว่าลิฉุยกุยกี ยกเข้ามาใกล้ด่านเมืองลกเอี๋ยง โจโฉจึงให้แฮหัวตุ้น เคาทู เตียนอุย คุมทหารห้าหมื่นเป็นทัพหน้ารีบยกมา หวังจะป้องกันรักษาพระองค์ก่อน...........”
พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็มีความยินดี แฮหัวตุ้น ก็พา เคาทู กับ เตียนอุย เข้าไปกราบถวายบังคม ยังมิทันจะได้ตรัสถามความประการใด ก็มีกองทัพยกตามมาจากทางทิศตะวันออกอีกหนึ่งกอง แฮหัวตุ้นก็ออกไปต้อนรับ พาเอาโจหอง ลิเตียน และงักจิ้น เข้ามาเฝ้าฮ่องเต้ โจหองก็กราบทูลว่า
“............โจโฉให้แฮหัวตุ้น เคาทู เตียนอุยยกมาก่อนนั้น เห็นว่าทหารน้อยนัก จึงให้ข้าพเจ้าทั้งสามนี้ คุมทหารยกมาเติมหวังจะได้ช่วยรบด้วย ฆ่าอ้ายพวกเหล่าร้ายเสีย.........”
ฮ่องเต้ก้ตรัสว่า
“............โจโฉมีสติปัญญาเป็นอันมาก แล้วก็มีใจสัตย์ซื่อต่อเรา ควรที่จะทำนุบำรุงแผ่นดิน..........”
ฝ่ายม้าใช้ข้างทิศตะวันตก ก็เข้ามารายงานว่าทัพลิฉุยกุยแกเข้ามาในแดนแล้ว หาผู้ใดต้านทานมิได้ แฮหัวตุ้นจึงกราบทูลว่า
“.............ซึ่งพวกเหล่าร้ายยกเข้ามานั้น พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้าทั้งปวงผู้เป็นทัพหน้าโจโฉ จะขออาสายกออกไปรบให้เหล่าร้ายแตกไปจงได้...........”
แล้วก็กราบถวายบังคมลา ยกพลออกไปต่อสู้กับลิฉุยกุยกี แฮหัวตุ้นเป็นกองขวา โจหองเป็นกองซ้าย ยกทหารเข้าตีกระหนาบ ฆ่าฟันทหารของ ลิฉุยกุยกีแตกพ่ายยับเยิน ทั้งสอง ต้านทานมิได้ก็พาทหารที่เหลือหนีไป แฮหัวตุ้นกับโจหองก็ยกกลับมาเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กลับเข้าไปอยู่ในเมืองลกเอี๋ยง แล้วจัดแจงทหารทั้งปวงตั้งล้อมวงอยู่นอกกำแพง
อีกไม่นานโจโฉก็ยกกองทัพสามสิบหมื่นมาถึงเมืองลกเอี๋ยง เมื่อเข้าไปคุกเข่าถวายบังคมฮ่องเต้แล้ว ก็กราบทูลว่า
“.............ซึ่งพระองค์ชุบเลี้ยงข้าพเจ้ามาแต่ก่อนนั้น ก็คิดอยู่ว่าจะสนองพระคุณมิได้ขาด ครั้งนี้ลิฉุย กุยกี ทำการหยาบช้าต่อพระองค์นั้น อย่าได้ทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดอ่านฆ่าลิฉุยกุยกีเสียให้ได้.........”
พระเจ้าเหี้ยนเต้มีความยินดีนัก จึงตั้งให้โจโฉเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมือง ว่าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน
ฝ่ายลิฉุยกับกุยกีซึ่งแตกไปตั้งรวบรวมทหารอยู่นั้น ก็ปรึกษากันว่า
“...........ถ้าเราละไว้ช้าทหารโจโฉก็จะมีกำลังมากขึ้น จำเราจะยกเข้าตีเอาอย่าให้ทันตั้งตัวได้ เห็นจะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง.........”
กาเซี่ยงที่ปรึกษาจึงว่า
“...........ท่านคิดทั้งนี้ไม่ควร ด้วยโจโฉมีทหารเอกทหารเลวเป็นอันมาก ทหารเราก็มีน้อยเห็นจะต้านทานมิได้ อุปมาดั่งเนื้อไปสู้เสือ ขอให้แต่งคนไปขอโทษ แล้วว่าจะเข้าเกลี้ยกล่อมยอมทำราชการด้วย เห็นโจโฉจะมีใจเมตตาท่านทั้งสอง.........”
ทั้งสองนายได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่า
“...เราจะทำสงครามแก่โจโฉอยู่ ตัวมาว่ากล่าวทั้งนี้หวังจะให้ทหารเราเสียใจ ...”
ว่าแล้วก็ชักกระบี่จะฟันกาเซี่ยงเสีย ทหารทั้งปวงก็เข้าขอโทษไว้ กาเซี่ยงมีความน้อยใจนัก พอถึงเวลาค่ำก็ขึ้นม้าหนีกลับบ้าน แล้วเลยออกจากเมืองลกเอี๋ยง ไปอยู่กับเตียวสิ้วที่เมืองอ้วนเซีย
วันรุ่งขึ้นลิฉุยกับกุยกีก็จัดแจงทหารให้ลิเซียมกับลิเป๊กเป็นทัพหน้า เคลื่อนทัพไปรบกับโจโฉ ฝ่ายโจโฉก็ให้เคาทูเตียนอุยและโจหยิน คุมทหารออกไปต่อสู้ รบกันได้ไม่กี่เพลงเคาทูก็ฆ่าแม่ทัพหน้าตายทั้งสองคน แล้วโจโฉจึงให้แฮหัวตุ้นเป็นกองหน้า โจโฉเป็นกองหลวง ยกเป็นหน้ากระดานขึ้นมาไล่ขยี้ทหารของลิฉุยกุยกีล้มตายเป็นอันมาก ทหารที่เหลือก็ทิ้งอาวุธยอมแพ้โจโฉสิ้น ตัวนายทัพทั้งสองก็พากันขับม้าหนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ที่หลังเขาแห่งหนึ่ง ไม่มีโอกาสกลับมาแก้แค้นได้อีกเลย
โจโฉได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาดแล้ว ก็เป็นใหญ่ในเมืองหลวง แต่เอียวฮองกับซิหลง และ หันเซียม ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของโจโฉจึงพาทหารของตนหนีออกจากเมืองลกเอี๋ยง ต่อมาโจโฉเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ ย้ายไปอยู่ที่เมืองฮูโต๋ในเขตปกครองของตน เอียวฮองก็พาพวกมาโจมตีขบวนเสด็จของฮ่องเต้ แต่ถูกโจโฉตีแตกพ่าย และโจโฉให้คนไปเกลี้ยกล่อมซิหลงให้ยอมอ่อนน้อมด้วย ส่วนเอียวฮองกับหันเซียม ต้องหนีไปอยู่กับอ้วนสุด ที่เมืองลำหยง
สุดท้ายโจโฉก็ได้เป็นมหาอุปราช สำเร็จราชการแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ต่อมาอีกนานหลายสิบปี ส่วนลิฉุยกับกุยกีนั้นหนีไปกบดานอยู่เป็นเวลานาน แต่ลงท้ายก็ถูก ตวนอุย กับงอสิบจับตัวได้ จึงตัดศรีษะคนทั้งสอง แล้วคุมสมัครพรรคพวกไปให้โจโฉที่เมืองฮูโต๋ โจโฉก็ยินดีมาก ให้ทหารเอาศรีษะลิฉุยและกุยกี กับสมัครพรรคพวก เสียบประจานไว้ทุกประตูเมือง แล้วเอาเนื้อความไปกราบทูลฮ่องเต้ทรงทราบ
พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ดีพระทัยตรัสว่า
“...........แผ่นดินของเราครั้งนี้จะอยู่เย็นเป็นสุข มิได้มีเสี้ยนหนามแล้ว.........”
สี่ทรชนสมุนของตั๋งโต๊ะทรราชย์ผู้มีชื่อเสียงในทางชั่วร้าย จึงสิ้นชีพลงสามนาย คงเหลือแต่เตียวเจซึ่งรับราชการเป็นนายทหารอยู่ที่เมืองเตียงฮันเพียงผู้เดียว และก็ไม่มีเรื่องราวให้เอ่ยถึงอีกต่อไป
แต่แผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็มิได้อยู่เย็นเป็นสุขอย่างที่คิด คงรบราฆ่าฟันกันต่อไปอีกหลายสิบปี จนสุดท้ายฮ่องเต้เองก็ถูกทายาทของโจโฉชิงราชสมบัติเสียจนได้.
##########