เมื่อ 15 ปีก่อนทีมบอลโรงเรียนบ้านนอก ป.6 อย่างโรงเรียนผมทะลุความคาดหมาย พลิกล๊อกชนะทีมใหญ่จากภาคอื่น ๆ มาคว้าแชมป์ฟุตบอลพลศึกษารุ่นอายุไม่เกิน 14 ปี ในเมืองหลวงได้ ผมไม่เคยคิดเลยว่าการมาเที่ยวมาบุญครองในตอนเช้าในนัดชิงชนะเลิศของนักฟุตบอลเท้าเปล่าในเมืองหลวงหนแรกในชีวิต จะกลับไปพร้อมแชมป์ฟุตบอลที่สนามศุภชลาศัยอย่างยิ่งใหญ่ในบ่ายวันนั้น
สนามฟุตบอลในตำนานที่ผมเคยเห็นแต่นักบอลทีมชาติลงไปเล่นโชว์ฝีเท้า ผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ สนามที่ผมและบรรดาคอบอลแถวบ้านไปอาศัยอาแปะเจ้าของร้านกาแฟแถวบ้านเป็นที่เชียร์ที่ชมการแข่งขันนัดสำคัญและสนามเดียวกันนี้เป็นที่ก่อเกิดเกียรติยศระดับประเทศของทีมกีฬาจากโรงเรียนที่ห่างไกลปืนเที่ยงและนำทางชีวิตเด็กบ้านนอกอย่างผมให้ได้เกี่ยวพันกับสนามหญ้าสีเขียวแห่งเกมส์ฟุตบอลนั้นอย่างไว้ไม่มีทางถอนตัวได้เลย
ภาพจาก http://www.naewna.com/business/43968
“พ่อ แม่ ลองปรึกษากันดูนะครับ” ชายหนุ่มในชุดเสื้อโปโลสีเหลืองคอปกดำเป็นคราบตัดสร้อยทองเส้นเขื่องและกางเกงวอร์มลายแถบน้ำเงินขาวเอ่ยเป็นเชิงสรุปความ
“ชาติชายอยากไปนะ เขาเคยบอกผมแล้วหนหนึ่ง ใบประกาศนียบัตรและรูปหมู่อยู่ในซองนี้ทั้งหมด ส่วนรองเท้าคู่นี้ทางโรงเรียนโน้นฝากมาให้ชาติชายครับ” โค้ชหนุ่มพับจดหมายอย่างประณีตเก็บเข้าซองสีน้ำตาล ชายวัยสามสิบกว่าร่างกำยำเอื้อมตัวมาหยิบซองจดหมายฉบับนั้นมาถือกับอุ้งมือ แล้วมองไปที่กล่องใส่รองเท้าฟุตบอลใหม่เอี่ยมอยู่ตรงหน้า เสียงหม้อข้าวเดือดปุด ๆ กลิ่นแกงส้มหอมโชยออกมาจากร่องฝาไม้ไผ่ขัดแตะควันไฟโชยกรุ่น
“ครูอยู่กินข้าวด้วยกันก่อน” เจ้าของบ้านหนุ่มเอ่ยเชื้อเชิญก่อนด้วยได้เวลาอาหารเย็น แต่ยังไม่มีคำตอบให้โค้ชของลูกชาย
“ไม่ดีกว่า ขอบคุณมากจ๊ะ กว่าเขียดจะกลับมาจากไปตัดอ้อยคงมืด รถเครื่องผมไม่มีไฟด้วย ต้องขอลากลับก่อนแล้วให้เขียดไปบอกผมก็แล้วกันว่ายังไง ผมจะได้โทรแจ้งทางโรงเรียนโน้น”
“ผมว่าโอกาสแบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กบ้านเราได้ง่าย ๆ” ครูหม่อง หรือ ครูยอดชาย ครูพละ โค้ชทีมฟุตบอลของโรงเรียนกล่าวแล้วยกมือสวัสดี ขับมอเตอร์ไซด์เก่ากลับไปบ้านพักครู เสียงท่อไอเสียดังไปจนค่อยเมื่อพ้นโค้งทางเข้าบ้าน
ไฟหลอดสีส้มนอกชานวันนั้น เปิดให้พ่อกับแม่คุยกับครูตั้งแต่ยังไม่ทันโพล้เพล้ จนกระทั่งสรรพสิ่งรอบกายภายนอกถูกราตรีเข้าโอบคลุมอาณาบริเวณ ผมจำค่ำวันนั้นได้ไม่ลืม นอกชานที่ครอบครัวผมล้อมวงกินข้าว พ่อแทบจะไม่พูดอะไรเลย ท่าทางครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา มีแต่แม่ที่เล่าให้ผมฟังว่าครูหม่อง แวะมาที่บ้านเรื่องอะไร บรรดาน้าชายและน้าสาวที่ตัดอ้อยกลับมาพร้อมผมสี่คน กินข้าวไปออกปากซักไซ้ไร่เรียงความไม่ได้หยุดหย่อน ตื่นเต้นกับข่าวนี้มากกว่าผมเสียอีก
คืนนั้นผมหลับไปพร้อมกับนอนกอดรองเท้าสตั๊ดคู่นั้นไว้แนบอกและฝันไปว่าได้สวมรองเท้าคู่นี้ลงไปดวลแข้งเคียงบ่าเคียงไหล่กับกับนักฟุตบอลทีมชาติไทยชื่อดังในการเตะกระชับมิตรกับทีมฟุตบอลชาติเพื่อนบ้าน ในสนามกีฬาแห่งชาติแห่งนั้น มีแฟนบอลเข้ามาชมจนเต็มความจุของสนาม ผู้คนโบกธงชาติกันทั่ว เมื่อทีมได้ลูกเตะมุม ผมดันขึ้นสูงกระโดดโหม่งพังประตูคู่แข่งจนเห็นตาข่ายไหวยวบ เสียงผู้คนตะโกนเรียกชื่อผมอื้ออึงตลอดเวลา
แม่บอกผมตอนกลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากนั้นเกือบปีว่า พ่อตัดสินใจให้ผมไปเรียนและเล่นบอลที่กรุงเทพ เพราะภาพที่ผมนอนกอดรองเท้าสตั๊ดหลับคาอกอยู่ในมุ้งคืนนั้นนั่นเอง
ภาพจาก http://tnt24.ie/index.php/2013/06/spain-sink-holland-to-finish-top-of-euro-u21-group-b/16354/
ชีวิตการเล่นบอลและเรียนหนังสือของผมในเมืองหลวง เริ่มจากวันที่ครูหม่องพาผมนั่งรถไฟเข้ากรุงเทพ มาที่โรงเรียนฝรั่งแห่งนี้ ผมได้เรียนฟรี ได้รับเงินเดือน อาหารสามมื้อ ค่ารักษาพยาบาลและเสื้อผ้าฟรี เรียนในห้องเรียนที่สะดวกสบาย นอนในห้องที่มีมุ้งลวดกันยุง ได้อยู่ร่วมกับเพื่อนนักฟุตบอลต่างจังหวัดอีกเกือบ 10 คนที่หอพักนักกีฬา รุ่นพี่จากร้อยเอ็ดชื่อปู นักฟุตบอลตำแหน่งกองหน้าพื้นเพมาจากอีสาน ถูกมอบหมายจากมาสเซอรให้เป็นบัดดี้คอยดูแลแนะนำน้องใหม่อย่างผม
ผมได้อาบน้ำประปาครั้งแรกที่ห้องอาบน้ำรวมของหอพักที่นี่ สถานที่สำคัญสำหรับผมนอกจากห้องเรียนและสนามฟุตบอลแล้ว ก็คือสถานที่ที่นักเรียนทุนกีฬาต้องเดินผ่านนั่นคือหอเกียรติคุณนักกีฬา ที่มีรูปนักฟุตบอลทีมชาติศิษย์เก่าสถาบันแห่งนี้พร้อมถ้วยรางวัลมากมายประดับอยู่บนผนังและตู้โชว์ เป็นแรงผลักดันให้ทุกคนในทีมรวมถึงผมกระหายในการนำพาความสำเร็จมาสู่สถาบันและตัวเองให้ได้เหมือนรุ่นพี่
“พวกเธอต้องอดทนและน้อมนำพลังเข้า เอาความสำเร็จมาสู่โรงเรียน จำเอาไว้ ๆ” มาสเซอร์บอกพวกเราอย่างนี้ นำเราร้องเพลงปลุกใจขณะวิ่งรอบสนามฟุตบอลหญ้าเรียบเขียวขจีอยู่ทุกวี่วัน มันต่างจาการซ้อมและเล่นบนพื้นสนามดินที่มีแต่ฝุ่นคลุ้งแทบจะตลอดเวลาที่บ้านนอก หลังจากปรับตัวเข้ากับการเรียนและการเล่นฟุตบอลด้วยการสวมสตั๊ดตามสไตล์เมืองหลวงได้ ผมก็ได้ฉายาว่าเซนเตอร์ชายเหน่อ เพราะสำเนียงเสียงเหน่อจากเซ็นเตอรแบ็คร่างสูงใหญ่จากบ้านนอก มันดังไปถึงอัฒจันทร์คนดูโดยที่ผมไม่เคยรู้ตัว
ปิดเทอมหนึ่งตอนมัธยมสาม หลังจากทีมโรงเรียนผมตกรอบสองฟุตบอลกีฬาเจ็ดสี ผมไม่ได้บอกพ่อกับแม่ว่าผมจะตามไปเที่ยวบ้านพี่ปู เพื่อนนักฟุตบอลรุ่นพี่ที่ร้อยเอ็ด 2 อาทิตย์ ผมไม่คิดว่าพ่อจะตามข่าวผมจากหนังสือพิมพ์ รู้ว่าผมหนีเที่ยวและไม่คิดว่าพ่อจะขึ้นมากรุงเทพเพื่อไปรับผมกลับบ้าน
เหตุการณ์นั้นทำให้ผมกับพ่อพูดกันน้อยลง แม้ผมจะกลับมาจากบ้านพี่ปู สำนึกมาช่วยทำไร่เกือบสองเดือนเต็ม จนมือไม้ของเด็กหนุ่มอย่างผมแตกและผิวพรรณที่ถูกชโลมอาบด้วยน้ำประปาและครีมกันแดดจะแสบไหม้ไปด้วยแสงแดดกลางท้องไร่ก็ตามที
ไฟหลอดสีส้มนอกชานบ้านคืนวันก่อนที่ผมกลับไปกรุงเทพนั้นเปิดอยู่จนดึก พ่อทำลายความเงียบจากเสียงคืนเดือนหงายนั้นด้วยการเป่าขลุ่ยเพลงโหยไห้ คร่ำครวญ เพลงที่เป่าประจำอยู่เพลงเดียว พอวางขลุ่ยเลานั้นลงพ่อก็หันมาทางผม
“จบมอสามแล้วกลับมาเรียนเทคนิคที่บ้านเราไหมเขียด” พ่อถามผม ผมส่ายหน้าช้า ๆ เป็นเชิงปฏิเสธ
“เอ็งกลับมาเรียนเฉย ๆ ไม่ต้องช่วยพ่อแม่ทำไร่ก็ได้นะ” พ่อพยายามต่อรอง
“แล้วใครจะช่วยพ่อไถ่ที่ไร่ที่นา” ผมถามกลับเสียงเบา ๆ
“ไถ่มาพอแรงแล้วเขียด ที่เหลือพ่อก็ทำพอได้ส่งโรงหีบ ได้ใช้เดี๋ยวก็หมดหนี้ มั่งมีมากเดี๋ยวจะเหมือนครูหม่อง โดนลูกศิษย์ตัวเองแท้ ๆ มาฆ่าชิงทรัพย์” พ่อเงยหน้ามามองสีหน้าผมเขม็ง เมื่อตอนพูดถึงครูหม่อง
ผมใจหาย เมื่อนึกถึงการตายของครูหม่องผู้มีพระคุณกับผม ผมจำวันที่ผมกับพี่ปูไปเยี่ยมครูหม่องเป็นครั้งสุดท้ายได้ไม่ลืม ครูหม่องยังร่าเริงแจ่มใส ไม่มีทีท่าจะจากไปในวัยยังไม่สมควรเลย
"เอ็งไม่สบายนะ พ่ออยากขอ แต่เอ็งก็คงรับปากไม่ได้" ผมได้ยินพ่อถอนหายใจ
"สบายดี ดีแล้วกลับมาอยู่บ้านนะ"
ผมพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจ แล้วคืนนั้นผมก็หลับไปพร้อมความฝันที่ยุ่งเหยิง เห็นหน้าครูหม่อง หน้าพ่อ หน้าแม่ หน้าพี่ปูต่างหัวเราะใส่ผม
ผลงานในฐานะนักเรียน นักฟุตบอลสามปีแรกของผมและผองเพื่อนทำได้ไม่ดีนัก ด้วยการชนะเลิศรายการเล็ก 1 รายการและเข้ารอบลึก ๆ พ่ายแพ้พร้อมน้ำตาในรอบ 8 ทีมและรอบรองชนะเลิศระดับอายุไม่เกิน 16 ปีได้เท่านั้น แต่ในสามปีสุดท้ายในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเราคว้าแทบจะทุกแชมป์ที่ลงแข่งในระดับอายุไม่เกิน 18 ปี
ปีที่ 6 ในเมืองหลวงผมก็ได้มีโอกาสได้ติดธงรับใช้ชาติเป็นครั้งแรก ในชุดนั้นมีผมกับพี่ปูติดทีมไปด้วยกันสองคน ไปแข่งทัวร์นาเม้นท์ระดับอาเซียนที่สิงคโปร์ ทีมเยาวชนไทยเอาชนะเจ้าภาพได้ในนัดชิงชนะเลิศ และทีมเราที่มีผมเป็นกองหลังและพี่ปูเป็นกองหน้า คว้าชัยชนะในทุกนัดที่ลงแข่ง ทีมเราไม่เสียประตูเลยแม้แต่ประตูเดียว เป็นความทรงจำที่ดีมากทั้งของผม พี่ปู และโรงเรียนเก่าของเราสองคน
พวกเราในทีมหลายคนเริ่มจะมีอนาคตที่สดใสต่อเนื่องในการเล่นฟุตบอลในระดับอุดมศึกษา ด้านการเรียนผมทำได้ดีพอควรในวิชาแกน ทำได้ดีมากคือวิชาภาษาอังกฤษที่ผมมีพื้นฐานย่ำแย่มาแต่แรก ซึ่งกลับมาช่วยผมได้มากในอนาคต พวกเราอำลามาสเซอร์และโรงเรียนเก่ามาด้วยน้ำตาแห่งความปราบปลื้ม ยามที่มองเห็นภาพและถ้วยรางวัลจากหยาดเหงื่อของตัวเองไปประดับอยู่ในตู้หอเกียรติยศนักกีฬา ผมมีวันเวลาที่ดีงามและหมองไหม้แห่งวัยเด็กครบทุกรสชาติใน 6 ปีที่โรงเรียนนี้
ผมได้รับทุนช้างเผือกได้เรียนฟรีในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งในสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา แต่เบี้ยเลี้ยงซ้อมบอลก็ไม่พอที่จะทำให้ผมส่งเงินกลับไปให้พ่อแม่ที่บ้านได้มากเหมือนก่อน แต่ด้วยดีกรีนักฟุตบอลดาวรุ่ง ผมก็มาได้ทำงานที่สถานออกกำลังกายชื่อดังเป็นเทรนเนอร์สอนฟิตเนตในช่วงค่ำ ทำไปเรียนไปด้วย ได้ฝึกการใช้ภาษาอังกฤษไปด้วย เดินสายเล่นฟุตบอลวันหยุดเก็บเงินตามแต่ใครจะชักชวนให้ไป แต่ชีวิตในวงการฟุตบอลของผมต้องจบสิ้นลงจากอาการบาดเจ็บเรื้อรังในปีที่สาม ที่ทำให้ผมไม่สามารถลงเตะอย่างจริงจังในนัดเป็นทางการได้อีกต่อไป แม้จะมีการยื่นข้อเสนอจากสโมสรหนึ่งในการให้ผมกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งพร้อมการเข้ารับการผ่าตัดก็ตามที ขณะที่ทางบ้านผมก็ไม่ได้ต้องการเงินเพื่อไถ่ถอนไร่ให้เป็นอิสระจากเจ้าหนี้อีกต่อไปแล้ว
คำถามของผู้เล่น คำตอบของ Lies Man
สนามฟุตบอลในตำนานที่ผมเคยเห็นแต่นักบอลทีมชาติลงไปเล่นโชว์ฝีเท้า ผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ สนามที่ผมและบรรดาคอบอลแถวบ้านไปอาศัยอาแปะเจ้าของร้านกาแฟแถวบ้านเป็นที่เชียร์ที่ชมการแข่งขันนัดสำคัญและสนามเดียวกันนี้เป็นที่ก่อเกิดเกียรติยศระดับประเทศของทีมกีฬาจากโรงเรียนที่ห่างไกลปืนเที่ยงและนำทางชีวิตเด็กบ้านนอกอย่างผมให้ได้เกี่ยวพันกับสนามหญ้าสีเขียวแห่งเกมส์ฟุตบอลนั้นอย่างไว้ไม่มีทางถอนตัวได้เลย
ภาพจาก http://www.naewna.com/business/43968
“พ่อ แม่ ลองปรึกษากันดูนะครับ” ชายหนุ่มในชุดเสื้อโปโลสีเหลืองคอปกดำเป็นคราบตัดสร้อยทองเส้นเขื่องและกางเกงวอร์มลายแถบน้ำเงินขาวเอ่ยเป็นเชิงสรุปความ
“ชาติชายอยากไปนะ เขาเคยบอกผมแล้วหนหนึ่ง ใบประกาศนียบัตรและรูปหมู่อยู่ในซองนี้ทั้งหมด ส่วนรองเท้าคู่นี้ทางโรงเรียนโน้นฝากมาให้ชาติชายครับ” โค้ชหนุ่มพับจดหมายอย่างประณีตเก็บเข้าซองสีน้ำตาล ชายวัยสามสิบกว่าร่างกำยำเอื้อมตัวมาหยิบซองจดหมายฉบับนั้นมาถือกับอุ้งมือ แล้วมองไปที่กล่องใส่รองเท้าฟุตบอลใหม่เอี่ยมอยู่ตรงหน้า เสียงหม้อข้าวเดือดปุด ๆ กลิ่นแกงส้มหอมโชยออกมาจากร่องฝาไม้ไผ่ขัดแตะควันไฟโชยกรุ่น
“ครูอยู่กินข้าวด้วยกันก่อน” เจ้าของบ้านหนุ่มเอ่ยเชื้อเชิญก่อนด้วยได้เวลาอาหารเย็น แต่ยังไม่มีคำตอบให้โค้ชของลูกชาย
“ไม่ดีกว่า ขอบคุณมากจ๊ะ กว่าเขียดจะกลับมาจากไปตัดอ้อยคงมืด รถเครื่องผมไม่มีไฟด้วย ต้องขอลากลับก่อนแล้วให้เขียดไปบอกผมก็แล้วกันว่ายังไง ผมจะได้โทรแจ้งทางโรงเรียนโน้น”
“ผมว่าโอกาสแบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กบ้านเราได้ง่าย ๆ” ครูหม่อง หรือ ครูยอดชาย ครูพละ โค้ชทีมฟุตบอลของโรงเรียนกล่าวแล้วยกมือสวัสดี ขับมอเตอร์ไซด์เก่ากลับไปบ้านพักครู เสียงท่อไอเสียดังไปจนค่อยเมื่อพ้นโค้งทางเข้าบ้าน
ไฟหลอดสีส้มนอกชานวันนั้น เปิดให้พ่อกับแม่คุยกับครูตั้งแต่ยังไม่ทันโพล้เพล้ จนกระทั่งสรรพสิ่งรอบกายภายนอกถูกราตรีเข้าโอบคลุมอาณาบริเวณ ผมจำค่ำวันนั้นได้ไม่ลืม นอกชานที่ครอบครัวผมล้อมวงกินข้าว พ่อแทบจะไม่พูดอะไรเลย ท่าทางครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา มีแต่แม่ที่เล่าให้ผมฟังว่าครูหม่อง แวะมาที่บ้านเรื่องอะไร บรรดาน้าชายและน้าสาวที่ตัดอ้อยกลับมาพร้อมผมสี่คน กินข้าวไปออกปากซักไซ้ไร่เรียงความไม่ได้หยุดหย่อน ตื่นเต้นกับข่าวนี้มากกว่าผมเสียอีก
คืนนั้นผมหลับไปพร้อมกับนอนกอดรองเท้าสตั๊ดคู่นั้นไว้แนบอกและฝันไปว่าได้สวมรองเท้าคู่นี้ลงไปดวลแข้งเคียงบ่าเคียงไหล่กับกับนักฟุตบอลทีมชาติไทยชื่อดังในการเตะกระชับมิตรกับทีมฟุตบอลชาติเพื่อนบ้าน ในสนามกีฬาแห่งชาติแห่งนั้น มีแฟนบอลเข้ามาชมจนเต็มความจุของสนาม ผู้คนโบกธงชาติกันทั่ว เมื่อทีมได้ลูกเตะมุม ผมดันขึ้นสูงกระโดดโหม่งพังประตูคู่แข่งจนเห็นตาข่ายไหวยวบ เสียงผู้คนตะโกนเรียกชื่อผมอื้ออึงตลอดเวลา
แม่บอกผมตอนกลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากนั้นเกือบปีว่า พ่อตัดสินใจให้ผมไปเรียนและเล่นบอลที่กรุงเทพ เพราะภาพที่ผมนอนกอดรองเท้าสตั๊ดหลับคาอกอยู่ในมุ้งคืนนั้นนั่นเอง
ภาพจาก http://tnt24.ie/index.php/2013/06/spain-sink-holland-to-finish-top-of-euro-u21-group-b/16354/
ชีวิตการเล่นบอลและเรียนหนังสือของผมในเมืองหลวง เริ่มจากวันที่ครูหม่องพาผมนั่งรถไฟเข้ากรุงเทพ มาที่โรงเรียนฝรั่งแห่งนี้ ผมได้เรียนฟรี ได้รับเงินเดือน อาหารสามมื้อ ค่ารักษาพยาบาลและเสื้อผ้าฟรี เรียนในห้องเรียนที่สะดวกสบาย นอนในห้องที่มีมุ้งลวดกันยุง ได้อยู่ร่วมกับเพื่อนนักฟุตบอลต่างจังหวัดอีกเกือบ 10 คนที่หอพักนักกีฬา รุ่นพี่จากร้อยเอ็ดชื่อปู นักฟุตบอลตำแหน่งกองหน้าพื้นเพมาจากอีสาน ถูกมอบหมายจากมาสเซอรให้เป็นบัดดี้คอยดูแลแนะนำน้องใหม่อย่างผม
ผมได้อาบน้ำประปาครั้งแรกที่ห้องอาบน้ำรวมของหอพักที่นี่ สถานที่สำคัญสำหรับผมนอกจากห้องเรียนและสนามฟุตบอลแล้ว ก็คือสถานที่ที่นักเรียนทุนกีฬาต้องเดินผ่านนั่นคือหอเกียรติคุณนักกีฬา ที่มีรูปนักฟุตบอลทีมชาติศิษย์เก่าสถาบันแห่งนี้พร้อมถ้วยรางวัลมากมายประดับอยู่บนผนังและตู้โชว์ เป็นแรงผลักดันให้ทุกคนในทีมรวมถึงผมกระหายในการนำพาความสำเร็จมาสู่สถาบันและตัวเองให้ได้เหมือนรุ่นพี่
“พวกเธอต้องอดทนและน้อมนำพลังเข้า เอาความสำเร็จมาสู่โรงเรียน จำเอาไว้ ๆ” มาสเซอร์บอกพวกเราอย่างนี้ นำเราร้องเพลงปลุกใจขณะวิ่งรอบสนามฟุตบอลหญ้าเรียบเขียวขจีอยู่ทุกวี่วัน มันต่างจาการซ้อมและเล่นบนพื้นสนามดินที่มีแต่ฝุ่นคลุ้งแทบจะตลอดเวลาที่บ้านนอก หลังจากปรับตัวเข้ากับการเรียนและการเล่นฟุตบอลด้วยการสวมสตั๊ดตามสไตล์เมืองหลวงได้ ผมก็ได้ฉายาว่าเซนเตอร์ชายเหน่อ เพราะสำเนียงเสียงเหน่อจากเซ็นเตอรแบ็คร่างสูงใหญ่จากบ้านนอก มันดังไปถึงอัฒจันทร์คนดูโดยที่ผมไม่เคยรู้ตัว
ปิดเทอมหนึ่งตอนมัธยมสาม หลังจากทีมโรงเรียนผมตกรอบสองฟุตบอลกีฬาเจ็ดสี ผมไม่ได้บอกพ่อกับแม่ว่าผมจะตามไปเที่ยวบ้านพี่ปู เพื่อนนักฟุตบอลรุ่นพี่ที่ร้อยเอ็ด 2 อาทิตย์ ผมไม่คิดว่าพ่อจะตามข่าวผมจากหนังสือพิมพ์ รู้ว่าผมหนีเที่ยวและไม่คิดว่าพ่อจะขึ้นมากรุงเทพเพื่อไปรับผมกลับบ้าน
เหตุการณ์นั้นทำให้ผมกับพ่อพูดกันน้อยลง แม้ผมจะกลับมาจากบ้านพี่ปู สำนึกมาช่วยทำไร่เกือบสองเดือนเต็ม จนมือไม้ของเด็กหนุ่มอย่างผมแตกและผิวพรรณที่ถูกชโลมอาบด้วยน้ำประปาและครีมกันแดดจะแสบไหม้ไปด้วยแสงแดดกลางท้องไร่ก็ตามที
ไฟหลอดสีส้มนอกชานบ้านคืนวันก่อนที่ผมกลับไปกรุงเทพนั้นเปิดอยู่จนดึก พ่อทำลายความเงียบจากเสียงคืนเดือนหงายนั้นด้วยการเป่าขลุ่ยเพลงโหยไห้ คร่ำครวญ เพลงที่เป่าประจำอยู่เพลงเดียว พอวางขลุ่ยเลานั้นลงพ่อก็หันมาทางผม
“จบมอสามแล้วกลับมาเรียนเทคนิคที่บ้านเราไหมเขียด” พ่อถามผม ผมส่ายหน้าช้า ๆ เป็นเชิงปฏิเสธ
“เอ็งกลับมาเรียนเฉย ๆ ไม่ต้องช่วยพ่อแม่ทำไร่ก็ได้นะ” พ่อพยายามต่อรอง
“แล้วใครจะช่วยพ่อไถ่ที่ไร่ที่นา” ผมถามกลับเสียงเบา ๆ
“ไถ่มาพอแรงแล้วเขียด ที่เหลือพ่อก็ทำพอได้ส่งโรงหีบ ได้ใช้เดี๋ยวก็หมดหนี้ มั่งมีมากเดี๋ยวจะเหมือนครูหม่อง โดนลูกศิษย์ตัวเองแท้ ๆ มาฆ่าชิงทรัพย์” พ่อเงยหน้ามามองสีหน้าผมเขม็ง เมื่อตอนพูดถึงครูหม่อง
ผมใจหาย เมื่อนึกถึงการตายของครูหม่องผู้มีพระคุณกับผม ผมจำวันที่ผมกับพี่ปูไปเยี่ยมครูหม่องเป็นครั้งสุดท้ายได้ไม่ลืม ครูหม่องยังร่าเริงแจ่มใส ไม่มีทีท่าจะจากไปในวัยยังไม่สมควรเลย
"เอ็งไม่สบายนะ พ่ออยากขอ แต่เอ็งก็คงรับปากไม่ได้" ผมได้ยินพ่อถอนหายใจ
"สบายดี ดีแล้วกลับมาอยู่บ้านนะ"
ผมพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจ แล้วคืนนั้นผมก็หลับไปพร้อมความฝันที่ยุ่งเหยิง เห็นหน้าครูหม่อง หน้าพ่อ หน้าแม่ หน้าพี่ปูต่างหัวเราะใส่ผม
ผลงานในฐานะนักเรียน นักฟุตบอลสามปีแรกของผมและผองเพื่อนทำได้ไม่ดีนัก ด้วยการชนะเลิศรายการเล็ก 1 รายการและเข้ารอบลึก ๆ พ่ายแพ้พร้อมน้ำตาในรอบ 8 ทีมและรอบรองชนะเลิศระดับอายุไม่เกิน 16 ปีได้เท่านั้น แต่ในสามปีสุดท้ายในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเราคว้าแทบจะทุกแชมป์ที่ลงแข่งในระดับอายุไม่เกิน 18 ปี
ปีที่ 6 ในเมืองหลวงผมก็ได้มีโอกาสได้ติดธงรับใช้ชาติเป็นครั้งแรก ในชุดนั้นมีผมกับพี่ปูติดทีมไปด้วยกันสองคน ไปแข่งทัวร์นาเม้นท์ระดับอาเซียนที่สิงคโปร์ ทีมเยาวชนไทยเอาชนะเจ้าภาพได้ในนัดชิงชนะเลิศ และทีมเราที่มีผมเป็นกองหลังและพี่ปูเป็นกองหน้า คว้าชัยชนะในทุกนัดที่ลงแข่ง ทีมเราไม่เสียประตูเลยแม้แต่ประตูเดียว เป็นความทรงจำที่ดีมากทั้งของผม พี่ปู และโรงเรียนเก่าของเราสองคน
พวกเราในทีมหลายคนเริ่มจะมีอนาคตที่สดใสต่อเนื่องในการเล่นฟุตบอลในระดับอุดมศึกษา ด้านการเรียนผมทำได้ดีพอควรในวิชาแกน ทำได้ดีมากคือวิชาภาษาอังกฤษที่ผมมีพื้นฐานย่ำแย่มาแต่แรก ซึ่งกลับมาช่วยผมได้มากในอนาคต พวกเราอำลามาสเซอร์และโรงเรียนเก่ามาด้วยน้ำตาแห่งความปราบปลื้ม ยามที่มองเห็นภาพและถ้วยรางวัลจากหยาดเหงื่อของตัวเองไปประดับอยู่ในตู้หอเกียรติยศนักกีฬา ผมมีวันเวลาที่ดีงามและหมองไหม้แห่งวัยเด็กครบทุกรสชาติใน 6 ปีที่โรงเรียนนี้
ผมได้รับทุนช้างเผือกได้เรียนฟรีในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งในสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา แต่เบี้ยเลี้ยงซ้อมบอลก็ไม่พอที่จะทำให้ผมส่งเงินกลับไปให้พ่อแม่ที่บ้านได้มากเหมือนก่อน แต่ด้วยดีกรีนักฟุตบอลดาวรุ่ง ผมก็มาได้ทำงานที่สถานออกกำลังกายชื่อดังเป็นเทรนเนอร์สอนฟิตเนตในช่วงค่ำ ทำไปเรียนไปด้วย ได้ฝึกการใช้ภาษาอังกฤษไปด้วย เดินสายเล่นฟุตบอลวันหยุดเก็บเงินตามแต่ใครจะชักชวนให้ไป แต่ชีวิตในวงการฟุตบอลของผมต้องจบสิ้นลงจากอาการบาดเจ็บเรื้อรังในปีที่สาม ที่ทำให้ผมไม่สามารถลงเตะอย่างจริงจังในนัดเป็นทางการได้อีกต่อไป แม้จะมีการยื่นข้อเสนอจากสโมสรหนึ่งในการให้ผมกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งพร้อมการเข้ารับการผ่าตัดก็ตามที ขณะที่ทางบ้านผมก็ไม่ได้ต้องการเงินเพื่อไถ่ถอนไร่ให้เป็นอิสระจากเจ้าหนี้อีกต่อไปแล้ว