ช่วงนี้กระทู้เรื่องสินสอดเยอะมากเลยค่ะ เลยอยากชวนเพื่อนๆมาสนทนากัน ว่าทำไมอยู่ๆ สินสอด ซึ่งมีอยู่ในสังคมไทยมานาน ถึงกลายมาเป็นประเด็น
ออกตัวก่อนเราตัวเรา เห็นด้วยกับการยังคงมีสินสอดไว้ในสังคมไทยนะคะ ด้วยเหตุผลดังนี้ค่ะ
ไม่ว่าจะบอกว่านี่สมัยไหนแล้ว ผู้หญิงก็มีมือมีเท้าทำงานได้เหมือนผู้ชาย ผู้หญิงไม่ได้ขอใครกิน การมีสินสอดไม่ได้รับประกันว่าจะอยู่กันชั่วฟ้าดินสลาย สังคมชาติอื่นๆฝรั่งเขาไม่เห็นต้องมีเลย
เราคิดว่าสินสอดนี่มันคือ "อุบาย" ทางสังคมอย่างหนึ่ง ซึ่งแต่ละสังคมย่อมมีขนบประเพณีเพื่อเหตุผลที่เหมาะสมกับ "แต่ละสังคม" นั้นๆค่ะ
สังคมไทย ไม่ว่าจะกี่ปีกี่ชาติ ผู้หญิงก็เป็นฝ่ายเสียหายค่ะ เห็นกระทู้ไหมคะ บ้างต่อต้านสินสอด บ้างด่าว่าฝ่ายหญิงเห็นแก่เงิน แต่ก็ยังมีกระทู้ประเภทผู้หญิง one night stand ไม่อายเหรอ กระทู้คุณค่าของผู้หญิงที่จะมาเป็นแม่ของลูก ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีกระทู้นอกใจ Single mum ความเดือดร้อนต่างๆมากมาย
ซึ่งถ้ามองกันให้ยุติธรรมนะคะ คุณอยากเอาอย่างฝรั่ง ดิฉันถามกลับ ฝรั่งนี่เขามีมาสนใจไหมคะว่าผู้หญิงไปนอนกับใครมาแค่ไหนบ้าง one night stand ไม่เหมาะเป็นแม่ของลูก เขาสนขนาดเราไหมคะ
อีกอย่างกรณีสามีนอกใจไปมีกิ๊ก เมื่อจะเลิกกัน เขาฟ้องหย่ากันจริงจัง กฎหมายค่าเลี้ยงดูเขาบังคับใช้จริงจังมาก ไข่แล้วทิ้งนี่ลำบาก และยังมีสวัสดิการรัฐดูแลประชาชนยามลำบาก ตกยาก เขาไม่มีอดตายนะคะ เจ็บป่วยทุกคนมีหมอรักษาแน่นอน ลูกๆเด็กๆมีการศึกษาดีๆแน่ๆ แต่ของไทยไม่มี แต่คนไทยก็ดันจะคิดมักง่าย ทีตอนจะแต่งล่ะบอกพ่อแม่ไม่เกี่ยว เรื่องของคนสองคน สินสอดจะมีทำไม ประเทศพัฒนาแล้วไม่เห็นต้องมี (คือนาทีนี้ชั้นอยากแต่งแล้วแต่แฟนชั้นไม่มีตังค์ ไม่เป็นไร ชั้นอยากแต่ง ชั้นไม่อยากรอแล้ว หาทุกเหตุผลมาประกอบ) แต่พอโดนทิ้งมาล่ะ อุ้มลูกจูงหลานไปกราบขอฝากพ่อแม่เลี้ยงให้ที หนูจนปัญญาเดือดร้อนจริงๆ คุณพ่อคุณแม่ช่วยด้วย แบบนี้ฝรั่งมีเหรอคะ มีแต่ทำเอง เลือกเอง รับผิดชอบเอง ใช่ไหม
คืออยากบอกว่าสินสอดมันก็คือกลอุบายหนึ่ีงที่จะดูความจริงใจ ความมั่นคง ความพยายาม และ"แวว" ของว่าที่ลูกเขย ว่าจะมีความแน่วแน่จริงจังแค่ไหน ถ้าไม่นับพวกที่บ้านรวยอยู่แล้ว สมมติมนุษย์เงินเดือนปกติ ถูกเรียกสินสอดสัก 2-3 แสน แน่นอนว่าต้องวางแผนไว้ก่อนว่าวันนี้ผมมาพูดจาทาบทาม อีก 2 ปีจะขอลูกสาวท่านไปเป็นภรรยา ดังนั้นแปลว่าอีก 2 ปีผมจะมาพร้อมสินสอดที่ว่าและความมั่นคงพร้อมสำหรับลูกสาวคุณพ่อ
แน่นอนค่ะ มีบ้านฝ่ายหญิงบางบ้านที่เห็นแก่เงิน ขายลูกสาวกินจริงๆ แต่นั่นก็ถือเป็นสัญญาณให้ว่าที่ลูกเขยได้ฉุกคิดตัดสินใจอีกรอบเหมือนกันว่า ตรูจะแต่งกับสาวบ้านนี้แน่เหรอ แต่งไปจะโดนไถอีกไหม แน่ใจแล้วเหรอว่าเรารักและพร้อมสำหรับเขาและครอบครัวเขานะ ไม่ใช่แค่หลง เราไหวรึเปล่า ซึ่งก็แฟร์ดี คุณเปลี่ยนใจได้นะคะถ้าบ้านผู้หญิงเขาน่ากลัวขนาดนั้น ซึ่งตรงนี้ฝรั่งไม่มีค่ะ แต่งแล้วแต่งขาด ไม่ต้องมาส่งเสียครอบครัวฝ่ายหญิงไม่ต้องมายุ่งเลย เงินใครเงินมัน แต่ของไทยมันไม่ใช่ไง มีไว้คุณก็จะได้รู้ว่าบ้านนี้เขาเป็นยังไง อยากจะดองกับครอบครัวผีดูดเลือดนี่ไหม
ส่วนบ้านฝ่ายหญิงตามปกติทั่วไป บางครั้งเขาดูแววว่าที่ลูกเขยแล้วไม่แน่ใจว่าจะพาครอบครัวไปรอดหรือไม่ เขาก็ตั้งสินสอดประมาณนึง เช่นดูแล้วคบกันมา 5 ปี งานการหมอนี่ยังไม่ถึงไหน บางทีทะเลาะกับลูกสาวเพราะหนีไปกินเหล้ากับเพื่อนบ่อยๆ ภาระเต็มหลังมาเลยส่งน้องเรียนอีกตั้งแปดคน จะลงทุนธุรกิจอะไรก็ไม่กล้า ดูแหยๆ ต้องให้ลูกสาวเราลุกขึ้นมาทำให้ ติดเกมส์ ติดพนัน ติดเพื่อน เงินเก็บไม่ค่อยมี แถมที่บ้านผู้ชายป่านนี้ยังไม่เคยโผล่หัวมาให้เห็น ดูท่าจะไม่เอ็นดูลูกสาวเรา แต่งไปลูกจะแย่เปล่าๆ อย่ากระนั้นเลย เรียกสินสอดพิสูจน์ดูดีกว่า ถ้าเขารักลูกเราจริงเขาต้องฮึดขึ้นพยายาม แต่หากเหลาะแหละก็คงแคล้วคลาดกันไปตามวาสนา ดีกว่าให้ลูกสาวไปเหนื่อยเจ็บช้ำกระเตงลูกผูกหลานกลับมาให้เราเลี้ยงเพิ่มตอนเราอายุเจ็ดแปดสิบ นี่คืออุบายค่ะ ผู้ใหญ่ไม่ได้โง่หรือหิวเงิน แต่เขา "ไม่แน่ใจ" ซึ่งกรณีนี้ท้ายที่สุดเมื่อจบงานแต่งแล้ว ผู้ใหญ่ก็คืนเงินทุกบาททุกเม็ดให้กับครอบครัวลูกสาวลูกเขยอยู่ดี เพราะไม่ได้ตั้งใจจะเอาแต่แรก แค่พิสูจน์ใจ ก็กลายเป็นเงินเก็บของบ่าวสาวไป วิน-วิน
แต่หากเป็นบ้านที่รู้จักชอบพอว่าที่ลูกเขยดีแล้ว และเข้าอกเข้าใจกับครอบครัวฝ่ายชายพอสมควร เขาก็ไม่เรียกร้องอะไรนะคะ ฝ่ายชายก็จัดหามาตามเหมาะสมโดยประเมินจากตนเองและฝ่ายผู้หญิง พอจบพิธีก็คืนให้บ่าวสาว เป็นเงินก้นถุงไป หรือบางทีฝ่ายชายฐานะสู้ฝ่ายหญิงไม่ได้ แต่พ่อแม่ผู้หญิงเห็นแววว่าหมอนี่มันแน่ มีแววกล้าตัดสินใจ มีการวางแผนอนาคต มีการลงมือทำจริงและรู้ผิดชอบชั่วดีรู้จักเก็บเงินเก็บทอง ยกลูกสาวให้ฟรีๆก็มีเยอะแยะ ไม่ใช่ไม่มี มีมาตลอดคู่ประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งหากฝ่ายชายเป็นได้ตามนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะคะ
คือต้องยอมรับนะคะว่าประเทศไทย ผู้หญิงยังไงก็ตกที่นั่งลำบาก กฎหมายก็ไม่ได้คุ้มครองทั้งหมด (คิดดู จดทะเบียนซ้อนยังได้เลย ประเทศอะไรกันนี่ หวังพึ่งได้แค่ไหน) และยากที่จะบังคับใช้กฎหมาย (เช่นไม่มีเงินจ้างทนาย) เกิดอะไรขึ้น เลือกคนผิด ภาระก็ต้องมาตกหนักที่ฝ่ายหญิง อีกอย่างสวัสดิการรัฐก็ไม่ได้ดีเท่าฝรั่งเขา ถูกทิ้งมาก็เคว้ง ไม่พ้นพ่อแม่ต้องมาลำบากเดือดร้อนไปด้วย (ทีอย่างนี้ล่ะครอบครัวไทยจ๋าขึ้นมาเลย ตอนอยากมีผรั๋วล่ะบอกฉันเป็นฝรั่ง) มันก็น่าจะดีกว่าถ้ามีการพิสสูจน์ใจว่าที่ลูกเขยในลำดับแรกสักครั้งก่อน
แต่ถ้าพิสูจน์ก็แล้วอะไรก็แล้วยังพลาด ก็ช่วยไม่ได้แล้วนั่นก็คือโชคชะตา แต่จะให้ปล่อยเลยไม่ทดสอบพิสูจน์อะไรเลย ก็ลำบากนะคะ คนสมัยนี้ยิ่งใจเร็วด่วนได้ ไม่เลือกอะไรเลย
สินสอด ไม่ใช่การ "ขาย" ไม่ใช่การดูถูกว่าฝ่ายหญิงงอมืองอเท้า ไม่ใช่ค่าน้ำนมที่จะมาอ้างว่าผู้ชายก็กินนมแม่เหมือนกัน
แต่เป็นกลอุบายหนึ่งที่อยู่ในขนบประเพณีที่ตั้งเอาไว้แล้วว่า "เหมาะกับสังคมไทย" เพราะคนไทยเป็นอย่างนี้ๆ จะเอาไปเปรียบกับฝรั่ง แขก ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าอยากทำอย่างฝรรั่งต้องยกมาทั้งโครงสร้าง ไม่ใช่แค่บางประเด็นที่ถูกใจตัวเอง
ป.ล. หากหญิงชายคู่ใดทำได้จริงคือดูแลตัวเองตั้งแต่เริ่มอยู่แล้ว ไม่ได้พึ่งพาพ่อแม่อยู่แล้ว เกิดอะไรขึ้นก็พร้อมจะรับผิดชอบชีวิตตัวเองและภาระอื่นๆที่เหลืออยู่แล้ว ก็ถือว่ามีความพร้อมข้ามกระทู้นี้ไปได้เลยค่ะ เราพูดรวมๆถึงสังคมส่วนใหญ่ในปัจจุบันมากกว่า เพราะเห็นหลายๆกระทู้ที่ฝ่ายหญิงมาตั้งตัดพ้อว่าพ่อแม่เรียกสินสอดสูงแฟนไม่พร้อม และอ่านๆดูก็เหมือนว่าจริงๆปัญหาไม่ได้อยู่ที่สินสอด อยู่ที่ฝ่ายชายไม่กระตือรือล้นจะแต่ง หรืออยากแต่งแต่ไม่เคยพร้อมไม่มีการวางแผนเตรียมการ และแม้แต่บ้านผู้ชายไม่ชอบฝ่ายหญิงเลยไม่ให้สินสอดดื้อๆ คือมันเหมืเนเป็นการส่งสัญญาญมากกว่าว่าการแต่งงานนี้มีแววแห่งปัญหา ไม่ใช่แค่ใครอยากได้เงินอยากประหยัดเงินหรอกค่ะ
ถ้าอยากจะเปรียบ ถ้าของฝรั่งดีกว่า ต้องยกมาทั้งโครงสร้าง หญิงชายอายุ 18 แล้วหาเลี้ยงชีพเองทันที แต่งงานก็เลือกเอง รับผิดชอบเอง ตกอับถูกทิ้งมาก็รับผิดชอบเอง อย่าบ่ายหน้าไปพึ่งพ่อแม่ โอเคไหมคะแบบนี้ ถ้าโอเคสินสอดก็ไม่จำเป็น
การแต่งงานไม่ใช่สักแต่รักแล้วแต่งนะคะ ชีวิตมีอะไรอีกมากที่ต้องคิด นี่คือโลกแห่งความจริง ไม่ใช่นิทานเจ้าหญิงกับอัศวินที่จะฟันฝ่าด้วยกันตลอดไป เผลอๆอัศวินอาจจะทิ้งเจ้าหญิงและลูกน้อยไปหานังแม่มด (หรือสมัยนี้ไปหาพ่อมดก็มี) หรืออัศวินไปติดพนันบอลขายม้าขายดาบ โลกมันไม่ได้สวยอย่างที่คิด และประเทศไทย สังคมไทย มีข้อจำกัดในการใช่ชีวิตต่างจากประเทศ ความจริงมันก็เลยเป็นแบบนี้ล่ะค่ะ
****ประเด็นเรื่องสินสอดนี่ เป็นปัญหาจริงๆหรือแค่คนไม่ได้อย่างใจ มาสนทนากันค่ะ****
ออกตัวก่อนเราตัวเรา เห็นด้วยกับการยังคงมีสินสอดไว้ในสังคมไทยนะคะ ด้วยเหตุผลดังนี้ค่ะ
ไม่ว่าจะบอกว่านี่สมัยไหนแล้ว ผู้หญิงก็มีมือมีเท้าทำงานได้เหมือนผู้ชาย ผู้หญิงไม่ได้ขอใครกิน การมีสินสอดไม่ได้รับประกันว่าจะอยู่กันชั่วฟ้าดินสลาย สังคมชาติอื่นๆฝรั่งเขาไม่เห็นต้องมีเลย
เราคิดว่าสินสอดนี่มันคือ "อุบาย" ทางสังคมอย่างหนึ่ง ซึ่งแต่ละสังคมย่อมมีขนบประเพณีเพื่อเหตุผลที่เหมาะสมกับ "แต่ละสังคม" นั้นๆค่ะ
สังคมไทย ไม่ว่าจะกี่ปีกี่ชาติ ผู้หญิงก็เป็นฝ่ายเสียหายค่ะ เห็นกระทู้ไหมคะ บ้างต่อต้านสินสอด บ้างด่าว่าฝ่ายหญิงเห็นแก่เงิน แต่ก็ยังมีกระทู้ประเภทผู้หญิง one night stand ไม่อายเหรอ กระทู้คุณค่าของผู้หญิงที่จะมาเป็นแม่ของลูก ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีกระทู้นอกใจ Single mum ความเดือดร้อนต่างๆมากมาย
ซึ่งถ้ามองกันให้ยุติธรรมนะคะ คุณอยากเอาอย่างฝรั่ง ดิฉันถามกลับ ฝรั่งนี่เขามีมาสนใจไหมคะว่าผู้หญิงไปนอนกับใครมาแค่ไหนบ้าง one night stand ไม่เหมาะเป็นแม่ของลูก เขาสนขนาดเราไหมคะ
อีกอย่างกรณีสามีนอกใจไปมีกิ๊ก เมื่อจะเลิกกัน เขาฟ้องหย่ากันจริงจัง กฎหมายค่าเลี้ยงดูเขาบังคับใช้จริงจังมาก ไข่แล้วทิ้งนี่ลำบาก และยังมีสวัสดิการรัฐดูแลประชาชนยามลำบาก ตกยาก เขาไม่มีอดตายนะคะ เจ็บป่วยทุกคนมีหมอรักษาแน่นอน ลูกๆเด็กๆมีการศึกษาดีๆแน่ๆ แต่ของไทยไม่มี แต่คนไทยก็ดันจะคิดมักง่าย ทีตอนจะแต่งล่ะบอกพ่อแม่ไม่เกี่ยว เรื่องของคนสองคน สินสอดจะมีทำไม ประเทศพัฒนาแล้วไม่เห็นต้องมี (คือนาทีนี้ชั้นอยากแต่งแล้วแต่แฟนชั้นไม่มีตังค์ ไม่เป็นไร ชั้นอยากแต่ง ชั้นไม่อยากรอแล้ว หาทุกเหตุผลมาประกอบ) แต่พอโดนทิ้งมาล่ะ อุ้มลูกจูงหลานไปกราบขอฝากพ่อแม่เลี้ยงให้ที หนูจนปัญญาเดือดร้อนจริงๆ คุณพ่อคุณแม่ช่วยด้วย แบบนี้ฝรั่งมีเหรอคะ มีแต่ทำเอง เลือกเอง รับผิดชอบเอง ใช่ไหม
คืออยากบอกว่าสินสอดมันก็คือกลอุบายหนึ่ีงที่จะดูความจริงใจ ความมั่นคง ความพยายาม และ"แวว" ของว่าที่ลูกเขย ว่าจะมีความแน่วแน่จริงจังแค่ไหน ถ้าไม่นับพวกที่บ้านรวยอยู่แล้ว สมมติมนุษย์เงินเดือนปกติ ถูกเรียกสินสอดสัก 2-3 แสน แน่นอนว่าต้องวางแผนไว้ก่อนว่าวันนี้ผมมาพูดจาทาบทาม อีก 2 ปีจะขอลูกสาวท่านไปเป็นภรรยา ดังนั้นแปลว่าอีก 2 ปีผมจะมาพร้อมสินสอดที่ว่าและความมั่นคงพร้อมสำหรับลูกสาวคุณพ่อ
แน่นอนค่ะ มีบ้านฝ่ายหญิงบางบ้านที่เห็นแก่เงิน ขายลูกสาวกินจริงๆ แต่นั่นก็ถือเป็นสัญญาณให้ว่าที่ลูกเขยได้ฉุกคิดตัดสินใจอีกรอบเหมือนกันว่า ตรูจะแต่งกับสาวบ้านนี้แน่เหรอ แต่งไปจะโดนไถอีกไหม แน่ใจแล้วเหรอว่าเรารักและพร้อมสำหรับเขาและครอบครัวเขานะ ไม่ใช่แค่หลง เราไหวรึเปล่า ซึ่งก็แฟร์ดี คุณเปลี่ยนใจได้นะคะถ้าบ้านผู้หญิงเขาน่ากลัวขนาดนั้น ซึ่งตรงนี้ฝรั่งไม่มีค่ะ แต่งแล้วแต่งขาด ไม่ต้องมาส่งเสียครอบครัวฝ่ายหญิงไม่ต้องมายุ่งเลย เงินใครเงินมัน แต่ของไทยมันไม่ใช่ไง มีไว้คุณก็จะได้รู้ว่าบ้านนี้เขาเป็นยังไง อยากจะดองกับครอบครัวผีดูดเลือดนี่ไหม
ส่วนบ้านฝ่ายหญิงตามปกติทั่วไป บางครั้งเขาดูแววว่าที่ลูกเขยแล้วไม่แน่ใจว่าจะพาครอบครัวไปรอดหรือไม่ เขาก็ตั้งสินสอดประมาณนึง เช่นดูแล้วคบกันมา 5 ปี งานการหมอนี่ยังไม่ถึงไหน บางทีทะเลาะกับลูกสาวเพราะหนีไปกินเหล้ากับเพื่อนบ่อยๆ ภาระเต็มหลังมาเลยส่งน้องเรียนอีกตั้งแปดคน จะลงทุนธุรกิจอะไรก็ไม่กล้า ดูแหยๆ ต้องให้ลูกสาวเราลุกขึ้นมาทำให้ ติดเกมส์ ติดพนัน ติดเพื่อน เงินเก็บไม่ค่อยมี แถมที่บ้านผู้ชายป่านนี้ยังไม่เคยโผล่หัวมาให้เห็น ดูท่าจะไม่เอ็นดูลูกสาวเรา แต่งไปลูกจะแย่เปล่าๆ อย่ากระนั้นเลย เรียกสินสอดพิสูจน์ดูดีกว่า ถ้าเขารักลูกเราจริงเขาต้องฮึดขึ้นพยายาม แต่หากเหลาะแหละก็คงแคล้วคลาดกันไปตามวาสนา ดีกว่าให้ลูกสาวไปเหนื่อยเจ็บช้ำกระเตงลูกผูกหลานกลับมาให้เราเลี้ยงเพิ่มตอนเราอายุเจ็ดแปดสิบ นี่คืออุบายค่ะ ผู้ใหญ่ไม่ได้โง่หรือหิวเงิน แต่เขา "ไม่แน่ใจ" ซึ่งกรณีนี้ท้ายที่สุดเมื่อจบงานแต่งแล้ว ผู้ใหญ่ก็คืนเงินทุกบาททุกเม็ดให้กับครอบครัวลูกสาวลูกเขยอยู่ดี เพราะไม่ได้ตั้งใจจะเอาแต่แรก แค่พิสูจน์ใจ ก็กลายเป็นเงินเก็บของบ่าวสาวไป วิน-วิน
แต่หากเป็นบ้านที่รู้จักชอบพอว่าที่ลูกเขยดีแล้ว และเข้าอกเข้าใจกับครอบครัวฝ่ายชายพอสมควร เขาก็ไม่เรียกร้องอะไรนะคะ ฝ่ายชายก็จัดหามาตามเหมาะสมโดยประเมินจากตนเองและฝ่ายผู้หญิง พอจบพิธีก็คืนให้บ่าวสาว เป็นเงินก้นถุงไป หรือบางทีฝ่ายชายฐานะสู้ฝ่ายหญิงไม่ได้ แต่พ่อแม่ผู้หญิงเห็นแววว่าหมอนี่มันแน่ มีแววกล้าตัดสินใจ มีการวางแผนอนาคต มีการลงมือทำจริงและรู้ผิดชอบชั่วดีรู้จักเก็บเงินเก็บทอง ยกลูกสาวให้ฟรีๆก็มีเยอะแยะ ไม่ใช่ไม่มี มีมาตลอดคู่ประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งหากฝ่ายชายเป็นได้ตามนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะคะ
คือต้องยอมรับนะคะว่าประเทศไทย ผู้หญิงยังไงก็ตกที่นั่งลำบาก กฎหมายก็ไม่ได้คุ้มครองทั้งหมด (คิดดู จดทะเบียนซ้อนยังได้เลย ประเทศอะไรกันนี่ หวังพึ่งได้แค่ไหน) และยากที่จะบังคับใช้กฎหมาย (เช่นไม่มีเงินจ้างทนาย) เกิดอะไรขึ้น เลือกคนผิด ภาระก็ต้องมาตกหนักที่ฝ่ายหญิง อีกอย่างสวัสดิการรัฐก็ไม่ได้ดีเท่าฝรั่งเขา ถูกทิ้งมาก็เคว้ง ไม่พ้นพ่อแม่ต้องมาลำบากเดือดร้อนไปด้วย (ทีอย่างนี้ล่ะครอบครัวไทยจ๋าขึ้นมาเลย ตอนอยากมีผรั๋วล่ะบอกฉันเป็นฝรั่ง) มันก็น่าจะดีกว่าถ้ามีการพิสสูจน์ใจว่าที่ลูกเขยในลำดับแรกสักครั้งก่อน
แต่ถ้าพิสูจน์ก็แล้วอะไรก็แล้วยังพลาด ก็ช่วยไม่ได้แล้วนั่นก็คือโชคชะตา แต่จะให้ปล่อยเลยไม่ทดสอบพิสูจน์อะไรเลย ก็ลำบากนะคะ คนสมัยนี้ยิ่งใจเร็วด่วนได้ ไม่เลือกอะไรเลย
สินสอด ไม่ใช่การ "ขาย" ไม่ใช่การดูถูกว่าฝ่ายหญิงงอมืองอเท้า ไม่ใช่ค่าน้ำนมที่จะมาอ้างว่าผู้ชายก็กินนมแม่เหมือนกัน
แต่เป็นกลอุบายหนึ่งที่อยู่ในขนบประเพณีที่ตั้งเอาไว้แล้วว่า "เหมาะกับสังคมไทย" เพราะคนไทยเป็นอย่างนี้ๆ จะเอาไปเปรียบกับฝรั่ง แขก ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าอยากทำอย่างฝรรั่งต้องยกมาทั้งโครงสร้าง ไม่ใช่แค่บางประเด็นที่ถูกใจตัวเอง
ป.ล. หากหญิงชายคู่ใดทำได้จริงคือดูแลตัวเองตั้งแต่เริ่มอยู่แล้ว ไม่ได้พึ่งพาพ่อแม่อยู่แล้ว เกิดอะไรขึ้นก็พร้อมจะรับผิดชอบชีวิตตัวเองและภาระอื่นๆที่เหลืออยู่แล้ว ก็ถือว่ามีความพร้อมข้ามกระทู้นี้ไปได้เลยค่ะ เราพูดรวมๆถึงสังคมส่วนใหญ่ในปัจจุบันมากกว่า เพราะเห็นหลายๆกระทู้ที่ฝ่ายหญิงมาตั้งตัดพ้อว่าพ่อแม่เรียกสินสอดสูงแฟนไม่พร้อม และอ่านๆดูก็เหมือนว่าจริงๆปัญหาไม่ได้อยู่ที่สินสอด อยู่ที่ฝ่ายชายไม่กระตือรือล้นจะแต่ง หรืออยากแต่งแต่ไม่เคยพร้อมไม่มีการวางแผนเตรียมการ และแม้แต่บ้านผู้ชายไม่ชอบฝ่ายหญิงเลยไม่ให้สินสอดดื้อๆ คือมันเหมืเนเป็นการส่งสัญญาญมากกว่าว่าการแต่งงานนี้มีแววแห่งปัญหา ไม่ใช่แค่ใครอยากได้เงินอยากประหยัดเงินหรอกค่ะ
ถ้าอยากจะเปรียบ ถ้าของฝรั่งดีกว่า ต้องยกมาทั้งโครงสร้าง หญิงชายอายุ 18 แล้วหาเลี้ยงชีพเองทันที แต่งงานก็เลือกเอง รับผิดชอบเอง ตกอับถูกทิ้งมาก็รับผิดชอบเอง อย่าบ่ายหน้าไปพึ่งพ่อแม่ โอเคไหมคะแบบนี้ ถ้าโอเคสินสอดก็ไม่จำเป็น
การแต่งงานไม่ใช่สักแต่รักแล้วแต่งนะคะ ชีวิตมีอะไรอีกมากที่ต้องคิด นี่คือโลกแห่งความจริง ไม่ใช่นิทานเจ้าหญิงกับอัศวินที่จะฟันฝ่าด้วยกันตลอดไป เผลอๆอัศวินอาจจะทิ้งเจ้าหญิงและลูกน้อยไปหานังแม่มด (หรือสมัยนี้ไปหาพ่อมดก็มี) หรืออัศวินไปติดพนันบอลขายม้าขายดาบ โลกมันไม่ได้สวยอย่างที่คิด และประเทศไทย สังคมไทย มีข้อจำกัดในการใช่ชีวิตต่างจากประเทศ ความจริงมันก็เลยเป็นแบบนี้ล่ะค่ะ