สวัสดีค่ะ บอกก่อนเลยว่าเราเป็นเด็กต่างจังหวัด มาเรียนที่กรุงเทพ ตอนนี้เราอยู่ปี 4 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬา แล้วกำลังมีแพลนอยากจะสอบชิงทุนเรียนต่อที่ญี่ปุ่น
เราตั้งใจไว้ว่าจะไปเรียนต่อด้านแอนิเมชั่น แต่มันก็เป็นความตั้งใจที่เพิ่งเกิดขึ้นแบบจริงๆจังๆตอนช่วงเทอมสองนี้เอง ก่อนหน้านี้ช่วงที่เราอยู่ม.ปลาย เราก็เคยคิดนะ แต่เราไม่กล้าบอกใคร เพราะด้วยสังคมที่เราอยู่และครอบครัวเรา ทำให้เราอยากเก็บเอาไว้รู้อยู่คนเดียว
แรกสุด เราเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับการสอบชิงทุน ปรึกษาเพื่อน ถามครู ซื้อหนังสือ หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตและไปสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการสอบชิงทุน เช่น Jasso และสถานทูตญี่ปุ่น ซึ่งเรื่องนี้เรายังไม่บอกพ่อแม่ เพราะคิดว่าถ้าข้อมูลและเหตุผลไม่พอเค้าต้องไม่ให้เราไปแน่ๆ
เราตัดสินใจบอกแม่ตอนประมาณต้นเดือนธันวาคม ตอนแรกแม่ก็ไม่เห็นด้วย งงๆว่าแอนิเมชั่นคืออะไร จบไปจะทำอะไร แล้วธุรกิจที่บ้านล่ะ ไหนบอกจะมาทำต่อ เราเลยบอกไปว่าอยากไปเรียนต่อจบมาทำงานที่สตูดิโอแอนิเมชั่นซักที่ในไทย ไม่ก็ญี่ปุ่น แล้วค่อยกลับมาทำธุรกิจที่ร้านต่อ คุยกันค่อนข้างนาน หลายวัน แม่บอกว่า อย่าไปพยายามทำอะไรมากเลย เหนื่อยเปล่าๆ แต่ผ่านไปประมาณสองอาทิตย์ แม่ก็เริ่มศึกษาข้อมูล(น่าจะได้จากญาติๆและเพื่อนแม่ที่มีลูกไปต่อญี่ปุ่น) แม่ก็เริ่มเห็นด้วย และอยากได้เอกสารที่เราไปขอจากสถานทูตมาศึกษา เราดีใจมากๆเวลาที่คุยโทรศัพท์กับแม่เรื่องนี้
ปีใหม่ เรากลับบ้าน เราคิดว่าจะคุยเรื่องไปเรียนต่อญี่ปุ่นกับพ่อ
แต่พอดีตอนนั้น คือน้องเราเรียนหมอ จบมาก็ทำงานต่อที่โรงพยาบาลในขอนแก่น พ่อเลยมีโปรแกรมว่าจะซื้อบ้าน
เรื่องซื้อบ้านจึงเป็นประเด็นใหญ่และค่อนข้างเครียดเอาการอยู่ เราเลยยังไม่กล้าบอกเรื่องของเรา เพราะพ่อเราเป็นคนที่รับเรื่องอะไรหลายๆอย่างพร้อมกันไม่ได้ เค้าจะเครียดมากๆ ดังนั้นเรื่องของเราเลยตกไป
ขอย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ช่วงเทอม 1 เราบอกพ่อว่าจะไม่ทำงานที่กรุงเทพ จะกลับไปช่วยพ่อแม่ที่ร้าน เรามีร้านหนังสือ พ่อก็ดีใจมากๆ พ่อบอกว่า เราจะรับจ็อบทำงานฟรีแลนซ์หรือรับวาดพวก Storyboard ไปด้วยก็ได้ แล้วก็ซื้อไอแมค พร้อมโต๊ะทำงาน และเก้าอี้ อย่างดีให้ เตรียมให้เรากลับบ้าน แล้วคือยกห้องเปียโนให้เป็นห้องทำงานของเรา คือมันเริ่ดมากจริงๆ พ่อบอกว่า โต๊ะทำงานใช้กรรมวิธีขัดสีแบบเปียโน เลยเอามาไว้ในห้องเปียโนจะได้เข้ากัน
เราก็ดีใจมาก แต่แบบเราไม่ได้อยากทำงานฟรีแลนซ์ วาดบอร์ดอะไรแบบนี้อ่ะ ถ้าให้เราอยู่แบบนี้เราก็สบาย แต่เรารู้สึกเหมือนชีวิตไม่มีค่าเลยอะไรๆก็พ่อให้มาหมด ความรู้สึกนี้มันเริ่มหนักขึ้นหลังจากที่พ่อบอกว่าจะซื้อบ้าน แต่ไม่ซื้อเงินสด จะซื้อเงินผ่อน คือพ่อจะผ่อนให้จนน้องเรียนจบแล้วให้น้องผ่อนต่อ น้องก็หน้าเครียดนิดหน่อย เราเลยบอกว่า เดี๋ยวพี่ช่วยนะ (เราบอกเลยว่าคำพูดนี้เราจริงจัง อยากมีส่วนร่วม) พ่อกับน้องก็บอกว่า ไม่ต้อง ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วแหละว่าเค้าต้องพูดแบบนี้ เพราะเรายังไม่รู้เลยว่าจบมาเราจะทำงานอะไร มีรายได้ขนาดไหน ซึ่งถ้าเทียบกับน้องที่จบมาเป็นหมอ ก็เห็นภาพความมั่นคงกว่าเราแน่ๆ พ่อพูดว่า ก็ให้เราไปเป็นคนใช้ไง ช่วยเก็บกวาดบ้าน ซึ่งก็รู้แหละว่าพูดเล่น แต่เราแอบรู้สึกเสียใจนะ คือเราอาจคิดไปเองก็ได้มั้งว่าเค้าไม่เชื่อในตัวเราเลยอ่ะ เราดูเหมือนคนไม่มีความสามารถในสายตาเค้าเลย แล้วพูดต่อหน้าน้องของเราอีก
โอเค เรื่องนี้จบไป
เรื่องใหม่มันเพิ่งเกิดเมื่อไม่นานมานี้ หลังปีใหม่ มีวันนึงที่เราคุยโทรศัพท์กับแม่ แล้วเหมือนพ่อได้ยินว่าอะไรชิงทุนๆ เรียนต่อญี่ปุ่น ไรประมาณนี้
คืนนั้นพ่อเลยโทรมาหาเรา
พ่อ : จะไปญี่ปุ่นหรอ
เรา : ว่าจะไปเรียนต่อค่ะ
พ่อ : ไปทำไม ไปเมื่อไหร่
เรา : ป๊า อันนี้แพลนไว้เฉยๆ คือจะสอบชิงทุนไป แต่ก็ยังไม่รู้จะได้มั้ย แบบหนูอยากเรียนต่อโท แต่ก็คือยังไม่รู้จะได้ไปมั้ย
พ่อ : ฟังนะ ถ้ามันมีการเริ่มแล้วมันก็ไม่จบง่ายๆ เลิกคิดเถอะ เข้าใจมั้ย คือป๊าไม่รู้จะไปทำไม แค่นี้นะ
ตู๊ด...ตู๊ด... แล้วพ่อก็วางสายไปเลย เรางงมาก และตอนนั้นน้ำตามันไหลออกมาแล้ว ไม่รู้ทำไม.. เหมือนทั้งน้ำเสียงและก็คำพูดของพ่อมันทำให้เราทำอะไรต่อไม่ถูก แล้วก็การวางหูโทรศัพท์ใส่อีก เราไม่ชอบเลย
สองวันผ่านไป เราไม่โทรกลับบ้านเลย และก็ไม่มีใครโทรหาเราด้วย แต่คืนนี้พ่อโทรมา
พ่อ : เรื่องไปญี่ปุ่น คุยกับมะม๊าแค่สองคนใช่มั้ย ไปคุยกันตอนไหน
เรา : ก็...เพิ่งเริ่มคุยค่ะ
พ่อ : ทำไมมีอะไรไม่เคยบอกป๊า ไม่เคยเล่าให้ป๊าฟัง
(เราคิดในใจว่า ก็ว่าจะบอกตอนปีใหม่แต่ตอนนั้นก็ยุ่งเรื่องน้องอยู่ แล้วอีกอย่างเราอยากหาข้อมูลเยอะๆกว่านี้จะได้อธิบายให้พ่อเข้าใจ)
เรา : ก็..
พ่อ : ไหนเล่าให้ฟังซิ เรื่องมันยังไง จะไปทำไม จะเรียนอนิเมชั่นหรอ ฟังที่ป๊าพูดนะ อย่าไปสนใจคำพูดมะม๊า ป๊าไม่รู้ว่ามะม๊าคิดอะไรอยู่ ทำไมอยู่ๆถึงอยากให้ไป เพราะลูกคนอื่นเค้าไปเลยอยากให้ไปหรือยังไง
(เราคิดในใจ เอาแล้วไง เข้าใจผิด ที่จริงเราเป็นคนเริ่มและตอนแรกแม่ก็ไม่เห็นด้วย แต่เราพยายามพูดและอธิบาย แม่ถึงเข้าใจ อย่างนี้แสดงว่าแม่พยายามพูดปกป้องเราอยู่ เพราะถ้าบอกไปว่าเราอยากไปเอง พ่อก็จะด่าเรา)
เรา : ป๊า คือ.. จริงๆหนูอยากไปเอง .... (กรี๊ด เราพูดอะไรไม่ออกเลยตอนนั้น ทำไมก็ไม่รู้ มันกลัวไปหมด อยากหาคำพูดดีๆน่าเชื่อถือพูดออกมาให้เค้าฟังเรา)
พ่อ : เรียนอนิเมชั่นหรอ เรียนไปทำไม ที่เมืองไทยไม่มีหรอ จะต่อโทเดี๋ยวป๊าส่งเอง ต่อที่จุฬาก็ได้ ทำไมต้องไป บอกป๊าซิ ทำไมลูก
เรา : ..... (เราพูดอะไรไม่ออกเลย น้ำตาไหลออกมาแล้ว)
พ่อ : บลาๆๆๆๆๆ (คือ พ่อพูดอะไรต่อก็ไม่รู้ ยาวมาก ประมาณ 18 นาที เราไม่ตอบกลับซักคำ เราร้องไห้อยู่แต่เราว่าเค้าไม่รู้)
แล้วเค้าก็พูดมาประโยคหนึ่งที่เราจำได้ ว่า จำไว้นะ ไม่ตอบป๊า ระวังเวรกรรมตามสนองนะ โกรธป๊าหรอ รู้ไว้นะเดี๋ยวพอมีลูกก็จะเจอลูกทำแบบเดียวกับที่หนูทำกับป๊า แล้วก็วางสายไป
คือเราไม่ได้โกรธอะไรเลยนะ เราไม่รู้ว่าเรารู้สึกยังไง แต่เราร้องไห้หนักมากหลังจากวางสาย
เช้าวันต่อมา พ่อเราไลน์มาหา
พ่อ : ป๊ากำลังทะเลาะกับมะม๊า ห้ามโทรหามะม๊านะ เดี๋ยวป๊าโทรหาพี่หวานเอง อย่าพูดอะไรถ้าม๊าโทรมา
เรา : ทะเลาะกันเรื่องหนูหรอ
พ่อ : ใช่
แล้วสายๆหน่อย พ่อเราก็ใช้เบอร์แม่โทรมา
พ่อ : จะไปเรียนต่ออะไรยังไงนะ เล่าให้ป๊าฟังซิ
เรา : ก็...จะไปเรียนด้านอนิเมชั่นค่ะ เป็นแบบสอบชิงทุนไป คือมันไม่ต้องเสียอะไรเลยนะป๊า
พ่อ : ไปเรียนกี่ปี
เรา : คือมันต้องไปทำวิจัยสองปี แล้วถ้าสอบต่อโทได้ก็เรียนโทอีกสองปีค่ะ
พ่อ : จะไปจริงๆหรอลูก เรียนที่จุฬาต่อไม่ได้หรอ
เรา : ที่จุฬามันไม่มีสาขานี้อ่ะค่ะ
พ่อ : *ถอนหายใจ เปลี่ยนโหมด * ทำไมถึงเป็นคนอย่างนี้นะ แล้วที่ป๊าเตรียมมาคืออะไร ทำไมถึงอยากทำอะไรก็ทำ ฮะ
(แล้วเสียงพ่อก็เริ่มสั่น คือร้องไห้) จะทำอะไรก็ทำ
ตู๊ด...ตู๊ด...วางสายแบบนี้อีกแล้ว
เราก็นั่งงง แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอีกแล้ว
แล้ววันต่อมาพ่อก็ถ่ายรูปบัตรเติมเงินส่งมาให้เราทางไลน์เพื่อให้เราเติมเงินมือถือ รู้แหละว่ากำลังง้อเรา เราก็บอกไปว่า ขอบคุณค่ะ แล้วพ่อก็ไลน์มาว่า
จริงๆเราควรจะดีใจใช่มั้ยอ่ะ แต่เราไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย
วันต่อมา (วันพฤหัส) เราโทรศัพท์คุยกับพ่อ พ่อบอกให้กลับบ้าน เพราะเหตุการณ์ชุมนุมมันเริ่มวุ่นวาย
แต่คือเราแอบเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ สสท. โดยที่ไม่ได้บอกพ่อและแม่ (เพราะรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่ให้เรียน) เป็นคอร์สเร่งรัด คือเราไม่อยากหยุดเรียนเลย เพราะจะตามไม่ทันและอีกอย่างวันจันทร์ เรามีสอบเรียนต่อเพื่อลงคอร์สต่อไป แต่พ่อเราบอกให้เรากลับภายในสองวันนี้ เราก็อ้างเรื่องเพื่อนไปว่ามีงานกลุ่ม แต่คือมันฟังไม่ขึ้น พ่อเราบอกให้กลับอย่างช้าสุดคือวันอาทิตย์เย็น เราจึงตัดสินใจสอบญี่ปุ่นพรุ่งนี้เลย เป็นสอบนอกรอบ เสียเงิน 200 บาท เอาเถอะ... อ่านหนังสือคืนเดียว ต้องขอบคุณ สสท.จริงๆที่ยอมให้เราสอบ
วันศุกร์ สอบเสร็จ เราก็โทรคุยกับแม่ บอกว่าจะกลับบ้านวันอาทิตย์นะ
วันเสาร์นี้ ตอนบ่าย เราคุยกับแม่ตามปกติ ไม่ได้คุยเรื่องไปญี่ปุ่นอีก
ตอนกลางคืน พ่อไลน์มาหาเรา
คือเราไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อต้องทำแบบนี้ ก็รู้ว่าอยากให้กลับไปทำที่ร้านต่อ แต่ที่ส่งมาให้นี่คืออะไรหรอ ตอนนี้เค้าทำเหมือนชีวิตเรามีสองทางเลือกเท่านั้นคือ ไม่ทำงานโฆษณา ก็มาทำร้าน แต่เราอยากเรียนต่อโทที่ญี่ปุ่น แล้วค่อยกลับมาทำงานที่ร้าน ซึ่งมันไม่มีในตัวเลือกเลย
ตอนประมาณสี่ทุ่ม พ่อก็โทรมา น้ำเสียงพูดเหมือนตะคอกจนเราตกใจ
พ่อ : นี่รู้มั้ย มะม๊าจะฆ่าตัวตายนะ ทะเลาะกันเรื่องหนูนั่นแหละ ตอนนี้ป๊าออกมาข้างนอกแล้ว ไม่อยากอยู่แล้วบ้านน่ะ จะไปญี่ปุ่นใช่มั้ย!!! ไปเลย!!!
เรา : ฮะ (คืองงมาก กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่)
พ่อ : ก็ลองโทรหาดูนะ จะรับหรือไม่รับโทรศัทพ์ แค่นี้นะ
วางหูไป
เรานิ่งไป ให้ทายเป็นไรต่อ ใช่ค่ะ ร้องไห้ค่า คือน้ำตามันไหลออกมาเองอีกละ
เรากดโทรศัพท์โทรไปที่บ้าน ไม่มีคนรับ (18 ครั้ง)
โทรเข้ามือถือแม่ ไม่มีคนรับ (18 ครั้ง)
เราโทรหา 191 (3 ครั้ง) เป็นตอบรับอัตโนมัติ เค้าบอกว่าเค้ายุ่งอยู่
เรากังวลมากๆ เราไม่รู้ว่าพ่อเราพูดอะไรกับแม่บ้าง ทั้งพ่อและแม่เราอยู่ในสภาพจิตใจแบบไหน แต่ที่แน่ๆการไม่รับโทรศัพท์มันก็บ่งบอกแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้น มันไม่มีอะไรดีเลย เราโทรไปที่บ้านอีกครั้งนึง คิดว่าถ้าไม่รับ จะจองตั๋วเครื่องบินกลับบ้านคืนนี้เลย ปรากฏว่าพ่อรับ พ่อพูดว่า
"ตอนนี้มะม๊าอยู่ในห้องนอนใหญ่ ล็อกห้อง ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง บ้าน

จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ก็ปล่อยไป

ไม่เป็นบ้านแล้ว" คำพูดสุดท้ายถึงจะหยาบแต่พ่อก็ร้องไห้ด้วย แล้วก็กระแทกหูโทรศัพท์ใส่ เรากังวลเรื่องแม่มากๆแต่ตอนนี้เราก็ทำอะไรไม่ได้ แล้วก็เรื่องพ่อที่อารมณ์ขึ้นๆลงๆจนทำให้เรารู้สึกประสาทเสีย
เราสับสนกับชีวิตตัวเองมากตอนนี้ เรานึกภาพไม่ออกว่า เราเรียนจบ กลับไปนั่งขายของ แล้วไงหรอ ชีวิตเราต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนแก่เลยหรอ เราทำได้นะแต่ตอนนี้เราไม่อยากทำ บางคนอาจมองว่าเราโง่ ทางเลือกดีขนาดนี้ทำไมไม่เอา
ตอนนี้เราเพิ่ง 21 เอง โอเคก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่นั่นแหละ แต่คือเข้าใจคำว่าเพิ่งเรียนจบมั้ย ออกจากรั้วมหาวิทยาลัยหมาดๆ อยากลองใช้ชีวิตแบบลุยไปเองบ้าง พบปะและได้เจอกับคนใหม่ๆ ต่างช่วงวัยบ้าง อยากมีสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์ชีวิต เรารู้ว่าหนทางข้างหน้าที่เราเลือกเดินมันคงไม่ได้สบายหรอก แต่หนทางที่พ่อหยิบยื่นให้มันสบายมาก แต่อย่างน้อยสิ่งเหล่านั้นก็น่าจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นไม่ใช่หรอ สิ่งที่พ่อให้เราไม่ได้มันมีอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ มันคืออนาคตของเรา เราต้องเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง เพราะพ่อไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด เขาไม่สามารถกำหนดอนาคตให้เราไปตลอดได้ ซักวันเค้าต้องจากเราไป ถึงตอนนั้นถ้าเราทำอะไรไม่เป็นเลยล่ะ เราจะอยู่ด้วยตัวเองยังไง (หรือเราคิดผิด??)
เอาเถอะ..ยังไงปัญหานี้ มีแต่เราที่แก้ไขได้ คนอื่นอาจมองว่าเป็นเรื่องจิ๊บๆ แต่สำหรับเรามันคือด่านที่ยากที่สุดเลย การสอบสัมภาษณ์ที่ไหนก็ไม่น่ากลัวเท่ากับการนั่งตอบคำถามพ่อแล้วแหละ เราไม่รู้ว่าเราคิดถูกหรือผิด แต่เราอยากจะไปเรียนต่อจริงๆ เราต้องตัดใจทิ้งพ่อแม่ไว้ข้างหลัง ซึ่งถามว่าทำแบบนี้ดีแน่หรอ เราก็ไม่รู้ แต่เรารู้ว่าถ้าเราไม่ไปลองใช้ชีวิตเองบ้าง เราจะอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ ถามว่าเรากลัวมั้ย เราก็กลัวนะ คิดถึงบ้านมั้ย อย่าให้พูดเลย แค่มาอยู่กรุงเทพ พูดว่าบ้าน น้ำตาก็ไหลแล้ว แต่เราคิดว่าถ้าไม่ออกเดินทางซักที ชีวิตเราก็ต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่เรื่อย อยากให้พ่อแม่พึ่งพาเราบ้าง เราสัญญาว่าเราจะผ่อนบ้านให้น้อง และ
ไม่แน่ในอนาคต อาจมีภาพยนตร์แอนิเมชั่น 2D ฝีมือคนไทย ไม่แพ้ค่าย Ghibli ออกฉายก็ได้นะ
จะสอบชิงทุนไปเรียนต่อญี่ปุ่น ทำให้พ่อกับแม่ทะเลาะกัน?? อนาคตของเรา ตกลงใครกำหนด??
เราตั้งใจไว้ว่าจะไปเรียนต่อด้านแอนิเมชั่น แต่มันก็เป็นความตั้งใจที่เพิ่งเกิดขึ้นแบบจริงๆจังๆตอนช่วงเทอมสองนี้เอง ก่อนหน้านี้ช่วงที่เราอยู่ม.ปลาย เราก็เคยคิดนะ แต่เราไม่กล้าบอกใคร เพราะด้วยสังคมที่เราอยู่และครอบครัวเรา ทำให้เราอยากเก็บเอาไว้รู้อยู่คนเดียว
แรกสุด เราเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับการสอบชิงทุน ปรึกษาเพื่อน ถามครู ซื้อหนังสือ หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตและไปสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการสอบชิงทุน เช่น Jasso และสถานทูตญี่ปุ่น ซึ่งเรื่องนี้เรายังไม่บอกพ่อแม่ เพราะคิดว่าถ้าข้อมูลและเหตุผลไม่พอเค้าต้องไม่ให้เราไปแน่ๆ
เราตัดสินใจบอกแม่ตอนประมาณต้นเดือนธันวาคม ตอนแรกแม่ก็ไม่เห็นด้วย งงๆว่าแอนิเมชั่นคืออะไร จบไปจะทำอะไร แล้วธุรกิจที่บ้านล่ะ ไหนบอกจะมาทำต่อ เราเลยบอกไปว่าอยากไปเรียนต่อจบมาทำงานที่สตูดิโอแอนิเมชั่นซักที่ในไทย ไม่ก็ญี่ปุ่น แล้วค่อยกลับมาทำธุรกิจที่ร้านต่อ คุยกันค่อนข้างนาน หลายวัน แม่บอกว่า อย่าไปพยายามทำอะไรมากเลย เหนื่อยเปล่าๆ แต่ผ่านไปประมาณสองอาทิตย์ แม่ก็เริ่มศึกษาข้อมูล(น่าจะได้จากญาติๆและเพื่อนแม่ที่มีลูกไปต่อญี่ปุ่น) แม่ก็เริ่มเห็นด้วย และอยากได้เอกสารที่เราไปขอจากสถานทูตมาศึกษา เราดีใจมากๆเวลาที่คุยโทรศัพท์กับแม่เรื่องนี้
ปีใหม่ เรากลับบ้าน เราคิดว่าจะคุยเรื่องไปเรียนต่อญี่ปุ่นกับพ่อ
แต่พอดีตอนนั้น คือน้องเราเรียนหมอ จบมาก็ทำงานต่อที่โรงพยาบาลในขอนแก่น พ่อเลยมีโปรแกรมว่าจะซื้อบ้าน
เรื่องซื้อบ้านจึงเป็นประเด็นใหญ่และค่อนข้างเครียดเอาการอยู่ เราเลยยังไม่กล้าบอกเรื่องของเรา เพราะพ่อเราเป็นคนที่รับเรื่องอะไรหลายๆอย่างพร้อมกันไม่ได้ เค้าจะเครียดมากๆ ดังนั้นเรื่องของเราเลยตกไป
ขอย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ช่วงเทอม 1 เราบอกพ่อว่าจะไม่ทำงานที่กรุงเทพ จะกลับไปช่วยพ่อแม่ที่ร้าน เรามีร้านหนังสือ พ่อก็ดีใจมากๆ พ่อบอกว่า เราจะรับจ็อบทำงานฟรีแลนซ์หรือรับวาดพวก Storyboard ไปด้วยก็ได้ แล้วก็ซื้อไอแมค พร้อมโต๊ะทำงาน และเก้าอี้ อย่างดีให้ เตรียมให้เรากลับบ้าน แล้วคือยกห้องเปียโนให้เป็นห้องทำงานของเรา คือมันเริ่ดมากจริงๆ พ่อบอกว่า โต๊ะทำงานใช้กรรมวิธีขัดสีแบบเปียโน เลยเอามาไว้ในห้องเปียโนจะได้เข้ากัน
เราก็ดีใจมาก แต่แบบเราไม่ได้อยากทำงานฟรีแลนซ์ วาดบอร์ดอะไรแบบนี้อ่ะ ถ้าให้เราอยู่แบบนี้เราก็สบาย แต่เรารู้สึกเหมือนชีวิตไม่มีค่าเลยอะไรๆก็พ่อให้มาหมด ความรู้สึกนี้มันเริ่มหนักขึ้นหลังจากที่พ่อบอกว่าจะซื้อบ้าน แต่ไม่ซื้อเงินสด จะซื้อเงินผ่อน คือพ่อจะผ่อนให้จนน้องเรียนจบแล้วให้น้องผ่อนต่อ น้องก็หน้าเครียดนิดหน่อย เราเลยบอกว่า เดี๋ยวพี่ช่วยนะ (เราบอกเลยว่าคำพูดนี้เราจริงจัง อยากมีส่วนร่วม) พ่อกับน้องก็บอกว่า ไม่ต้อง ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วแหละว่าเค้าต้องพูดแบบนี้ เพราะเรายังไม่รู้เลยว่าจบมาเราจะทำงานอะไร มีรายได้ขนาดไหน ซึ่งถ้าเทียบกับน้องที่จบมาเป็นหมอ ก็เห็นภาพความมั่นคงกว่าเราแน่ๆ พ่อพูดว่า ก็ให้เราไปเป็นคนใช้ไง ช่วยเก็บกวาดบ้าน ซึ่งก็รู้แหละว่าพูดเล่น แต่เราแอบรู้สึกเสียใจนะ คือเราอาจคิดไปเองก็ได้มั้งว่าเค้าไม่เชื่อในตัวเราเลยอ่ะ เราดูเหมือนคนไม่มีความสามารถในสายตาเค้าเลย แล้วพูดต่อหน้าน้องของเราอีก
โอเค เรื่องนี้จบไป
เรื่องใหม่มันเพิ่งเกิดเมื่อไม่นานมานี้ หลังปีใหม่ มีวันนึงที่เราคุยโทรศัพท์กับแม่ แล้วเหมือนพ่อได้ยินว่าอะไรชิงทุนๆ เรียนต่อญี่ปุ่น ไรประมาณนี้
คืนนั้นพ่อเลยโทรมาหาเรา
พ่อ : จะไปญี่ปุ่นหรอ
เรา : ว่าจะไปเรียนต่อค่ะ
พ่อ : ไปทำไม ไปเมื่อไหร่
เรา : ป๊า อันนี้แพลนไว้เฉยๆ คือจะสอบชิงทุนไป แต่ก็ยังไม่รู้จะได้มั้ย แบบหนูอยากเรียนต่อโท แต่ก็คือยังไม่รู้จะได้ไปมั้ย
พ่อ : ฟังนะ ถ้ามันมีการเริ่มแล้วมันก็ไม่จบง่ายๆ เลิกคิดเถอะ เข้าใจมั้ย คือป๊าไม่รู้จะไปทำไม แค่นี้นะ
ตู๊ด...ตู๊ด... แล้วพ่อก็วางสายไปเลย เรางงมาก และตอนนั้นน้ำตามันไหลออกมาแล้ว ไม่รู้ทำไม.. เหมือนทั้งน้ำเสียงและก็คำพูดของพ่อมันทำให้เราทำอะไรต่อไม่ถูก แล้วก็การวางหูโทรศัพท์ใส่อีก เราไม่ชอบเลย
สองวันผ่านไป เราไม่โทรกลับบ้านเลย และก็ไม่มีใครโทรหาเราด้วย แต่คืนนี้พ่อโทรมา
พ่อ : เรื่องไปญี่ปุ่น คุยกับมะม๊าแค่สองคนใช่มั้ย ไปคุยกันตอนไหน
เรา : ก็...เพิ่งเริ่มคุยค่ะ
พ่อ : ทำไมมีอะไรไม่เคยบอกป๊า ไม่เคยเล่าให้ป๊าฟัง
(เราคิดในใจว่า ก็ว่าจะบอกตอนปีใหม่แต่ตอนนั้นก็ยุ่งเรื่องน้องอยู่ แล้วอีกอย่างเราอยากหาข้อมูลเยอะๆกว่านี้จะได้อธิบายให้พ่อเข้าใจ)
เรา : ก็..
พ่อ : ไหนเล่าให้ฟังซิ เรื่องมันยังไง จะไปทำไม จะเรียนอนิเมชั่นหรอ ฟังที่ป๊าพูดนะ อย่าไปสนใจคำพูดมะม๊า ป๊าไม่รู้ว่ามะม๊าคิดอะไรอยู่ ทำไมอยู่ๆถึงอยากให้ไป เพราะลูกคนอื่นเค้าไปเลยอยากให้ไปหรือยังไง
(เราคิดในใจ เอาแล้วไง เข้าใจผิด ที่จริงเราเป็นคนเริ่มและตอนแรกแม่ก็ไม่เห็นด้วย แต่เราพยายามพูดและอธิบาย แม่ถึงเข้าใจ อย่างนี้แสดงว่าแม่พยายามพูดปกป้องเราอยู่ เพราะถ้าบอกไปว่าเราอยากไปเอง พ่อก็จะด่าเรา)
เรา : ป๊า คือ.. จริงๆหนูอยากไปเอง .... (กรี๊ด เราพูดอะไรไม่ออกเลยตอนนั้น ทำไมก็ไม่รู้ มันกลัวไปหมด อยากหาคำพูดดีๆน่าเชื่อถือพูดออกมาให้เค้าฟังเรา)
พ่อ : เรียนอนิเมชั่นหรอ เรียนไปทำไม ที่เมืองไทยไม่มีหรอ จะต่อโทเดี๋ยวป๊าส่งเอง ต่อที่จุฬาก็ได้ ทำไมต้องไป บอกป๊าซิ ทำไมลูก
เรา : ..... (เราพูดอะไรไม่ออกเลย น้ำตาไหลออกมาแล้ว)
พ่อ : บลาๆๆๆๆๆ (คือ พ่อพูดอะไรต่อก็ไม่รู้ ยาวมาก ประมาณ 18 นาที เราไม่ตอบกลับซักคำ เราร้องไห้อยู่แต่เราว่าเค้าไม่รู้)
แล้วเค้าก็พูดมาประโยคหนึ่งที่เราจำได้ ว่า จำไว้นะ ไม่ตอบป๊า ระวังเวรกรรมตามสนองนะ โกรธป๊าหรอ รู้ไว้นะเดี๋ยวพอมีลูกก็จะเจอลูกทำแบบเดียวกับที่หนูทำกับป๊า แล้วก็วางสายไป
คือเราไม่ได้โกรธอะไรเลยนะ เราไม่รู้ว่าเรารู้สึกยังไง แต่เราร้องไห้หนักมากหลังจากวางสาย
เช้าวันต่อมา พ่อเราไลน์มาหา
พ่อ : ป๊ากำลังทะเลาะกับมะม๊า ห้ามโทรหามะม๊านะ เดี๋ยวป๊าโทรหาพี่หวานเอง อย่าพูดอะไรถ้าม๊าโทรมา
เรา : ทะเลาะกันเรื่องหนูหรอ
พ่อ : ใช่
แล้วสายๆหน่อย พ่อเราก็ใช้เบอร์แม่โทรมา
พ่อ : จะไปเรียนต่ออะไรยังไงนะ เล่าให้ป๊าฟังซิ
เรา : ก็...จะไปเรียนด้านอนิเมชั่นค่ะ เป็นแบบสอบชิงทุนไป คือมันไม่ต้องเสียอะไรเลยนะป๊า
พ่อ : ไปเรียนกี่ปี
เรา : คือมันต้องไปทำวิจัยสองปี แล้วถ้าสอบต่อโทได้ก็เรียนโทอีกสองปีค่ะ
พ่อ : จะไปจริงๆหรอลูก เรียนที่จุฬาต่อไม่ได้หรอ
เรา : ที่จุฬามันไม่มีสาขานี้อ่ะค่ะ
พ่อ : *ถอนหายใจ เปลี่ยนโหมด * ทำไมถึงเป็นคนอย่างนี้นะ แล้วที่ป๊าเตรียมมาคืออะไร ทำไมถึงอยากทำอะไรก็ทำ ฮะ
(แล้วเสียงพ่อก็เริ่มสั่น คือร้องไห้) จะทำอะไรก็ทำ
ตู๊ด...ตู๊ด...วางสายแบบนี้อีกแล้ว
เราก็นั่งงง แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอีกแล้ว
แล้ววันต่อมาพ่อก็ถ่ายรูปบัตรเติมเงินส่งมาให้เราทางไลน์เพื่อให้เราเติมเงินมือถือ รู้แหละว่ากำลังง้อเรา เราก็บอกไปว่า ขอบคุณค่ะ แล้วพ่อก็ไลน์มาว่า
จริงๆเราควรจะดีใจใช่มั้ยอ่ะ แต่เราไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย
วันต่อมา (วันพฤหัส) เราโทรศัพท์คุยกับพ่อ พ่อบอกให้กลับบ้าน เพราะเหตุการณ์ชุมนุมมันเริ่มวุ่นวาย
แต่คือเราแอบเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ สสท. โดยที่ไม่ได้บอกพ่อและแม่ (เพราะรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่ให้เรียน) เป็นคอร์สเร่งรัด คือเราไม่อยากหยุดเรียนเลย เพราะจะตามไม่ทันและอีกอย่างวันจันทร์ เรามีสอบเรียนต่อเพื่อลงคอร์สต่อไป แต่พ่อเราบอกให้เรากลับภายในสองวันนี้ เราก็อ้างเรื่องเพื่อนไปว่ามีงานกลุ่ม แต่คือมันฟังไม่ขึ้น พ่อเราบอกให้กลับอย่างช้าสุดคือวันอาทิตย์เย็น เราจึงตัดสินใจสอบญี่ปุ่นพรุ่งนี้เลย เป็นสอบนอกรอบ เสียเงิน 200 บาท เอาเถอะ... อ่านหนังสือคืนเดียว ต้องขอบคุณ สสท.จริงๆที่ยอมให้เราสอบ
วันศุกร์ สอบเสร็จ เราก็โทรคุยกับแม่ บอกว่าจะกลับบ้านวันอาทิตย์นะ
วันเสาร์นี้ ตอนบ่าย เราคุยกับแม่ตามปกติ ไม่ได้คุยเรื่องไปญี่ปุ่นอีก
ตอนกลางคืน พ่อไลน์มาหาเรา
คือเราไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อต้องทำแบบนี้ ก็รู้ว่าอยากให้กลับไปทำที่ร้านต่อ แต่ที่ส่งมาให้นี่คืออะไรหรอ ตอนนี้เค้าทำเหมือนชีวิตเรามีสองทางเลือกเท่านั้นคือ ไม่ทำงานโฆษณา ก็มาทำร้าน แต่เราอยากเรียนต่อโทที่ญี่ปุ่น แล้วค่อยกลับมาทำงานที่ร้าน ซึ่งมันไม่มีในตัวเลือกเลย
ตอนประมาณสี่ทุ่ม พ่อก็โทรมา น้ำเสียงพูดเหมือนตะคอกจนเราตกใจ
พ่อ : นี่รู้มั้ย มะม๊าจะฆ่าตัวตายนะ ทะเลาะกันเรื่องหนูนั่นแหละ ตอนนี้ป๊าออกมาข้างนอกแล้ว ไม่อยากอยู่แล้วบ้านน่ะ จะไปญี่ปุ่นใช่มั้ย!!! ไปเลย!!!
เรา : ฮะ (คืองงมาก กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่)
พ่อ : ก็ลองโทรหาดูนะ จะรับหรือไม่รับโทรศัทพ์ แค่นี้นะ
วางหูไป
เรานิ่งไป ให้ทายเป็นไรต่อ ใช่ค่ะ ร้องไห้ค่า คือน้ำตามันไหลออกมาเองอีกละ
เรากดโทรศัพท์โทรไปที่บ้าน ไม่มีคนรับ (18 ครั้ง)
โทรเข้ามือถือแม่ ไม่มีคนรับ (18 ครั้ง)
เราโทรหา 191 (3 ครั้ง) เป็นตอบรับอัตโนมัติ เค้าบอกว่าเค้ายุ่งอยู่
เรากังวลมากๆ เราไม่รู้ว่าพ่อเราพูดอะไรกับแม่บ้าง ทั้งพ่อและแม่เราอยู่ในสภาพจิตใจแบบไหน แต่ที่แน่ๆการไม่รับโทรศัพท์มันก็บ่งบอกแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้น มันไม่มีอะไรดีเลย เราโทรไปที่บ้านอีกครั้งนึง คิดว่าถ้าไม่รับ จะจองตั๋วเครื่องบินกลับบ้านคืนนี้เลย ปรากฏว่าพ่อรับ พ่อพูดว่า
"ตอนนี้มะม๊าอยู่ในห้องนอนใหญ่ ล็อกห้อง ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง บ้าน
เราสับสนกับชีวิตตัวเองมากตอนนี้ เรานึกภาพไม่ออกว่า เราเรียนจบ กลับไปนั่งขายของ แล้วไงหรอ ชีวิตเราต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนแก่เลยหรอ เราทำได้นะแต่ตอนนี้เราไม่อยากทำ บางคนอาจมองว่าเราโง่ ทางเลือกดีขนาดนี้ทำไมไม่เอา
ตอนนี้เราเพิ่ง 21 เอง โอเคก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่นั่นแหละ แต่คือเข้าใจคำว่าเพิ่งเรียนจบมั้ย ออกจากรั้วมหาวิทยาลัยหมาดๆ อยากลองใช้ชีวิตแบบลุยไปเองบ้าง พบปะและได้เจอกับคนใหม่ๆ ต่างช่วงวัยบ้าง อยากมีสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์ชีวิต เรารู้ว่าหนทางข้างหน้าที่เราเลือกเดินมันคงไม่ได้สบายหรอก แต่หนทางที่พ่อหยิบยื่นให้มันสบายมาก แต่อย่างน้อยสิ่งเหล่านั้นก็น่าจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นไม่ใช่หรอ สิ่งที่พ่อให้เราไม่ได้มันมีอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ มันคืออนาคตของเรา เราต้องเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง เพราะพ่อไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด เขาไม่สามารถกำหนดอนาคตให้เราไปตลอดได้ ซักวันเค้าต้องจากเราไป ถึงตอนนั้นถ้าเราทำอะไรไม่เป็นเลยล่ะ เราจะอยู่ด้วยตัวเองยังไง (หรือเราคิดผิด??)
เอาเถอะ..ยังไงปัญหานี้ มีแต่เราที่แก้ไขได้ คนอื่นอาจมองว่าเป็นเรื่องจิ๊บๆ แต่สำหรับเรามันคือด่านที่ยากที่สุดเลย การสอบสัมภาษณ์ที่ไหนก็ไม่น่ากลัวเท่ากับการนั่งตอบคำถามพ่อแล้วแหละ เราไม่รู้ว่าเราคิดถูกหรือผิด แต่เราอยากจะไปเรียนต่อจริงๆ เราต้องตัดใจทิ้งพ่อแม่ไว้ข้างหลัง ซึ่งถามว่าทำแบบนี้ดีแน่หรอ เราก็ไม่รู้ แต่เรารู้ว่าถ้าเราไม่ไปลองใช้ชีวิตเองบ้าง เราจะอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ ถามว่าเรากลัวมั้ย เราก็กลัวนะ คิดถึงบ้านมั้ย อย่าให้พูดเลย แค่มาอยู่กรุงเทพ พูดว่าบ้าน น้ำตาก็ไหลแล้ว แต่เราคิดว่าถ้าไม่ออกเดินทางซักที ชีวิตเราก็ต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่เรื่อย อยากให้พ่อแม่พึ่งพาเราบ้าง เราสัญญาว่าเราจะผ่อนบ้านให้น้อง และ
ไม่แน่ในอนาคต อาจมีภาพยนตร์แอนิเมชั่น 2D ฝีมือคนไทย ไม่แพ้ค่าย Ghibli ออกฉายก็ได้นะ