สวัสดีค่ะ

ตื่นเต้นจังเลยกระทู้แรก ตามอ่านรีวิวต่างๆมานานและวันนี้ขอเป็นเจ้าของกระทู้เองซะมั่ง!
(รูปต่างๆในกระทู้นี้มาจากหลากหลายกล้อง ตั้งแต่คอมแพคกากๆ คอมแพคเลิศๆ กล้องไอโฟน ไปจนถึงกล้องแบบมืออาชีพ ภาพสวยบ้างไม่สวยบ้างปะปนกันไปต้องขออภัยด้วย ขออนุญาติเพื่อนเอารูปมาลงแล้วนะคะ)
แนะนำตัวก่อนค่ะ จขกท เรียนสาขากายอุปกรณ์ (ไม่ใช่กายภาพบำบัด/เทคนิคการแพทย์) เพิ่งจบมาปีที่แล้ว ฮี่ๆ ไม่น่ารอให้ผ่าน 2013 เลยพอพูดว่าปีที่แล้วฟังดูนานจัง
ในช่วงการขึ้นคลีนิคสุดท้ายก่อนเรียนจบ จขกท และเพื่อนสุดสวยตัดสินใจเลือกไปฝึกงาน (Clinical Placement) ที่ประเทศศรีลังกา ทั้งๆที่มีตัวเลือกอื่นๆ อาทิ ญี่ปุ่น ฮ่องกง กัมพูชา <<< อันนี้กลัวเรื่องข้อพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร ที่เลือกไปด้วยเหตุผลง่ายๆเพราะ... ไม่งั้นคงไม่คิดจะไปเอง (ประเทศอื่นๆเป็นประเทศท่องเที่ยว นึกจะไปก็ไปได้ป้ะ? ศรีลังกานี่ไม่ใช่ธรรมดา เค้าก็ไม่ได้ไปกันบ่อยๆ...ชิมิ)
ก่อนไป เรามีฐานความรู้เกี่ยวกับประเทศนี้น้อยนิดแค่ว่า ศรีลังกาเป็นหยดน้ำผึ้งเล็กๆของอินเดีย(ตามแผนที่) และประเทศไทยรับศาสนาพุทธ นิกายเถรวาทมาจากศรีลังกา รู้เท่านี้จริงๆ แต่ก็มีเพื่อนที่น่ารักช่วยกันรีวิวเพิ่มดีกรีความตื่นเต้นเข้าไป ‘ศรีลังกาไม่น่ากลัวหรอแก?’ ‘มันมีกบฏพยัคฆ์ทมิฬอะไรอยู่ไม่ใช่อ่อ?’ ‘มันเป็นหนังหน้าไฟให้กับอินเดียนิ่ มีพายุอะไรเข้ามาก็โดนก่อนเลย! เหมือนสึนามินั่นไง!’ ไปจนถึง ‘ระวังโดนฉุดนะ’ พอได้ยินอย่างนี้ จริงๆก็เริ่มหวาดกลัวในใจ แต่แม้แต่กษัตริย์ตรัสไว้ไม่คืนคำ ประสาอะไรกับคนตาดำๆจะคืนคำได้!
ว่าแล้ว 1 เดือนก่อนการเดินทาง เราทั้งคู่ก็เดินทางไปยังสถานทูตศรีลังกาประจำประเทศไทย ตั้งอยู่ ณ โอเชียนทาวเวอร์ 2, สุขุมวิท พอขึ้นไปชั้น 13 จะมียามอยู่ 1 คนนั่งอยู่เงียบๆ ในไฟสลัวๆหน้าสถานทูตซึ่งมีประตูกระจกที่ล็อคอยู่ ข้างในก็โล่งๆ ตอนที่ไปเป็นเวลาที่ยื่นเอกสารได้อย่างเดียวคนเลยน้อย (มั้ง) ใครจะไปเช็คเรื่องเวลาทำการดีๆนะคะ เราก็กดกดกริ่งแล้วจะมีพนักงานข้างในปลดล็อคประตูให้ คนที่จัดการเอกสารให้เราเป็นผู้ชายหน้าออกแขกๆแต่น่าจะเป็นคนไทยนี่ล่ะ มีดุนิดหน่อย(แต่ใจดี) พูดให้ฟังด้วยว่าที่ศรีลังกาเป็นยังไง ผ่านไปเรียบร้อยดี 3 วันหลังจากนั้นก็เดินทางไปรับเอกสาร เป็นกระดาษ 1 ใบที่เราต้องแนบไปพร้อม passport (อยู่ได้ไม่เกิน 1 เดือน)แล้วเราก็ ready to go!
เราจองตั๋วออนไลน์ ของศรีลังกาแอร์ไลน์ สายการบินประจำประเทศ เช็คมาแล้วว่าราคาถูกสุด ประมาณ 12,000 กว่าๆ ไป-กลับของการบินไทยจะอยู่ที่ 15,000 เสียดายไม่มีโปรโมชั่นของสายการบินไหนเลย(เมื่อกี๊แวะไปเช็คที่หน้าเว็บศรีลังกาแอร์ไลน์มาเบาๆ 8,000 ฝ่าๆก็มี แล้วแต่เลือกวัน mix and match! มือคันยุกยิกเลยจะกดจอง 555) ตอนมาเช็คอินที่ gate D6 (หลังจากเดินอยู่ในดงดอกไม้ของ duty free)ก็ปาไป 4 ทุ่มแล้วเนื่องจากเครื่องดีเลย์ เราก็ได้รับกล่องขนม พอเปิดมาเจอโครซองกับน้ำผลไม้ก็โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก นึกว่าจะต้องเจออะไรที่ประกอบด้วยขมิ้น 555 เครื่องของเราเป็นเครื่องที่ต่อมาจากฮ่องกง เครื่องไม่เก่ามากแต่ก็ไม่ใหม่! พอเราเข้าไปในตัวเครื่องจะมีแอร์ต้อนรับเราด้วยรอยยิ้มและคำทักทาย ‘Ayubowan’ อายูโบว๊าน แปลว่า สวัสดี ในภาษาซิงฮาล่า หรือสิงหลที่เราเรียกกันนั่นเอง เวลาเดินทางรวม 4 ชั่วโมง จขกท เลยไม่ได้แวะไปรีวิวห้องน้ำมาให้ sorry นะ ระหว่างรอผู้โดยสารคนอื่นๆเข้ามาจับจองที่นั่งก็อดมองแอร์ของสายการบินนี้ไม่ได้จริงๆ แอร์จะมาในธีมของนกยูง ส่าหรีสีเขียวกับพุงน่ารักๆ ไม่มีพุงใส่ไม่สวยนะจริงๆ! แต่ถ้าเป็นนกยูงก็ต้องเป็นนกยูงที่ดุเบาๆ เค้าคงเหนื่อยมั้ง ไม่ค่อยยิ้มเลย แอบถ่ายรูปแอร์มาให้ดู

อันนี้ไม่แอบ จขกท กับป้ายของสายการบิน จะได้เห็นชุดแอร์ข้างหน้าชัดๆ อิอิ

พุงน่ารักง่ะ เธอคนนี้แหละที่ว่าดุ 555

ที่สุดอาหารบนเครื่องก็เป็นขมิ้นจริงๆ 555 เราเลือกไก่อะไรซักอย่างก็ได้เป็นชุดนี้มา เหมือนข้าวผัดขมิ้น ไก่กับชีส ขนมปัง น้ำส้ม รสชาติอาหารก็พอกินได้ (แต่ไม่กินจะดีกว่า) มันไม่อร่อย แต่ไม่ได้แบบแย่ๆๆอะไรนะ หลังจากทานไปได้ครึ่งนึง เราก็วางช้อนส้อมอย่างสุภาพ เช็ดปากเบาๆ ผู้โดยสารที่นั่งข้างๆเขาทานเสร็จไปนานแล้ว เหมือนเขาก็แอบสังเกตเราอยู่ เขาเป็นคนแก่ที่ดูเป็นแขกมากๆ เขาก็ทักทาย ชวนคุย มาทำอะไร? มาอยู่นานเท่าไหร่? เราก็ถามตอบกันไป เค้ามาเมืองไทยเพราะติดต่อธุรกิจค้าขายของเล่นและอุปกรณ์เด็ก บ้านอยู่โคลัมโบ แถมยังให้นามบัตรด้วยนะ ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรติดต่อมาได้ นี่ขนาดคนศรีลังกาคนแรกที่พบยังเฟรนลี่ขนาดนี้ เราคงจะหายห่วงเรื่องคนไปได้ระดับนึงเลยล่ะ <<< คิดในใจ
ตอนไปถึงศรีลังกาก็เป็นเวลาตี 2 แล้ว มองลงมาจากเครื่องบินก็มืดๆ ไม่ได้เป็นเมืองแห่งแสงสีเหมือนบ้านเรา สนามบินก็ถือว่าเล็ก อารมณ์ว่าดอนเมืองประมาณนั้น พอลงไปก็ต้องต่อรถเพื่อเข้าสู่ตัวตึก คนอัดกันแน่นมากคืนนั้น เท้าสองข้างอยู่ชิดกัน เวลารถหักเลี้ยวทีนี่ พลังต้นแขนเท่านั้นที่ยึดเราไว้! ก็เริ่มสังเกตแล้วล่ะว่ามีคนมอง มองแล้วก็ซุบซิบ ผู้ชายบ้านเขาจะผิวเข้ม แต่ตาขาวโต ก็ยิ่งเห็นชัดเลยว่ามองเราแน่ๆ!
การตรวจคนเข้าเมืองก็ไม่มีอะไรมาก ต้องรอนานนิดหน่อยเพราะคนเยอะ ส่วนใหญ่จะคนบ้านเขา มีจีนบ้าง ฝรั่งบ้างปะปน พนักงานก็ไม่ถามอะไร ดู passport ดูหน้า ประทับตราแล้วก็ผ่าน! พอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็ตรงไปที่รับกระเป๋าเลย มีอยู่ไม่กี่รางหรอก รอซัก 5 นาทีกระเป๋าสีม่วงของเราก็มาถึง เราก็เหวี่ยงมันลงมาจนคนข้างๆตกใจ 555 แล้วก็ลากกระเป๋าเดินออกประตูไปเลย แบบไม่มีตรวจอะไรทั้งสิ้น! งงเลย ณ จุดนี้ ไม่แน่ใจว่าทำตัวถูกรึเปล่า นึกว่าเค้าจะมีตรวจก่อนไม๊ อะไรไม๊ จำได้ว่าตอนไปนิวฯเค้าตรวจจริงจังอยู่ เพื่อนบางคนถูกเปิดกระเป๋าก็มี เราก็ลากช้าๆชะลอๆ มองหน้าตำรวจที่ประตูด้วยนะ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผ่านมาแบบชิวๆปลิวกันไป ผ่านประตูออกมาแล้วก็ไม่ต้องกลัวไปว่าจะหลง บูทแลกเงินเรียงกันดักหน้าประตูเลย มองผ่านบูทออกไปก็เป็นจุดรอรับแล้ว ;) ส่วนเรื่องเรทแลกเงินก็เท่ากันหมดทุกบูทล่ะค่ะไม่ต้องคิดมาก ช่วงที่ไป 1 บาท จะเท่ากับ 4 รูปีศรีลังกา (แลกเป็นแบงค์ดอลล่าไปนะคะ สกุลรูปีศรีลังกาไม่มีให้แลกในบ้านเราค่ะ)
มีเพื่อนใหม่ 2 คนมารับที่สนามบิน เราก็ขอโทษขอโพยไปตามระเบียบที่ทำให้เขาต้องมาดึกดื่นขนาดนี้แถมวันนี้ยังเป็นวันจันทร์ เพื่อนก็หัวเราะแล้วบอกให้เราสบายใจว่า มันเป็นวันหยุด ตื่นสายหน่อยไม่เป็นไร (พูดอังกฤษเก่งค่ะ สำเนียงจะรัวๆนิดนึง ลงท้าย น้ะ! สูงๆ เช่น Today is a poya day น้ะ! Don’t worry) เราเห็นนักท่องเที่ยวรุมกันอยู่ที่บูทซิมโทรศัพท์ ตอนแรกก็จะเข้าไปยืนต่อแถวและ เพื่อนใหม่มาลากออกไปซะก่อน บอกว่าเราซื้อข้างนอกถูกกว่ากันเยอะ (ประมาณ 30 บาทเท่านั้นเอง ตอนเราไปเราใช้ Dialog นะ ไปที่สาขาในตลาด ยื่น passport กรอกเอกสาร ได้ซิมเลย แต่! ใครเอา iPhone 5/5s ที่ซิมมันเล็กแปลกๆ บางสาขาไม่มีซิมเล็กมินิให้นะคะ ปลอดภัยที่สุด Nokia 3310 หรือมือถืออื่นๆที่ใส่ซิมขนาดปกติได้ แนะนำนะ โดยส่วนตัวคิดว่า Dialog โอเค โทรกลับบ้านนาทีละ 4 บาทเองเห็นเพื่อนว่างั้น เราไม่เคย ใช้ Skype ลูกเดียวเลย ค่าเน็ตก็พอๆกับบ้านเรา เน็ตจะแรงดีมากตอนมันอยู่ความเร็วสูงสุดของมัน หลังจากนั้นจะดรอปวูบลงมาในความเร็วที่ยังนั่งรออย่างทรมานในระดับที่รับได้ บัตรเติมเงินซื้อได้ทั่วไป สัญญาณสม่ำเสมอดีค่ะ)
ต่อนะ! เมืองที่เราไปอยู่มีชื่อว่า Ragama ถ้ารถไม่ติด (ดังเช่นเวลา ตี 2 กว่าๆเช่นนี้) ก็ใช้เวลาเดินทางโดยรถตู้ประมาณ 1 ชั่วโมง ถึงที่พักประมาณตี 3 ได้ เราไปพักที่บ้านพักที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ ตอนนั้นมืดมาก นึกอารมณ์ประมาณว่าบ้านในหนังผีป้ะ บานประตูไม้รูปนกยูง (นกยูงมันสำคัญยังไงรึเปล่า? สัตว์ประจำชาติ?) ไม่มีกวาดบ้านช่องให้เลยพูดจริง แต่มันตี 3 แล้ว ไม่นอนก็ไม่ได้แล้วนะ เลยจัดการถูแค่ห้องนอน ที่ศรีลังกาเนี่ย ส่วนใหญ่ไม่มีแอร์นะคะ บ้านเค้าไม่ได้รวย พื้นปูน ถ้ารวยหน่อยก็ทาสีสวยงาม จุดเด่นในการนอนที่ จขกท ตื่นเต้นมากก็คือกางมุ้ง(ตื่นเต้นตามประสาเด็กเมือง) จากการตระเวนไปดูที่หอเพื่อนและที่พักของตัวเอง จะเป็นมุ้งสีสดใส มีจานบินอยู่ 2 แบบ วงกลมและสี่เหลี่ยม ด้วยความที่ตะขอแขวนมันสู๊ง! ขนาดว่าให้เพื่อนที่สูงกว่ายืนบนเตียงแล้วก็ไม่สามารถแขวนกับตะขอได้ เราจึงตอบโจทย์นี้ด้วยไม้แขวนผ้าพลีชีพ ใครแวะไปเที่ยวศรีลังกาแล้วแขวนมุ้งไม่ถึงจะยืมไปใช้ก็ไม่ว่ากันนะคะ

นี่เลยค่ะ อย่างนี้มันต้องแขวน
การทักทายคนท้องถิ่น/ศัพท์น่ารู้ ภาษาซิงฮาล่า (ไม่ใช่ซิงกูล่า เย้ย!)
วันแรกที่ไปฝึกงานที่ Ragama Rehabilitation Centre ก็จัดเลยค่ะ ด้วยความว่าเตรียมตัวมาดี “อายูโบว๊าน” เพื่อนบอกว่าแม้แต่คนที่นี่ยังทักกันว่า “hello” เลย นักเรียนที่นี่ภาษาอังกฤษดีค่ะ แต่ถ้าเป็นชาวบ้าน แม่ค้าขายของ คนขับตุ๊กๆทั่วๆไปจะพูดไม่ค่อยได้ค่ะ เค้าจะรับฟังเราอย่างใจเย็นด้วยรอยยิ้ม ซึ่งมี 2 นัยยะ 1.สบายๆพูดมาเรื่อยๆช่วยกันคนละครึ่งทาง 2. กำลังหลอกเราอยู่! <<< การต่อรองราคาตุ๊กๆนี่ใช้ประสบการณ์และความกล้าล้วนๆค่ะ ไปลองให้เค้าหลอกเล่นพอเป็นแนวทาง 555+
เวลาเรียกชื่อคนที่นี่ จะเป็นสเตป ชื่อ+sir ถ้าเป็นผู้ชาย ชื่อ+madame ถ้าเป็นผู้หญิง หรือจะแค่ sir กับ madame ก็ได้
โกโฮมาเดอะ = สบายดีไม๊?
ฮอนได = สบายดี
ลาซาไน = สวยยย (ฟังจนชินมีหนุ่มมาบอกบ่อย เขิล)
คาวาดาซัม = หล่อ
อาเตอเร = ชั้นรักเธอ (>///<)
พิซสุ = บ้า (อันนี้เพื่อนเอามาเรียกเลยรู้)ตามด้วย เคลล่า = ใช้กับผู้หญิง คลล่า=ใช้กับผู้ชาย
นังกิ = น้องสาว
อัยย่า = พี่ชาย (นังกิ กับอัยย่า ในความหมายของภาษาทมิฬยังแปลได้ว่าแฟนด้วยน้า ระวังๆ!)
อัยโย่! = โอ้ไม่! ไม่นะ! โถๆ! ได้ยินบ่อยมาก
ส่วนลุงๆป้าๆ ก็ อังเคิ้ล, อ้านตี้ ใช้เรียกพ่อค้าแม่ค้าก็ได้นะเออ
เคยจำคำภาษาซิงฮาล่าไปพูดกับคนไข้ คนไข้งง เราหันไปถามเพื่อนว่าเราพูดถูกไม๊ (คาคูล่า นาวันน่ะ = งอขา ) เพื่อนบอกว่าถูกแล้วบอกคนไข้ว่า เราเพิ่งพูดกับเค้าภาษาสิงหล คนไข้หัวเราะใหญ่เลยบอกว่านึกว่าจะพูดภาษาอังกฤษ เนี่ยตั้งใจแปลอยู่เลย
เกร็ด >>> คนศรีลังกาหลักๆจะมี 2 เชื้อสายนะคะ คือ ซิงฮาล่า และทมิฬ ทมิฬดั้งเดิมมาจากอินเดียตอนใต้ ถูกพามาปลูกชาตอนที่ศรีลังกายังเป็นเมืองขึ้นฝรั่ง คนซิงฮาล่า กับทมิฬพูดคนละภาษากันนะคะ แต่จะใช้ภาษากลางในการสื่อสารกันคือภาษาอังกฤษ(รัวๆ)
วันแรกที่ไปอยู่ตื่นมาก็ทำความสะอาดบ้านกันยกใหญ่เลยค่ะ มีเพื่อนใหม่เอาอาหารเช้ามาให้ (น่ารักจริงๆ) พอบ่ายหน่อยเราก็ออกไปเดินสำรวจเมืองกันค่ะ

คนข้างหน้านี้คือเพื่อนนะคะ คนมุสลิมที่นี่จะเคร่งครัดมาก แม้แต่ถ่ายรูปแบบยิ้มแย้มยังถูกห้ามเลยค่ะ
คนที่นี่ไม่ค่อยมีรถแบบบ้านเราขับค่ะ มันแพง จักรยาน มอไซค์ ตุ๊กๆ รถตู้ไม่ติดแอร์เลยจะเยอะหน่อย วันนั้นมีวัวออกมาเดินด้วย

ของในซุปเปอร์ฯ นี่พี่น้องคอลเกตหรือเปล่า 555

ร้านขายเครื่องเขียนเล็กๆ นักแสดงบอลลีวู้ดอย่าง ชารุ ข่าน กวาดพรีเซนเตอร์ไปเรียบจร้างานนี้

อาหารว่างที่มีเกือบทุกร้านอาหารจะเป็น roll ไส้ต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นไส้ผัก ทานคู่กับชาเนสทีร้อนอร่อยไปอีกแบบ
ชิ้นละ 5-6 บาทเท่านั้นเองค่ะ (พอกับบ้านเรานะ นี่เข้าร้านหรูแล้ว ไม่มีแอร์ด้วย lol)

รถส่งน้ำอัดลมเกร๋ๆ
เดี๋ยวมาต่อนะคะ
[CR] รีวิว สถานที่ท่องเที่ยวศรีลังกา (ทริป; สาวศรีฯ เยือนแผ่นดิน ถิ่นแขก)
(รูปต่างๆในกระทู้นี้มาจากหลากหลายกล้อง ตั้งแต่คอมแพคกากๆ คอมแพคเลิศๆ กล้องไอโฟน ไปจนถึงกล้องแบบมืออาชีพ ภาพสวยบ้างไม่สวยบ้างปะปนกันไปต้องขออภัยด้วย ขออนุญาติเพื่อนเอารูปมาลงแล้วนะคะ)
แนะนำตัวก่อนค่ะ จขกท เรียนสาขากายอุปกรณ์ (ไม่ใช่กายภาพบำบัด/เทคนิคการแพทย์) เพิ่งจบมาปีที่แล้ว ฮี่ๆ ไม่น่ารอให้ผ่าน 2013 เลยพอพูดว่าปีที่แล้วฟังดูนานจัง
ในช่วงการขึ้นคลีนิคสุดท้ายก่อนเรียนจบ จขกท และเพื่อนสุดสวยตัดสินใจเลือกไปฝึกงาน (Clinical Placement) ที่ประเทศศรีลังกา ทั้งๆที่มีตัวเลือกอื่นๆ อาทิ ญี่ปุ่น ฮ่องกง กัมพูชา <<< อันนี้กลัวเรื่องข้อพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร ที่เลือกไปด้วยเหตุผลง่ายๆเพราะ... ไม่งั้นคงไม่คิดจะไปเอง (ประเทศอื่นๆเป็นประเทศท่องเที่ยว นึกจะไปก็ไปได้ป้ะ? ศรีลังกานี่ไม่ใช่ธรรมดา เค้าก็ไม่ได้ไปกันบ่อยๆ...ชิมิ)
ก่อนไป เรามีฐานความรู้เกี่ยวกับประเทศนี้น้อยนิดแค่ว่า ศรีลังกาเป็นหยดน้ำผึ้งเล็กๆของอินเดีย(ตามแผนที่) และประเทศไทยรับศาสนาพุทธ นิกายเถรวาทมาจากศรีลังกา รู้เท่านี้จริงๆ แต่ก็มีเพื่อนที่น่ารักช่วยกันรีวิวเพิ่มดีกรีความตื่นเต้นเข้าไป ‘ศรีลังกาไม่น่ากลัวหรอแก?’ ‘มันมีกบฏพยัคฆ์ทมิฬอะไรอยู่ไม่ใช่อ่อ?’ ‘มันเป็นหนังหน้าไฟให้กับอินเดียนิ่ มีพายุอะไรเข้ามาก็โดนก่อนเลย! เหมือนสึนามินั่นไง!’ ไปจนถึง ‘ระวังโดนฉุดนะ’ พอได้ยินอย่างนี้ จริงๆก็เริ่มหวาดกลัวในใจ แต่แม้แต่กษัตริย์ตรัสไว้ไม่คืนคำ ประสาอะไรกับคนตาดำๆจะคืนคำได้!
ว่าแล้ว 1 เดือนก่อนการเดินทาง เราทั้งคู่ก็เดินทางไปยังสถานทูตศรีลังกาประจำประเทศไทย ตั้งอยู่ ณ โอเชียนทาวเวอร์ 2, สุขุมวิท พอขึ้นไปชั้น 13 จะมียามอยู่ 1 คนนั่งอยู่เงียบๆ ในไฟสลัวๆหน้าสถานทูตซึ่งมีประตูกระจกที่ล็อคอยู่ ข้างในก็โล่งๆ ตอนที่ไปเป็นเวลาที่ยื่นเอกสารได้อย่างเดียวคนเลยน้อย (มั้ง) ใครจะไปเช็คเรื่องเวลาทำการดีๆนะคะ เราก็กดกดกริ่งแล้วจะมีพนักงานข้างในปลดล็อคประตูให้ คนที่จัดการเอกสารให้เราเป็นผู้ชายหน้าออกแขกๆแต่น่าจะเป็นคนไทยนี่ล่ะ มีดุนิดหน่อย(แต่ใจดี) พูดให้ฟังด้วยว่าที่ศรีลังกาเป็นยังไง ผ่านไปเรียบร้อยดี 3 วันหลังจากนั้นก็เดินทางไปรับเอกสาร เป็นกระดาษ 1 ใบที่เราต้องแนบไปพร้อม passport (อยู่ได้ไม่เกิน 1 เดือน)แล้วเราก็ ready to go!
เราจองตั๋วออนไลน์ ของศรีลังกาแอร์ไลน์ สายการบินประจำประเทศ เช็คมาแล้วว่าราคาถูกสุด ประมาณ 12,000 กว่าๆ ไป-กลับของการบินไทยจะอยู่ที่ 15,000 เสียดายไม่มีโปรโมชั่นของสายการบินไหนเลย(เมื่อกี๊แวะไปเช็คที่หน้าเว็บศรีลังกาแอร์ไลน์มาเบาๆ 8,000 ฝ่าๆก็มี แล้วแต่เลือกวัน mix and match! มือคันยุกยิกเลยจะกดจอง 555) ตอนมาเช็คอินที่ gate D6 (หลังจากเดินอยู่ในดงดอกไม้ของ duty free)ก็ปาไป 4 ทุ่มแล้วเนื่องจากเครื่องดีเลย์ เราก็ได้รับกล่องขนม พอเปิดมาเจอโครซองกับน้ำผลไม้ก็โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก นึกว่าจะต้องเจออะไรที่ประกอบด้วยขมิ้น 555 เครื่องของเราเป็นเครื่องที่ต่อมาจากฮ่องกง เครื่องไม่เก่ามากแต่ก็ไม่ใหม่! พอเราเข้าไปในตัวเครื่องจะมีแอร์ต้อนรับเราด้วยรอยยิ้มและคำทักทาย ‘Ayubowan’ อายูโบว๊าน แปลว่า สวัสดี ในภาษาซิงฮาล่า หรือสิงหลที่เราเรียกกันนั่นเอง เวลาเดินทางรวม 4 ชั่วโมง จขกท เลยไม่ได้แวะไปรีวิวห้องน้ำมาให้ sorry นะ ระหว่างรอผู้โดยสารคนอื่นๆเข้ามาจับจองที่นั่งก็อดมองแอร์ของสายการบินนี้ไม่ได้จริงๆ แอร์จะมาในธีมของนกยูง ส่าหรีสีเขียวกับพุงน่ารักๆ ไม่มีพุงใส่ไม่สวยนะจริงๆ! แต่ถ้าเป็นนกยูงก็ต้องเป็นนกยูงที่ดุเบาๆ เค้าคงเหนื่อยมั้ง ไม่ค่อยยิ้มเลย แอบถ่ายรูปแอร์มาให้ดู
อันนี้ไม่แอบ จขกท กับป้ายของสายการบิน จะได้เห็นชุดแอร์ข้างหน้าชัดๆ อิอิ
พุงน่ารักง่ะ เธอคนนี้แหละที่ว่าดุ 555
ที่สุดอาหารบนเครื่องก็เป็นขมิ้นจริงๆ 555 เราเลือกไก่อะไรซักอย่างก็ได้เป็นชุดนี้มา เหมือนข้าวผัดขมิ้น ไก่กับชีส ขนมปัง น้ำส้ม รสชาติอาหารก็พอกินได้ (แต่ไม่กินจะดีกว่า) มันไม่อร่อย แต่ไม่ได้แบบแย่ๆๆอะไรนะ หลังจากทานไปได้ครึ่งนึง เราก็วางช้อนส้อมอย่างสุภาพ เช็ดปากเบาๆ ผู้โดยสารที่นั่งข้างๆเขาทานเสร็จไปนานแล้ว เหมือนเขาก็แอบสังเกตเราอยู่ เขาเป็นคนแก่ที่ดูเป็นแขกมากๆ เขาก็ทักทาย ชวนคุย มาทำอะไร? มาอยู่นานเท่าไหร่? เราก็ถามตอบกันไป เค้ามาเมืองไทยเพราะติดต่อธุรกิจค้าขายของเล่นและอุปกรณ์เด็ก บ้านอยู่โคลัมโบ แถมยังให้นามบัตรด้วยนะ ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรติดต่อมาได้ นี่ขนาดคนศรีลังกาคนแรกที่พบยังเฟรนลี่ขนาดนี้ เราคงจะหายห่วงเรื่องคนไปได้ระดับนึงเลยล่ะ <<< คิดในใจ
ตอนไปถึงศรีลังกาก็เป็นเวลาตี 2 แล้ว มองลงมาจากเครื่องบินก็มืดๆ ไม่ได้เป็นเมืองแห่งแสงสีเหมือนบ้านเรา สนามบินก็ถือว่าเล็ก อารมณ์ว่าดอนเมืองประมาณนั้น พอลงไปก็ต้องต่อรถเพื่อเข้าสู่ตัวตึก คนอัดกันแน่นมากคืนนั้น เท้าสองข้างอยู่ชิดกัน เวลารถหักเลี้ยวทีนี่ พลังต้นแขนเท่านั้นที่ยึดเราไว้! ก็เริ่มสังเกตแล้วล่ะว่ามีคนมอง มองแล้วก็ซุบซิบ ผู้ชายบ้านเขาจะผิวเข้ม แต่ตาขาวโต ก็ยิ่งเห็นชัดเลยว่ามองเราแน่ๆ!
การตรวจคนเข้าเมืองก็ไม่มีอะไรมาก ต้องรอนานนิดหน่อยเพราะคนเยอะ ส่วนใหญ่จะคนบ้านเขา มีจีนบ้าง ฝรั่งบ้างปะปน พนักงานก็ไม่ถามอะไร ดู passport ดูหน้า ประทับตราแล้วก็ผ่าน! พอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็ตรงไปที่รับกระเป๋าเลย มีอยู่ไม่กี่รางหรอก รอซัก 5 นาทีกระเป๋าสีม่วงของเราก็มาถึง เราก็เหวี่ยงมันลงมาจนคนข้างๆตกใจ 555 แล้วก็ลากกระเป๋าเดินออกประตูไปเลย แบบไม่มีตรวจอะไรทั้งสิ้น! งงเลย ณ จุดนี้ ไม่แน่ใจว่าทำตัวถูกรึเปล่า นึกว่าเค้าจะมีตรวจก่อนไม๊ อะไรไม๊ จำได้ว่าตอนไปนิวฯเค้าตรวจจริงจังอยู่ เพื่อนบางคนถูกเปิดกระเป๋าก็มี เราก็ลากช้าๆชะลอๆ มองหน้าตำรวจที่ประตูด้วยนะ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผ่านมาแบบชิวๆปลิวกันไป ผ่านประตูออกมาแล้วก็ไม่ต้องกลัวไปว่าจะหลง บูทแลกเงินเรียงกันดักหน้าประตูเลย มองผ่านบูทออกไปก็เป็นจุดรอรับแล้ว ;) ส่วนเรื่องเรทแลกเงินก็เท่ากันหมดทุกบูทล่ะค่ะไม่ต้องคิดมาก ช่วงที่ไป 1 บาท จะเท่ากับ 4 รูปีศรีลังกา (แลกเป็นแบงค์ดอลล่าไปนะคะ สกุลรูปีศรีลังกาไม่มีให้แลกในบ้านเราค่ะ)
มีเพื่อนใหม่ 2 คนมารับที่สนามบิน เราก็ขอโทษขอโพยไปตามระเบียบที่ทำให้เขาต้องมาดึกดื่นขนาดนี้แถมวันนี้ยังเป็นวันจันทร์ เพื่อนก็หัวเราะแล้วบอกให้เราสบายใจว่า มันเป็นวันหยุด ตื่นสายหน่อยไม่เป็นไร (พูดอังกฤษเก่งค่ะ สำเนียงจะรัวๆนิดนึง ลงท้าย น้ะ! สูงๆ เช่น Today is a poya day น้ะ! Don’t worry) เราเห็นนักท่องเที่ยวรุมกันอยู่ที่บูทซิมโทรศัพท์ ตอนแรกก็จะเข้าไปยืนต่อแถวและ เพื่อนใหม่มาลากออกไปซะก่อน บอกว่าเราซื้อข้างนอกถูกกว่ากันเยอะ (ประมาณ 30 บาทเท่านั้นเอง ตอนเราไปเราใช้ Dialog นะ ไปที่สาขาในตลาด ยื่น passport กรอกเอกสาร ได้ซิมเลย แต่! ใครเอา iPhone 5/5s ที่ซิมมันเล็กแปลกๆ บางสาขาไม่มีซิมเล็กมินิให้นะคะ ปลอดภัยที่สุด Nokia 3310 หรือมือถืออื่นๆที่ใส่ซิมขนาดปกติได้ แนะนำนะ โดยส่วนตัวคิดว่า Dialog โอเค โทรกลับบ้านนาทีละ 4 บาทเองเห็นเพื่อนว่างั้น เราไม่เคย ใช้ Skype ลูกเดียวเลย ค่าเน็ตก็พอๆกับบ้านเรา เน็ตจะแรงดีมากตอนมันอยู่ความเร็วสูงสุดของมัน หลังจากนั้นจะดรอปวูบลงมาในความเร็วที่ยังนั่งรออย่างทรมานในระดับที่รับได้ บัตรเติมเงินซื้อได้ทั่วไป สัญญาณสม่ำเสมอดีค่ะ)
ต่อนะ! เมืองที่เราไปอยู่มีชื่อว่า Ragama ถ้ารถไม่ติด (ดังเช่นเวลา ตี 2 กว่าๆเช่นนี้) ก็ใช้เวลาเดินทางโดยรถตู้ประมาณ 1 ชั่วโมง ถึงที่พักประมาณตี 3 ได้ เราไปพักที่บ้านพักที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ ตอนนั้นมืดมาก นึกอารมณ์ประมาณว่าบ้านในหนังผีป้ะ บานประตูไม้รูปนกยูง (นกยูงมันสำคัญยังไงรึเปล่า? สัตว์ประจำชาติ?) ไม่มีกวาดบ้านช่องให้เลยพูดจริง แต่มันตี 3 แล้ว ไม่นอนก็ไม่ได้แล้วนะ เลยจัดการถูแค่ห้องนอน ที่ศรีลังกาเนี่ย ส่วนใหญ่ไม่มีแอร์นะคะ บ้านเค้าไม่ได้รวย พื้นปูน ถ้ารวยหน่อยก็ทาสีสวยงาม จุดเด่นในการนอนที่ จขกท ตื่นเต้นมากก็คือกางมุ้ง(ตื่นเต้นตามประสาเด็กเมือง) จากการตระเวนไปดูที่หอเพื่อนและที่พักของตัวเอง จะเป็นมุ้งสีสดใส มีจานบินอยู่ 2 แบบ วงกลมและสี่เหลี่ยม ด้วยความที่ตะขอแขวนมันสู๊ง! ขนาดว่าให้เพื่อนที่สูงกว่ายืนบนเตียงแล้วก็ไม่สามารถแขวนกับตะขอได้ เราจึงตอบโจทย์นี้ด้วยไม้แขวนผ้าพลีชีพ ใครแวะไปเที่ยวศรีลังกาแล้วแขวนมุ้งไม่ถึงจะยืมไปใช้ก็ไม่ว่ากันนะคะ
นี่เลยค่ะ อย่างนี้มันต้องแขวน
การทักทายคนท้องถิ่น/ศัพท์น่ารู้ ภาษาซิงฮาล่า (ไม่ใช่ซิงกูล่า เย้ย!)
วันแรกที่ไปฝึกงานที่ Ragama Rehabilitation Centre ก็จัดเลยค่ะ ด้วยความว่าเตรียมตัวมาดี “อายูโบว๊าน” เพื่อนบอกว่าแม้แต่คนที่นี่ยังทักกันว่า “hello” เลย นักเรียนที่นี่ภาษาอังกฤษดีค่ะ แต่ถ้าเป็นชาวบ้าน แม่ค้าขายของ คนขับตุ๊กๆทั่วๆไปจะพูดไม่ค่อยได้ค่ะ เค้าจะรับฟังเราอย่างใจเย็นด้วยรอยยิ้ม ซึ่งมี 2 นัยยะ 1.สบายๆพูดมาเรื่อยๆช่วยกันคนละครึ่งทาง 2. กำลังหลอกเราอยู่! <<< การต่อรองราคาตุ๊กๆนี่ใช้ประสบการณ์และความกล้าล้วนๆค่ะ ไปลองให้เค้าหลอกเล่นพอเป็นแนวทาง 555+
เวลาเรียกชื่อคนที่นี่ จะเป็นสเตป ชื่อ+sir ถ้าเป็นผู้ชาย ชื่อ+madame ถ้าเป็นผู้หญิง หรือจะแค่ sir กับ madame ก็ได้
โกโฮมาเดอะ = สบายดีไม๊?
ฮอนได = สบายดี
ลาซาไน = สวยยย (ฟังจนชินมีหนุ่มมาบอกบ่อย เขิล)
คาวาดาซัม = หล่อ
อาเตอเร = ชั้นรักเธอ (>///<)
พิซสุ = บ้า (อันนี้เพื่อนเอามาเรียกเลยรู้)ตามด้วย เคลล่า = ใช้กับผู้หญิง คลล่า=ใช้กับผู้ชาย
นังกิ = น้องสาว
อัยย่า = พี่ชาย (นังกิ กับอัยย่า ในความหมายของภาษาทมิฬยังแปลได้ว่าแฟนด้วยน้า ระวังๆ!)
อัยโย่! = โอ้ไม่! ไม่นะ! โถๆ! ได้ยินบ่อยมาก
ส่วนลุงๆป้าๆ ก็ อังเคิ้ล, อ้านตี้ ใช้เรียกพ่อค้าแม่ค้าก็ได้นะเออ
เคยจำคำภาษาซิงฮาล่าไปพูดกับคนไข้ คนไข้งง เราหันไปถามเพื่อนว่าเราพูดถูกไม๊ (คาคูล่า นาวันน่ะ = งอขา ) เพื่อนบอกว่าถูกแล้วบอกคนไข้ว่า เราเพิ่งพูดกับเค้าภาษาสิงหล คนไข้หัวเราะใหญ่เลยบอกว่านึกว่าจะพูดภาษาอังกฤษ เนี่ยตั้งใจแปลอยู่เลย
เกร็ด >>> คนศรีลังกาหลักๆจะมี 2 เชื้อสายนะคะ คือ ซิงฮาล่า และทมิฬ ทมิฬดั้งเดิมมาจากอินเดียตอนใต้ ถูกพามาปลูกชาตอนที่ศรีลังกายังเป็นเมืองขึ้นฝรั่ง คนซิงฮาล่า กับทมิฬพูดคนละภาษากันนะคะ แต่จะใช้ภาษากลางในการสื่อสารกันคือภาษาอังกฤษ(รัวๆ)
วันแรกที่ไปอยู่ตื่นมาก็ทำความสะอาดบ้านกันยกใหญ่เลยค่ะ มีเพื่อนใหม่เอาอาหารเช้ามาให้ (น่ารักจริงๆ) พอบ่ายหน่อยเราก็ออกไปเดินสำรวจเมืองกันค่ะ
คนข้างหน้านี้คือเพื่อนนะคะ คนมุสลิมที่นี่จะเคร่งครัดมาก แม้แต่ถ่ายรูปแบบยิ้มแย้มยังถูกห้ามเลยค่ะ
คนที่นี่ไม่ค่อยมีรถแบบบ้านเราขับค่ะ มันแพง จักรยาน มอไซค์ ตุ๊กๆ รถตู้ไม่ติดแอร์เลยจะเยอะหน่อย วันนั้นมีวัวออกมาเดินด้วย
ของในซุปเปอร์ฯ นี่พี่น้องคอลเกตหรือเปล่า 555
ร้านขายเครื่องเขียนเล็กๆ นักแสดงบอลลีวู้ดอย่าง ชารุ ข่าน กวาดพรีเซนเตอร์ไปเรียบจร้างานนี้
อาหารว่างที่มีเกือบทุกร้านอาหารจะเป็น roll ไส้ต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นไส้ผัก ทานคู่กับชาเนสทีร้อนอร่อยไปอีกแบบ
ชิ้นละ 5-6 บาทเท่านั้นเองค่ะ (พอกับบ้านเรานะ นี่เข้าร้านหรูแล้ว ไม่มีแอร์ด้วย lol)
รถส่งน้ำอัดลมเกร๋ๆ
เดี๋ยวมาต่อนะคะ